วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วัตถุมงคล รุ่นมงคล ๙ พ่อท่านแสง วัดศิลาลอย











วัดศิลาลอย ตั้งอยู่เลขที่ 16 หมู่ที่ 4 บ้านวัดเกาะ ต.ชุมพล อ.สทิงพระ จ.สงขลา สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย เนื้อที่ 10 ไร่ 2 งาน 88 ตารางวา สันนิษฐานว่าสร้างเมื่อประมาณพ.ศ.1300


เดิมมีนามว่า "วัดยางงาม" ต่อมามีพระ พุทธรูปสร้างด้วยหินปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 60 นิ้ว 
ถูกคลื่นซัดขึ้นมาจากทะเลอ่าวไทย ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นพระพุทธรูปที่มาจากเกาะกระ 
ต่างเตรียมอาราธนาอัญเชิญท่านเพื่อไปประดิษฐานที่วัดดีหลวง ก็เกิดเหตุการณ์ให้ประจักษ์แก่สายตาชาวบ้าน เชือกขนาดใหญ่ที่ใช้ในการลากเกิดขาดขึ้นมาหลายครั้งหลายครา และเมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นชาวบ้านก็พร้อมใจกันอาราธนาอัญเชิญท่านเพื่อไปประดิษฐานที่วัดนางเหล้า ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกันก็เกิดเหตุการณ์เฉกเช่นเดียวกันอยู่หลายครั้งหลายครา


เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวคณะศรัทธา และชาวบ้านจึงบอกกล่าวอาราธนาอัญเชิญท่านเพื่อมาประดิษฐานยัง "วัดยางงาม" เป็นเหตุอัศจรรย์ หรือความบังเอิญก็สุดคาดเดา การอัญเชิญท่านมาวัดยางงามไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ชาวบ้านยิ่งนัก ชาวบ้านจึงได้เรียกนามวัดใหม่ว่า "วัดกระ" ตามที่มาของพระพุทธรูปศิลาที่ท่านมาจากเกาะกระ




ครั้นต่อมาวัดกระได้ว่างเว้นพระสงฆ์จำพรรษา กลายเป็นวัดร้างไปในที่สุดจนถึงปีพ.ศ.2462 
ชาวบ้านวัดกระได้เดินทางไปนิมนต์ พระดำ ติสสโร วัดดีหลวง ให้มาปกครองวัด และท่านก็ได้รับนิมนต์เดินทางมาจำพรรษาที่วัดกระ และได้บูรณะพัฒนาวัดพร้อมกับได้บูรณะพระพุทธรูปศิลาและถวายนามว่า "พระศิลาลอย"

วัดยางงาม หรือ วัดกระ จึงได้เปลี่ยนนามเป็น "วัดศิลาลอย" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

จากหลักฐานบันทึกการสร้าง หลวงพ่อทวดรุ่นแรกปี 2506 วัดพะโคะ จ.สงขลา เมื่อครั้งนั้น "พ่อท่านแสง อาภาธโร" วัดศิลาลอย อ.สทิงพระ จ.สงขลา เป็นองค์ดำเนินการด้านพิธีกรรม ตลอดถึงมวลสารต่างๆ

พ่อท่านแสงมีความเชี่ยวชาญในด้านว่านยาอย่างเอกอุ ท่านมีความพิถีพิถันในเรื่องพิธีกรรมและเคร่งครัด ห้ามมิให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาข้องแวะโดยเด็ดขาด

หากมีความจำเป็นต้องมีผู้ร่วมประกอบพิธีกรรม ท่านจะต้องให้ถือศีลปฏิบัติตนให้บริสุทธิ์ตลอดระยะเวลาที่ประกอบพิธีกรรม ท่านทุ่มเทตั้งใจสร้างหลวงพ่อทวดอย่างเต็มที่ เต็มกำลัง ด้วยมวลสารชั้นครู ประกอบพิธีกรรมตามตำราบูรพาจารย์

พ่อท่านแสงทุ่มเทกำลังแรงกาย แรงใจ และองค์ความรู้ แรงครูในการสร้างสุดยอดวัตถุมงคลหลวงพ่อทวดอย่างสุดความสามารถ มีประสบการณ์มากมายเป็นที่ประจักษ์ชัด ครอบจักรวาลทั้งด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย และโชคลาภ


"วัตถุมงคล รุ่นมงคล ๙" ของ พระครูโอภาสธรรมรักษ์ หรือ พ่อท่านแสง 
ได้ผ่านพิธีมหาพุทธาภิเษกมากถึง 6 วาระด้วยกัน 

- วาระที่ 1 เมื่อวันที่ 25 ม.ค.2555 พ่อท่านแสงอธิษฐานจิตปลุกเสก ณ กุฏิวัดศาลาลอย จ.สงขลา 
- วาระที่ 2 วันที่ 9 ก.พ.2555 พ่อท่านแสงอธิษฐานจิตปลุกเสก ณ วิหารพระศิลาลอยอายุเก่าแก่กว่า 100ปี - วาระที่ 3 เมื่อวันที่ 14 ก.พ.2555 พ่อท่านแสงอธิษฐานจิตปลุกเสก ณ สถูปหลวงพ่อทวด วัดช้างให้ 
- วาระที่ 4 เมื่อวันที่ 14 ก.พ.2555 พ่อท่านแสง, พ่อท่านพรหม ร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสก ณ กุฏิหลวงพ่อพรหม วัดพลานุภาพ จ.ปัตตานี 
- วาระที่ 5 วันที่ 14 ก.พ.2555 พ่อท่านแสง, พ่อท่านเขียว ร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสก ณ กุฏิพ่อท่านเขียว วัดห้วยเงาะ จ.ปัตตานี 
- วาระที่ 6 เมื่อวันที่ 15 ก.พ.2555 พ่อท่านแสงอธิษฐานจิตปลุกเสก ณ อุโบสถวัดศิลาลอย นานถึง 9 ชั่วโมง และครั้งนี้เป็นการเปิดอุโบสถเพื่อปลุกเสกเป็นครั้งแรก 

วัตถุมงคลที่จัดสร้างประกอบด้วย 

- เหรียญหลวงพ่อแสงรุ่นแรก พิมพ์ทรงรูปไข่

- เหรียญเสมาหน้าเลื่อนสมณศักดิ์ (หลวงพ่อทวด-พ่อท่านแสงรุ่นแรก) 

- เหรียญพ่อท่านแสงรุ่นแรก พิมพ์เสมา 

รวมไปถึงชุดกรรมการ พิเศษมงคล ๙ และ ชุดกรรมการมหาสิทธิโชค

สนใจร่วมบุญบูชาได้ที่ เซเว่น-อีเลฟเว่น หรือ www. 7catalog.com


จวนผู้ว่าฯ นนทบุรี เสริมขวัญสร้างบารมี แด่ผู้มีจิตศรัทธา



















พระครูปลัดสิทธิวัฒน์
(หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม
ทายาทพุทธาคมศิษย์เอกแห่ง หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข พระอมตะเถราจารย์ เทพเจ้าแห่งวัดไผ่ล้อม

เมตตาประกอบพิธี "ลงนะหน้าทองจันทร์มหาเสน่ห์" ให้กับ นายวิเชียร พุฒิวิญญู
(ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี) และ สาธุชนจำนวนมาก ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี
เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ ในการดำเนินชีวิตที่ดีต่อไปแก่ผู้มีจิตศรัทธา

แต่งฉันท์ถวายพระพร สมเด็จพระราชินี












นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์
ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยว่า
ที่ประชุมมหาเถรสมาคมได้มีมติให้คณะสงฆ์แต่งฉันท์ ถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา วันที่ 12 ส.ค.2555
โดยที่ประชุมมหาเถรสมาคมมอบหมายให้
สมเด็จพระวันรัต รักษาการเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต กรรมการมหาเถรฯ และ พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรฯ เป็นผู้ดำเนินการแต่งฉันท์ถวายพระพรชัยมงคล




พร้อมกันนี้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ยังแจ้งต่อที่ประชุมด้วยว่าเมื่อมีการแต่งเสร็จแล้ว สมควรที่จะต้องเผยแพร่ไปยังวัดต่างๆ พร้อมทั้งให้พระสงฆ์ในแต่ละวัดซ้อมท่องบทฉันท์ดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ คนไทยถือว่าคำบาลี และสันสกฤตเป็นคำสูง ด้วยเป็นคำที่ใช้เผยแผ่คำสอนของพระพุทธองค์ และผู้ที่ใช้คำภาษาบาลีและสันสกฤตส่วนใหญ่อยู่ในฐานะควรแก่การเคารพบูชาทั่วไป เช่น พระสงฆ์ พราหมณ์ เป็นต้น

เซียนพระสารคามออกโรงเตือน ระวังพระนาดูนกรุใหม่!!


นายสินสมุทร คำรุน หรือ แดง กรองน้ำ เจ้าของศูนย์พระเครื่องปูทูลกระหม่อม จ.มหาสารคาม
เปิดเผยว่า ในระยะนี้มหาสารคามได้เกิดกระแสข่าวแพร่สะพัดเข้ามาในวงการพระเครื่องเกี่ยวกับการลักลอบขุดหาพระกรุนาดูน ที่อำเภอนาดูน จ.มหาสารคาม ซึ่งเป็นพระกรุสมัยทวารวดี อายุกว่า 1,200 ปี 


จากข้อมูลของกรมศิลปากรพบว่ายังมีซากเจดีย์เก่าที่อยู่ในเขตนครจำปาศรี ซึ่งในปัจจุบัน คือ อ.นาดูน สันนิษฐานว่ามีเจดีย์มากถึง 25 องค์ แต่ขุดพบเพียง 10 องค์ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาจึงมีการลักลอบขุดหาซากเจดีย์กันมาก ขณะนี้ในพื้นที่พระกรุนาดูนมีราคาเช่าหาที่สูงขึ้น โดยเฉพาะพระพิมพ์นาคปรกเดี่ยว สามารถแขวนห้อยคอได้มีการเช่าซื้อถึงหลักล้านบาท พิมพ์นาคปรกคู่หลักแสนกลาง ส่วนพระแผงที่สมบูรณ์เนื้อหินราคาเช่าซื้อก็อยู่หลักแสนขึ้นไป แม้แต่พระแผงตัดมีพระ 9 องค์ ยังอยู่ที่หลักหมื่นหากเป็นพิมพ์นาคปรก

นายสินสมุทรกล่าวต่อว่า ปัจจุบันเริ่มมีการเล่นหาพระกรุนาดูนกันวงกว้างมากขึ้น มีการนำไปเช่าซื้อ หรือประมูลกันในเว็บไซต์หรือในหนังสือพระเครื่อง ยิ่งทำให้พระกรุนี้ได้รับความสนใจจากนักสะสมวัตถุมงคลมากยิ่งขึ้น เมื่อกระแสความต้องการของผู้บริโภคยังสูงแต่พระมีน้อยและหายไปจากตลาด ด้วยถูกเช่าซื้อโดยผู้มีกำลังซื้อสูง แต่หลายปีที่ผ่านมามีพระที่อ้างว่าเป็นกรุใหม่เข้ามาในสนามพระหลายครั้ง แต่มักจะไม่ได้รับความนิยมจากนักสะสม รวมทั้งศูนย์พระเครื่องในมหาสารคามก็ไม่ค่อยเช่าซื้อไว้ เพราะยังมีข้อถกเถียงกัน หากผู้สนใจอยากเช่าซื้อพระกรุนาดูนกรุใหม่ควรสอบถามผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่เพราะพระมีราคาที่สูงมาก

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

"วัดร้องขุ้ม" บูรณะ หุ้มแผ่นทองพระเจดีย์

พระอธิการสิทธิ สิทธิปัญโญ เจ้าอาวาสวัดร้องขุ้ม ต.บ้านแม อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ 
เปิดเผยว่าวัดร้องขุ้ม พร้อมด้วยผู้ใหญ่บ้าน ไวยาวัจกร คณะกลุ่มแม่บ้าน คณะกฐิน-ผ้าป่า
และคณะกรรมการวัด ตลอดจนคณะศรัทธาและเมตตาบารมีอุปถัมภ์ พระอาจารย์ประสิทธิ์ ปุญญกโร วัดป่าหมู่ใหม่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ 

ได้ร่วมกันบูรณะองค์พระเจดีย์วัดร้องขุ้ม รวมทั้งก่อสร้างเสนาสนะต่างๆ ภายในวัด บูรณะองค์พระเจดีย์วัดร้องขุ้ม ขนาดความกว้าง 10 เมตร สูง 16 เมตร โดยได้หุ้มแผ่นทองแล้วปิดทองคำเปลวแท้ 100% ทั้งองค์ใช้ทุนทรัพย์ 3,322,000 บาท สร้างพระเจ้าทันใจ 1 องค์ พร้อมสร้างมณฑปพระเจ้าทันใจด้วยไม้สักทอง 1 หลัง ลงรักปิดทอง สร้างป้ายวัดด้วยหินแกรนิต ขนาดสูง 3 เมตรครึ่ง ยาว 7 เมตร สร้างห้องน้ำพระสงฆ์จำนวน 5 ห้อง 

รวมรายการบูรณะและก่อสร้างเป็นเงินทั้งสิ้น 4,276,000 บาท ขณะนี้บูรณะและก่อสร้างได้สำเร็จเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงได้ทำบุญฉลองสมโภช ถวายเป็นสมบัติในพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อมหาชนสืบต่อไป
ในโอกาสอันเป็นมงคลนี้ พระอาจารย์สิทธิ ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดร้องขุ้ม ได้รับบัญชาจาก พระเทพโกศล เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ แต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส รับตราตั้งมอบจากพระวิสุทธิวงศาจารย์ เจ้าคณะภาค 7 ณ หอประชุมทีปังกรรัศมีโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา คณะศรัทธาวัดร้องขุ้มและศิษยานุศิษย์ ได้มีมติให้มีการจัดงานฉลองตราตั้งเจ้าอาวาส พร้อมจัดงานประเพณีสรงน้ำพระธาตุและสรงน้ำกู่อัฐิครูบาเจ้าบุญปั๋น ประจำปี 2555

ถกประเมินเกณฑ์ 9 วัดปากน้ำ


น.ส.อังศุมาลิน จุฑาจินดาเขต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสมุทรปราการ เปิดเผยว่า 
สำนักพุทธฯ จ.สมุทรปราการ ได้จัดการประชุมประเมินตามเกณฑ์มาตรฐานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ประจำปี 2555 วัดในเขตอำเภอบางเสาธง จำนวน 9 วัด ได้แก่ วัดหัวคู้ วัดเสาธงกลาง วัดศิริเสาธง วัดศรีวารีน้อย วัดเสาธงนอก วัดจระเข้ใหญ่ วัดบัวโรย วัดปากคลองมอญ และ วัดมงคลนิมิต 

โดยมี พระครูสิริธัชพัฒนโสภณ เจ้าคณะอำเภอบางเสาธง และ เจ้าอาวาสวัดศิริเสาธง เป็นประธานการประชุม ผู้เข้าร่วมประชุม ได้แก่ เจ้าอาวาสวัดทุกวัดในเขตอำเภอบางเสาธง 

ในการประเมินวัดตามเกณฑ์มาตรฐานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในปี 2555 คณะสงฆ์จังหวัดสมุทรปราการ และสำนักพุทธฯ จ.สมุทรปราการ ได้มีมติร่วมกันในการประเมินวัด 
โดยให้วัดดำเนินการประเมินตนเองตามแบบที่กำหนด และให้เจ้าคณะอำเภอบางเสาธงและเจ้าคณะจังหวัดเป็นผู้รับรองผลการประเมินของแต่ละวัด ในการประชุมดังกล่าว สำนักพุทธฯ จ.สมุทรปราการ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า จะดำเนินการอบรมไวยาวัจกรทุกวัด จึงขอให้วัดทุกวัดดำเนินการแต่งตั้งไวยาวัจกรและส่งเอกสารสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และใบตราตั้งให้สำนักพุทธฯ จ.สมุทรปราการ เพื่อจะได้รวบรวมรายชื่อในการดำเนินการอบรมต่อไป ในการอบรมไวยาวัจกรนั้นเป็นการดำเนินการตามตัวชี้วัดของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุกจังหวัดดำเนินการจัดอบรมไวยาวัจกรของวัด ให้ได้รับความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งรับทราบแนวทางการดำเนินงานเบื้องต้นในการจัดการทรัพย์สินของวัด ในฐานะผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัด เนื่องจากตำแหน่งไวยาวัจกร เจ้าอาวาสวัดเป็นผู้แต่งตั้งโดยอนุมัติของเจ้าคณะปกครอง

พุทธชยันตี นิทรรศการสังเวชนียสถานคึกคัก


นายสมชาย เสียงหลาย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการ
กองทุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา สังเวชนียสถาน 4 ตำบล 
สถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา พร้อมทั้งจัดกิจกรรมสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา
เนื่องในเทศกาลวิสาขบูชา ฉลองพุทธชยันตี 2600 ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า 
ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง 



โดยมี พระพรหมเมธี กรรมการมหาเถรสมาคม
เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ จัดโดยกรมการศาสนา (ศน.) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับองค์กรเครือข่ายทางพระพุทธศาสนา องค์กรภาครัฐและเอกชน ทั้งนี้ พระพรหมเมธีกล่าวว่า การเฉลิมฉลองพุทธ ชยันตี 2600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ถือเป็นโอกาสสำคัญที่พุทธศาสนิกชนได้ระลึกถึงพระกรุณาธิคุณ และได้น้อมนำหลักธรรมมาสู่การปฏิบัติ 

ซึ่งที่ผ่านมาหลายประเทศทั่วโลกประสบวิกฤตการณ์ต่างๆ มากมายรวมทั้งประเทศไทย 
ก็ผ่านวิกฤตการณ์ต่างๆ มาได้เพราะเรามีหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาดำเนินชีวิตใช้ร่วมกันในสังคม นอกจากนี้ ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ทุกหน่วยงานเห็นความสำคัญของการส่งเสริม คุณธรรม จริยธรรม ของเด็กและเยาวชน ที่จะเติบโตเป็นผู้นำของชาติในอนาคต เพราะคุณธรรม จริยธรรมนั้นจะเป็นเครื่องกล่อมเกลาจิตใจให้เขาเหล่านั้นเติบโตเป็นคนที่มีคุณภาพ ที่สำคัญจะทำให้คนที่อยู่ร่วมกันในสังคมเกิดความสงบสุข อยากฝากถึงพ่อแม่ผู้ปกครองซึ่งเป็นต้นทางของคุณธรรม จริยธรรม ต้องคอยเป็นผู้ที่สั่งสอนลูกหลานของเราให้อยู่ในหลักธรรม ดำรงตนไม่ให้เป็นที่เดือดร้อนของผู้อื่น หากเราไม่ช่วยกันดูแล ต่อไปเด็กขาดสิ่งเหล่านี้แล้วสังคมก็อยู่ไม่ได้


นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า สำหรับกิจกรรมภายในงานล้วนมีสารประโยชน์ต่อผู้สนใจ อาทิ การประกวดสวดมนต์หมู่สรรเสริญพระรัตนตรัยทำนองสรภัญญะ การประกวดสวดโอ้เอ้วิหารราย การเล่านิทานธรรมะ การวาดภาพ การแสดงด้านวัฒนธรรมของนักเรียน โดยจะเน้นส่งเสริมการเผยแผ่หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาสู่พุทธศาสนิกชนด้วยการสนับสนุนให้คณะสงฆ์สถานศึกษาและส่วนราชการต่างๆ ได้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาให้แก่นักเรียน นักศึกษา และประชาชน เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมและหลักปฏิบัติต่างๆ ทางพระพุทธศาสนา

ความเพียร 4 ประการ

วิริยะ ความเพียรอย่างยิ่งในการทำความดี เพื่อนำไปสู่ความก้าวหน้า ความสำเร็จ 
ความเพียรที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา มี 4 ประการคือ


เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นภายในใจ พระพุทธองค์ทรงสอนให้ระวังปลูกฝังความพอใจใช้ความเพียรอย่างต่อเนื่อง ในการรักษาใจ ประคองใจไม่ให้เกิดความยินดียินร้าย ในเวลาที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องเย็นร้อนอ่อนแข็ง ใจนึกตรึกตรองปรุงแต่งถึงอารมณ์ที่มาสัมผัสถูกต้อง

เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว พระพุทธองค์ทรงสอนให้มีความพอใจ ใช้ความพยายามกระทำความเพียรอย่างต่อเนื่องในการละบาปอกุศลที่บังเกิดขึ้นแล้ว จะมากหรือน้อยเท่าไรก็ตาม เมื่อละได้แล้วให้ประคองจิตไว้ในที่นั้นๆ แล้วพยายามต่อไป โดยพิจารณาเห็นโทษของบาปอกุศล ที่เกิดขึ้นนั้น มีผลนำความทุกข์มาให้ เช่น เมื่อทำความผิด ต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย เป็นต้น

เพียรพยายามสร้างบุญกุศลให้เกิดขึ้นในใจ พระพุทธองค์ทรงสอนให้สร้างความพอใจความยินดีในการทำความดี มี ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นต้นให้บังเกิดขึ้น โดยยึดหลักการปฏิบัติดีอย่างต่อเนื่อง ความดีที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น เมื่อสร้างได้แล้วให้พยายามรักษาคุณภาพจิตไว้และพยายามต่อไป ไม่ย่อท้อแม้มีอุปสรรคสะดุดล้มในบางครั้ง ต้องพยายามประคับประคองใจ ไม่ยอมแพ้

เพียรรักษาสิ่งที่ดี ที่บังเกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อมไป พระพุทธองค์ทรงสอนให้ปลูกฝังความพอใจใช้ความพยายามกระทำความเพียรอย่างต่อเนื่อง ในการที่รักษากุศล คือ ความดีต่างๆ ที่มีอยู่แล้วไม่ให้เสื่อมไป เหมือนเกลือรักษาความเค็ม ฉะนั้น ความความเพียร 4 ประการ เรียกว่า ความเพียรในทางที่ชอบ หรือ ความเพียรชอบในอริยมรรค เป็นหลักธรรมที่ทรงสอนให้บุคคลประกอบความดีให้บังเกิดขึ้นในชีวิตของตน แม้แต่การบริหารบ้านเมือง อยู่ในโครงสร้างของความเพียรเช่นกัน

เพียรป้องกันสิ่งซึ่งเป็นพิษเป็นภัยที่ยังไม่เกิดขึ้นไม่ให้เกิดขึ้น

เพียรกำจัดสิ่งที่ เห็นว่าเป็นโทษเป็นภัยเป็นอันตรายที่เกิดขึ้น แล้วกำจัดให้หมดไป

เพียรทำแต่เรื่องที่ดี มีประโยชน์เกื้อกูลแก่ตนและบุคคลอื่น ให้เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น

เพียรรักษาสิ่งดีงามเหล่านั้นให้คงอยู่และมีความเจริญงอกงามไพบูลย์เต็มที่

พระพุทธศาสนาเน้นความสำคัญเรื่องความเพียรอย่างถูกต้อง 
ซึ่งสามารถให้ผลสำเร็จก้าวหน้าในชีวิตของบุคคล ในหน้าที่การงาน ในการดำเนินชีวิต 
และในการปฏิบัติธรรม ล้วนต้องอาศัยความเพียรพยายามทั้งนั้น แต่จะต้องเป็นความเพียรพยายามในทางที่ชอบดังกล่าว เพราะเมื่อปฏิบัติเช่นนี้ ได้ชื่อว่าดำเนินตามหลักอริยมรรคที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้

"พระพรหม” หล่อรุ่นแรก หลวงพ่อชำนาญ ปทุมธานี


พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง เชื้อสายมอญเมืองปทุมธานี "หลวงพ่อชำนาญ วัดบางกุฎีทอง" 
ปัจจุบันวัตถุมงคลของท่านได้รับความนิยมอย่างมาก
ล่าสุดวัตถุมงคลในรูปแบบ "พระพรหม" กำลังมาแรง 
หลวงพ่อชำนาญท่านเรียนสายวิชาตำราพรหมสี่หน้า สืบทอดมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา 
จารึก "สมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว" พระอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 
ผ่านทางสายวัดประดู่ในโรงธรรม ปรากฏชัดเจนในสายวิชาหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติฯ 
หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อาจารย์เฮง ไพรยวัลย์ และหลวงพ่อสีห์ วัดสะแก เป็นต้น

วิชาตำราพรหมสี่หน้าส่งผ่านถึงรุ่น "หลวงปู่สุรินทร์ เรวโต" วัดบางกุฎีทอง จ.ปทุมธานี 
และ อาจารย์อู๋ ลอยเรือ ซึ่งตามประวัติเป็นครูเรือแจว ซึ่งเป็นศิษย์อาจารย์เฮง ไพรยวัลย์ 
สืบต่อมาถึงหลวงพ่อชำนาญโดยตรง วิชาพรหมสี่หน้าทั้งสายสอดคล้องกันอย่างลงตัว 
และแสดงผลให้ประจักษ์

ในแต่ละปีผู้คนที่เข้าร่วมพิธีเป่ายันต์พรหมสี่หน้าที่วัดบางกุฎีทอง จะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ 
และปรากฏอภินิหารต่างๆ และทุกปีอีกเช่นกันที่จะมีการสร้างวัตถุมงคลรูปแบบพระพรหมลักษณะต่างๆ ทุกรุ่นได้รับความนิยมจากศิษยานุศิษย์จำนวนมากและโด่งไปไกลถึงต่างแดน

วัตถุมงคลพระพรหมที่สร้างมาทั้งหมดนั้น หลวงพ่อชำนาญยังไม่เคยสร้าง "รูปหล่อพระพรหมขนาดเล็ก" ที่ใช้สำหรับห้อยคอบูชาเลย ในงานพิธีเป่ายันต์พรหมสี่หน้าครั้งที่ 12 ท่านจึงให้จัดสร้าง และจัดพิธีเททองหล่อในงานเป่ายันต์พรหมสี่หน้าไปพร้อมกัน 




พระพรหม แปลว่า พระผู้ประเสริฐ ทรงคุณวิเศษ มีอิทธิฤทธิ์ มีอำนาจ และอานุภาพมาก 
พร้อมทั้งมีบารมีช่วยเหลือเกื้อกูลได้สารพัดนึก พระพรหมของหลวงพ่อชำนาญไม่ใช้การเสกพระพรหมธรรมดาทั่วไป แต่เป็นเชิญองค์พระพรหมมาสถิต หรือที่ภาษาเทพเขาจะเรียกว่า แบ่งภาคญาณพระพรหมให้มาสถิตประจำที่วัตถุมงคลองค์นั้นๆ การที่จะเชิญพระพรหมได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับญาณบารมีของผู้ปลุกเสก หรือผู้เชิญ พระพรหมของหลวงพ่อชำนาญจึงมีอานุภาพ เห็นผลมาก ว่ากัน 4 ประการตามตำรา คือ

1.มีเมตตามหานิยมเป็นที่สุด 
2.แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง 
3.เงิน ทอง ไม่ติดขัด การงานธุรกิจเจริญรุ่งเรือง ทำมาค้าขายดี 
4.แก้ดวงไม่ดี ดวงตก ทุกโทษภัยจากดวงดาว ราศี พระราหู และเบญจเพส

"พระพรหมหล่อรุ่นแรก" ภายในองค์พระพรหมฝังข้าวก้นบาตรแทนเม็ดกริ่ง 
ข้าวก้นบาตรที่หลวงพ่อชำนาญอธิษฐานจิตปลุกเสกขณะฉัน หรือ หนึ่งคือแม่โพสพ 
นำมาซึ่งความอิ่มเอมเปรมใจ สุขกาย สุขใจ อุดมสมบูรณ์ มีพละกำลังยิ่งๆ ขึ้นไป 
ดวงแผ่นยันต์บรรจุที่ฐานพระพรหม เป็นดวงแห่งความเจริญรุ่งเรือง


พระพรหมหล่อรุ่นแรกขนาดค่อนข้างใหญ่ กว้าง 2.6 เซนติเมตร ยาว 1.8 เซนติเมตร 
สูง 5.5 เซนติเมตร ตัวเลขบวกกันได้ 8, 9, 10 เป็นเลขมงคลแห่งความเจริญยิ่งๆ ขึ้น

ติดต่อบูชาได้ที่ วัดบางกุฎีทอง ต.บางกะดี อ.เมือง จ.ปทุมธานี

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วัดพระธาตุพนม กวนข้าวทิพย์-ฉลองพุทธชยันตี

พระครูปลัดวรวุฒิ รตนวโร เลขานุการเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร 
อ.ธาตุพนม จ.นครพนม 
เปิดเผยว่า วัดพระธาตุพนมร่วมมือกับจังหวัด และ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครพนม 
จัดงานฉลองปีพุทธชยันตี 2600 ปี แห่งการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า ที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร 
พระอารามหลวงชั้นเอก เมื่อวันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมา 

โดยมี นายอนุกูล ตังคณานุกุลชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ลั่นฆ้องชัยเปิดงาน 
โดยพระสงฆ์ 9 รูป เจริญชัยมงคลคาถา และมอบธงปีพุทธชยันตีให้กับหน่วยงานต่างๆ 













หลังจากนั้นพระเทพวรมุนี เจ้าคณะจังหวัดนครพนม นำพุทธศาสนิกชนร่วมปฏิบัติธรรม 
แห่พระอุปคุตจากริมฝั่งน้ำโขงมาถึงวัดเพื่อปกป้องคุ้มครองงาน แห่พระเวสสันดร และเทศน์สังกาจ 
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานกวนข้าวทิพย์ เทศน์มหาชาติภาษาอีสานเฉลิมพระเกียรติ 
ทำพิธีทำบุญตักบาตรพระภิกษุ-สามเณรจำนวน 300 รูปบริเวณหน้าวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร 
หลังจากนั้นเป็นพิธีรับพระมหาเปรียญที่พระสงฆ์สอบได้ 3 รูป เปรียญธรรม 9 ประโยค 1 รูป 
และเปรียญ 6 ประโยค 2 รูป โดยจัดให้มีกิจกรรมแข่งขันท่องสรภัญญะ สวดมนต์หมู่ จัดโต๊ะหมู่บูชา 
และผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ประกอบพิธีถวายผ้าป่าพุทธชยันตี 
ก่อนนำพุทธศาสนิกชนเวียนเทียนรอบพระธาตุพนม

ปฏิบัติบูชา ฉลองพุทธชยันตี 2600 ปี


พุทธชยันตี เป็นวาระที่สำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา 
พุทธชยันตี โดยรากศัพท์ของคำว่า ชยันตี มาจากคำว่า "ชย" คือ ชัยชนะ 
อันหมายถึงชัยชนะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อหมู่มาร และกิเลสทั้งปวงอย่างสิ้นเชิง 
อันทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บังเกิดขึ้นในโลก

"พุทธชยันตี" จึงมีความหมายว่าเป็นการตรัสรู้ และการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย 
ในปัจจุบัน พุทธชยันตียังความหมายถึง ชัยชนะของพุทธศาสนาและชาวพุทธ ด้วยเช่นกัน

ประเทศไทยมีการจัดงานฉลองพุทธชยันตี 2600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า 
ด้วยการจัดกิจกรรมเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาเป็นวาระพิเศษตลอดทั้งปี เช่น 
การจัดกิจกรรมพุทธบูชา การปฏิบัติธรรม และการจัดกิจกรรมต่างๆ



ปรับใหม่-หลักสูตรสอนบาลี โรงเรียนปริยัติสามัญ


พระพรหมโมลี เลขานุการแม่กองบาลีสนามหลวง 
เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ปรับหลักสูตรการเรียนการสอนบาลี 
ในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาใหม่ โดยวางแนวทางการสอนดังนี้ 

1.การจัดตารางเวลาการเรียนการสอน 

2.การจัดหลักสูตร และหนังสือแบบเรียนโดยมุ่งเน้นให้ตรงกับหลักสูตรการศึกษาบาลี 

3.การจัดอบรมครูสอนพระปริยัติธรรม แผนกบาลีของคณะครูสอนบาลีในสังกัดโรงเรียนพระปริยัติธรรม 

ซึ่งจากนี้ไปหลักสูตรการเรียนการสอนของกองบาลีสนามหลวง และกองธรรมสนามหลวง 
จะมีความสอดคล้องกัน รวมทั้งจะปรับการเรียนการสอนแผนกสามัญศึกษาใหม่
ให้มีเวลาเรียนบาลีมากขึ้น โดยจะเรียนบาลีสัปดาห์ละ 5 คาบ หรือเทอมละ 100 คาบ 
ซึ่งมีเวลาเพียงพอ และจะไม่ทำให้ผู้เรียนเรียนหนักจนเกินไป โดยจะเริ่มในช่วงเปิดเทอมใหม่นี้ 
คาดว่าจะเห็นผลสัมฤทธิ์ของการเรียนการสอนบาลีได้ภายใน 1 ปี เนื่องจากพระภิกษุ-สามเณรจะต้องเรียนไวยากรณ์ก่อนอย่างน้อย 1 ปี จากนั้นจะเริ่มเรียนประโยคต่างๆ และถึงเข้ามาสอบบาลีสนามหลวงได้ 



พระพรหมโมลีกล่าวด้วยว่า วิชาบาลีเป็นหัวใจหลักในการศึกษาพระไตรปิฎก 
หากพระภิกษุ-สามเณร มีความรู้ ก็จะสามารถอ่าน เขียน แปลพระไตรปิฎกได้อย่างถูกต้อง 
หลักคำสอน ก็จะไม่ผิดเพี้ยน 
เนื่องจากที่ผ่านมาพระภิกษุ-สามเณรบางรูปเห็นว่าวิชาบาลียากก็จะหันไปเรียนวิชาสามัญ 
ทำให้ไม่มีความรู้ด้านบาลี ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เมื่อการศึกษาคณะสงฆ์ปรับปรุงแก้ไขให้เกิดความเข้มแข็งเช่นนี้ คาดว่าในอนาคตการสอบบาลีสนามหลวงจะมีจำนวนผู้สอบมากขึ้น ยังหวังเล็กๆ อีกว่าหากเป็นไปได้ในอนาคต หากมีฆราวาสสนใจเข้ามาเรียนมากขึ้น มาสอบวัดความรู้มากขึ้น ก็จะดีมาก

ฆราวาสผู้ที่สอบผ่านก็จะได้ช่วยเป็นกำลังในการสอนบาลี 
เพื่อช่วยแก้ปัญหาการขาดครูบาลีได้อีกทางหนึ่ง


แม่เศรษฐี (แม่นางกวัก) ครูบาต้นบุญ ติกขปัญโญ

ครูบาต้นบุญ ติกขปัญโญ พระเกจิวัดป่าทุ่งกุลาเฉลิมราช จ.ร้อยเอ็ด 
ปัจจุบันวัตถุมงคลของท่านหลายรุ่นได้รับความนิยมในหมู่ลูกศิษย์ลูกหา และนักสะสม 

ล่าสุดท่านจัดสร้างเครื่องรางของขลัง "แม่เศรษฐี หรือแม่นางกวัก" ขึ้น ตามคำเรียกร้องของศิษย์ พุทธคุณช่วยในด้านการทำมาค้าขาย รุ่นนี้ถือว่าเป็นรุ่นแรกหลังจากที่ท่านหยุดจัดสร้างเป็นเวลาถึงสองปี เพื่อเดินธุดงค์ไปสถานที่สำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประเทศลาว ประเทศพม่า

โดย งานหลักของครูบาต้นบุญ คือ เผยแผ่ธรรมะ ตามสถานที่ต่างๆ แต่เรื่องวัตถุมงคลจัดสร้างขึ้นเพื่อ เผยแพร่บารมีครูบาอาจารย์ไม่ให้สูญหาย







 




"แม่นางกวัก" ของครูบาต้นบุญ ตั้งชื่อว่า "แม่เศรษฐี มหามงคลโภคทรัพย์" 
โดยท่านได้ผสมโลหะ และมวลสารต่างๆ พร้อมฝังของกายสิทธิ์ตามตำราโบราณที่สืบทอดมาทางสายพราหมณ์ ฮินดู โดยใช้โลหะที่เด่นทางด้านลาภผล 108 ชนิด เช่น โลหะยอดปราสาท โลหะสายแร่ทองคำ โลหะสายแร่เงิน เป็นต้น และใต้ฐานบรรจุด้วย 

1. หุ่น(ทำจากหญ้าคา) หญ้าคาในสมัยก่อนใช้ในการป้องกันสิ่งไม่ดี สิ่งชั่วร้าย ในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าใช้เป็นพุทธอาสนะบัลลังก์และเกิดการตรัสรู้ หญ้าคาที่ใช้นี้ได้ผ่านการใช้ทำต้นผ้าป่าหรือต้นกฐิน(ต้นเงินต้นทอง) ที่มีผู้คนมากมายได้ตั้งจิตอธิษฐานให้เกิดความพอกพูน อุดมสมบูรณ์ และรวมกับที่ใช้ทำไม้พรมน้ำพระพุทธมนต์ที่ผ่านการ อธิษฐานจิตการปลุกเสกจากครูบาอาจารย์ หลายๆ ท่านเป็นการปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไป การทำหุ่นเพื่อใช้เป็นตัวแทนของอาการ 32 ประการ เพื่อเป็นตัวแทนเป็นบริวาร
2. หลอดด้ายเงินด้ายทอง (ได้เงินได้ทอง) สมัยก่อนผู้หญิงจะต้องทำงานบ้านได้ทุกคนโดยเฉพาะการทอผ้า ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่า การทอผ้าผู้หญิงสมัยก่อนทุกคนทำเป็นก่อนที่จะแยกเรือนมีครอบมีครัวและแสดงถึงความเป็นกุลสตรีที่มีความประณีตความละเอียดอ่อน

3. หลอดพันผ้าจีวร เพื่อเป็นการปกปักรักษา คุ้มครองป้องกัน ด้วยพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ

4. ข้าวสารเสก เป็นข้าวสารที่ผ่านการปลุกเสกมาแล้วหลายพิธี ในสมัยก่อนข้าวสารเสกจะใช้ในการปัดเป่าสิ่งไม่ดี สิ่งชั่วร้าย

5. ข้าวเปลือก บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ ในสมัยก่อนผู้ที่มีพื้นที่การเกษตรมีข้าวเยอะจะบ่งบอกถึงฐานะบรรดาศักดิ์และเกียรติยศ จึงเกิดการทำสงครามเพื่อการล่าอาณานิคม ยึดพื้นที่ยุคต่อๆ มา

6. ไม้มงคล 3 อย่าง (ไม้พะยูง, ไม้แก่นขามฟ้าผ่า, ไม้สักเงินสักทอง) คอยพยุงค้ำชู เป็นที่เกรงขาม และร่ำรวยเงินทอง

7. ส้มป่อย ในสมัยก่อนจะใช้ทำน้ำมนต์น้ำหอมในงานมงคล เป็นการไล่สิ่งไม่ดีสิ่งชั่วร้าย 

8.เหล็กน้ำพี้, ขี้เหล็กไหล, หินแร่เงินแร่ทอง ช่วยเป็นรากฐานค้ำชูโชคลาภ




แม่เศรษฐีมหามงคลโภคทรัพย์ ขนาด 7.5 นิ้ว สร้างจำนวน 999 องค์ 
หมายเลข 1-108 เนื้อสนิมเขียว หมายเลข 109-999 เนื้อรมดำ 
แม่เศรษฐีเจริญโภคทรัพย์ เนื้อเขียวเกี่ยวทรัพย์ฝังตะกรุดทองคำ เนื้อผงอิทธิเจ ฝังตะกรุดเงิน 
เนื้อชานหมากฝังตะกรุดเงิน ด้านหลังโรยพลอยเสก ชุดกรรมการ 3 องค์ สร้าง 999 ชุด 
เนื้อชานหมากหลังโรยพลอยเสก สร้าง 2,555 องค์ 
เนื้อผงอิทธิเจหลังโรยพลอยเสก สร้าง 2,555 องค์ 
วัตถุมงคลทั้งหมดจะนำเข้าพิธีมหาพุทธาเทวาภิเษกในวันที่ 27 มี.ค.2555

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

หลวงพ่อเชื้อ สุกกวัณโณ พระเกจิวัดใหม่บำเพ็ญบุญ


หลวงพ่อเชื้อ สุกกวัณโณ พระเกจิวัดใหม่บำเพ็ญบุญ



พระเกจิอาจารย์ชื่อดังเมืองชัยนาท ที่สาธุชนให้ความเลื่อมใสศรัทธา คือ "หลวงปู่ศุข เกสโร" 
แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า หนึ่งในพระอาจารย์ของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือ "เสด็จเตี่ย" 


แต่ในยุคที่หลวงปู่ศุขมีชื่อเสียงโด่งดัง ยังมีพระเกจิอาจารย์อีกรูปหนึ่ง ที่เรืองวิทยาคมไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน 
คือ "หลวงพ่อคง ยสถิโร วัดใหม่บำเพ็ญบุญ" ท่านอ่อนพรรษากว่าหลวงปู่ศุข และยังเป็นสหธรรมิก
ที่ไปมาหาสู่กับ "หลวงพ่อโต วัดวิหารทอง" เป็นประจำ รวมทั้งเป็นอาจารย์ของ หลวงพ่อโม วัดจันทนาราม

ศิษย์เอกหลวงพ่อคง ที่ได้รับการถ่ายทอดพุทธาคม คือ "หลวงพ่อเชื้อ สุกกวัณโณ" อดีตเจ้าอาวาสวัดใหม่บำเพ็ญบุญ 
ท่านเป็นสหธรรมิกที่สนิทกับ "หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม"

หลวงพ่อเชื้อ เป็นชาวห้วยกรด โดยกำเนิด เกิดเมื่อ วันอาทิตย์ที่ 28 ธ.ค.2446 ปีมะโรง 
เป็นลูกชาวนาตระกูลปานขวัญ โยมบิดามารดาชื่อ นายไปล่ และ นางมี มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน ท่านเป็นคนที่ 3 

เมื่ออายุ 17 ปี โยมพ่อได้นำไปฝากเรียนหนังสือกับหลวงพ่อคง วัดใหม่บำเพ็ญบุญ 

พออายุได้ 20 ปี จึงได้อุปสมบท ณ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ มี หลวงพ่อคง ยสถิโร เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอธิการเตี้ย วัดกลาง และ พระพรหม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายา "สุกกวัณโณ"

หลังอุปสมบท ท่านได้ไปศึกษาพระปริยัติธรรม ณ สำนักศรัทธาราษฎร์ 
ประตูท่าแห อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท สามารถสอบได้นักธรรมชั้นโท

ในปีพ.ศ.2475 ท่านได้กลับมาพำนักอยู่วัดใหม่บำเพ็ญบุญ ได้ศึกษาทางด้านวิปัสสนาธุระ
และวิทยาคมจากหลวงพ่อคง จนกระทั่งหลวงพ่อคงมรณภาพ ท่านจึงรับภาระปกครองดูแลวัดสืบต่อมา 

นอกจากกิจวัตรแล้ว หลวงพ่อยังได้ถือธุดงค์เป็นกิจวัตรแสวงหาความสงบในที่ต่างๆ อีกหลายแห่ง
จนถึงประเทศลาว มีสานุศิษย์ทั้งทางภาคอีสาน และฝั่งเวียงจันทน์ 



หลังจากนั้นได้มาศึกษาวิทยาคมต่อกับ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ เจ้าตำรับมีดหมอ และสิงห์งาแกะ 
และไปเรียนวิชาทำตะกรุดจาก หลวงพ่อโม วัดจันทนาราม จนปรากฏชื่อเสียงป็นพระปฏิบัติที่มีวิทยาคมเข้มขลัง 

หลวงพ่อเชื้อ เป็นพระที่มีวัตรปฏิบัติที่น่าเลื่อมใสศรัทธาอย่างยิ่งแก่ผู้ที่พบเห็น เป็นพระที่มีพรหมวิหาร 
ไม่สะสมปัจจัยทุกอย่างที่มีคนมาถวายตามศรัทธา ท่านจะนำมาใช้ประโยชน์ในทางบำรุงพระพุทธศาสนา 
จึงมีชีวิตอยู่อย่างง่ายๆ ตามแบบพระสงฆ์ที่ควรกราบไหว้ทั่วไป ชอบสันโดษ สมถะแม้แต่การฉันหรือการอยู่อาศัย 
ได้มีผู้ศรัทธาสร้างกุฏิใหญ่โต สะดวกสบาย แต่ท่านไม่สนใจ "ตรงกันข้ามกลับอาศัยมุมหนึ่งของศาลาวัดเป็นที่จำวัด" 

โดยให้เหตุผลว่า "ที่ชอบนอนศาลาวัด เพราะว่าสบาย โล่งแจ้งดี ใครไปมาหาสู่ก็พบเห็นง่าย 
ใครไปหาเมื่อใดก็พบเมื่อนั้น นอกเสียจากท่านติดกิจนิมนต์" 


ด้านวัตถุมงคล เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อเชื้อ จัดสร้างเมื่อปีพ.ศ.2506 
เหรียญรุ่นนี้มีประสบการณ์มากมาย พุทธคุณดีทั้งด้านเมตตา แคล้วคลาด คงกระพัน 

อีกสิ่งหนึ่งที่บรรดาคณะศิษยานุศิษย์ เชื่อมั่นคือ "น้ำพระพุทธมนต์" มากด้วยพุทธคุณเมตตามหานิยม 
ค้าขายดี เงินทองมั่งมี อีกทั้งยังป้องกันภูตผีปีศาจ และคุณไสย 


ท่านได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตรในราชทินนาม "พระครูสุชัยบุญญาคม"
 
จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต ได้มรณภาพอย่างสงบเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2525 เวลา 18.46 น. สิริอายุได้ 78 ปี
 
การจากไปของท่านได้สร้างความเศร้าสลดแก่คณะศิษย์และผู้ที่ศรัทธาในตัวหลวงพ่อเป็นอย่างมาก
 

ปัจจุบันวัดใหม่บำเพ็ญบุญ เเละ บรรดาศิษย์หลวงพ่อเชื้อ ได้ยึดถือเอาวันที่ 2 มกราคมของทุกปี 
เป็นวันทำบุญประจำปี เพื่ออุทิศและรำลึกถึงหลวงพ่อเชื้อ!!


วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ศีลธรรมชี้นำทา

มีคนเคยกล่าวไว้ว่า "เมื่อสังคมเป็นระเบียบ คนโง่เขลาเพียงคนเดียวย่อมไม่อาจทำให้วุ่นวายได้ 
และเมื่อสังคมยุ่งเหยิง นักปราชญ์เพียงหนึ่งเดียว ก็ไม่อาจสร้างระเบียบได้" เป็นเครื่องยืนยันว่า
หากใครหวังความสงบก็ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับผู้คน ควรพยายามนำตัวเองหลีกออกจากสังคมอันแสนจะวุ่นวายนี้ 

แต่เมื่อเรายังมีความจำเป็น ต้องใช้ชีวิตพึ่งพากันและกันอยู่ ต้องมีสังคมยังไม่อาจหลีกหนีหลบเลี่ยงได้
ก็จำเป็นต้องมีหลักปฏิบัติบางประการที่จะช่วยสร้างความสงบให้เกิดขึ้น นั่นคือหลัก "ศีล" และ "ธรรม"




"ศีล" เป็นข้อปฏิบัติที่งดเว้นจากการเบียดเบียนตนเอง และ ผู้อื่นให้เดือดร้อน 
ในมหาปรินิพพานสูตรได้กล่าวถึงโทษของการไม่รักษาศีลว่าจะทำให้เสียทรัพย์ ทำให้มีชื่อเสียงไม่ดี 
ขี้ขลาด กลัวตาย แม้แต่ตายไปก็จะไปตกในอบายภูมินรก เป็นต้น 

"ธรรม" คือความดีที่ใช้รักษาศีล เช่น มีเมตตา ช่วยรักษาศีลข้อห้ามฆ่าสัตว์ เป็นต้น 
และเมื่อผู้รักษาศีลก็จะประสบความสุข มีเงินทอง มีชื่อเสียงดี มีความกล้าหาญ ไม่เกรงกลัวตาย 
เพราะเชื่อมั่นความดีของตน เมื่อตายก็ไปสวรรค์ 

ฉะนั้น เมื่อเรางดเว้นจากความชั่วทั้งปวงด้วยการรักษาศีลไว้เป็นเบื้องต้น 
ขณะเดียวกัน เราก็ได้ทำความดีคือมีเมตตา ไปพร้อมกัน และไม่ว่าชีวิตจะเผชิญหน้ากับสิ่งใด
ก็ยังคงยึดมั่นต่อหลักการนี้ให้ช่วยชี้นำหาทางออก 

ไม่นานสังคมก็จะเรียบง่ายสุขสงบ เพราะมี "ศีลธรรม" ชี้นำทาง

มีหลายครั้งที่ทางทีมงานพระวิทยากรได้ไปอบรมผู้เคยผิดพลาดในชีวิตติดยาเสพติด 
เขาเหล่านั้นพอได้รับโอกาสเข้าร่วมอบรมก็ได้เริ่มซึมซับความดีทีละเล็กละน้อย จากการรักษาศีล สวดมนต์ นั่งสมาธิ 
หากเขายังรักษาศีลและธรรมะ หรือความดีนี้ไว้ได้ ก็เป็นวิธีช่วยให้เขาหลีกหนีจากความไม่ดีทั้งปวงได้เช่นกัน 




"ก็เหมือนเราเคยนั่งรถบัส แต่ก่อนต้องยืน เดี๋ยวนี้นั่งสบาย เย็นแอร์อีกต่างหาก ไม่ลำบากเหมือนก่อน 
ทีนี้พอจะให้กลับไปนั่งรถบัสที่ไม่มีแอร์ ก็รู้สึกว่าไม่อยากนั่งอีก นี่เองเมื่อเราดีขึ้นก็ไม่อยากกลับไปลำบากอีก 
ก็ต้องรักษาความดีนั้นไว้ อ้อ... แต่ความคิดนี้คงใช้ไม่ได้กับประเทศอินเดียนะ" พระอาจารย์เปรียบเทียบให้ผู้เข้าอบรมฟัง




"ทำไมละครับ" โยมถาม "เพราะประเทศอินเดียมีคนเยอะมาก แต่รถบัสสำหรับเดินทางมีน้อย 
เวลาคนจะขึ้นทีก็ต้องอัดให้เต็มที่ จึงต้องนั่งบนหลังคาด้วย ขอเพียงให้ได้ไปก็พอ แต่โยมรู้ไหม
ค่ารถข้างในรถบัสกับข้างนอกรถบัส อันไหนแพงกว่ากัน" พระอาจารย์ถาม 

โยมนิ่งคิดแล้วพูดขึ้นโดยเปรียบเทียบกับรถบ้านเรา "ก็ต้องข้างในซิครับ ปลอดภัยกว่าข้างนอก"

"ผิดแล้วโยม ข้างนอกรถสิแพงกว่า เพราะทุกคนอยากนั่งข้างนอกมากกว่า ลมก็เย็นสบาย แต่ข้างในแออัด
แถมกลิ่นตัวใครไม่รู้ คิดดูว่าต้องทนดมกันเป็นวันๆ ข้างนอกจึงแพงกว่า" พระอาจารย์พูดขึ้นขณะที่ทุกคนนึกภาพตาม 

"ช่างน่าดีใจที่เกิดเป็นคนไทยและอยู่เมืองไทยจริงๆ" โยมพูดขึ้น 

แต่ที่จริงแล้วไม่ว่าที่ไหนๆ ถ้ายังมีศีลและธรรมอยู่ ที่นั้นก็น่าอยู่ด้วยกันทั้งนั้น



วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ดื่มน้ำเมามีโทษ


 ดื่มน้ำเมามีโทษ



การดื่มน้ำเมา จัดเข้าในศีลข้อที่ 5 และจัดเป็นอบายมุข 
คือ ทางแห่งความเสื่อม ความฉิบหาย เสียทรัพย์สินเงินทอง 

เป็นเหตุเสื่อมทรัพย์ ชื่อว่าทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ที่มีชีวิตซึ่งได้แก่ ช้าง ม้า โค กระบือ เป็นต้น 
หรือเป็นทรัพย์ที่ไม่มีวิญญาณ คือ แก้ว แหวน เงิน ทอง ทรัพย์สินสิ่งของ อื่นๆ เช่น รถ ล้อ เกวียน บ้านเรือน เป็นต้น 
ทรัพย์เหล่านี้เมื่อไม่มีก็ต้องหา เพราะต้องกินต้องใช้ 
การที่จะทำให้มีทรัพย์ ไม่ใช่จะทำได้ง่าย ต้องลำบากกายทุกข์ใจกว่าจะได้มา เมื่อได้มาแล้วก็ภูมิใจว่ามีทรัพย์ 
เมื่อได้ใช้จ่ายทรัพย์เลี้ยงตน คนในครอบครัว ญาติมิตร หรือประกอบกุศลกิจอื่นๆ ก็เป็นสุขใจ



ทรัพย์เหล่านี้มีทางที่จะเสื่อมสลายหายสูญไปด้วยเหตุหลายประการ 
โดยเฉพาะในที่นี้ เสื่อมไปเพราะปัจจัยคือการดื่มน้ำเมา ซึ่งได้แก่ เหล้า สุรา ยาบ้า และเมรัย 

เมื่อดื่มหรือเสพสิ่งเหล่านี้ จะมีโทษ 6 สถานคือ 
1. เสียทรัพย์ 
2. ก่อทะเลาะวิวาท 
3. เกิดโรค 
4. ต้องติเตียน 
5. ไม่รู้จักอาย 
6. ทอนกำลังปัญญา 

โทษของการดื่มสุราไม่ใช่มีเท่านี้ เมื่อดื่มจนเมาได้ที่แล้วยังก่อกรรมทำเข็ญอื่นๆ ได้ 
เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติประเวณี และพูดเท็จก็ได้ ทั้งยังให้ประสบภัยหลายอย่างต่างกันไป 
ดังพุทธภาษิตที่ว่า บุคคลผู้ดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัยเป็นปกติ คือเป็นประจำ ทำอยู่เป็นนิตย์ 
ย่อมประสบกับภัยและเวรที่เห็นได้ในปัจจุบัน ในอนาคต และย่อมเสวยทุกข์โทมนัสทางใจ 



ภัยเวรปัจจุบันพอจะเห็นกันได้แต่ละปี แต่ละเดือน หรือแต่ละวัน มีผู้ประสบภัยกันแล้วเท่าไหร่ 
เสียชีวิตและทรัพย์สินไปแล้วแค่ไหน สิ่งเหล่านี้จะเกิดมีได้ เพราะเหตุปัจจัยคือการดื่มน้ำเมา 
ส่วนภัยเวรในอนาคตซึ่งยังไม่มีมาปรากฏนั้น ก็ต้องมีโดยการประเมินเหตุปัจจุบันซึ่งสัมพันธ์กับผลอนาคต 
เมื่อได้ประสบภัยเช่นนี้ก็มีแต่ความทุกข์ระทมขมขื่นใจ

นอกจากนี้ การดื่มน้ำเมา และเมรัย ยังเป็นปัจจัยให้เกิดความประมาท ความประมาทก็คือ ความขาดสติ 
คนไม่มีสติกำกับ ก็เหมือนรถที่ติดเครื่องแล้วปล่อยให้แล่นไปตามถนน ซึ่งไม่มีคนขับ หรือคอยกำกับดูแลรถนั้น 
ต้องก่อเหตุเภทภัยให้เกิดขึ้นแน่ๆ ฉันใด ความประมาท และคนประมาทก็ฉันนั้น ย่อมก่อภัยให้โทษแก่ตน และคนอื่น 
ซึ่งนอกจากนี้ ความประมาทยัง ปิดโอกาสการเกิดขึ้นแห่งกุศลความดี ด้วย 
ความประมาทเป็นต้นตอบ่อเกิดหรือเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความชั่วร้ายทั้งหลาย 
ทั้งเป็นตัวทำลายกุศลความดีทั้งหลายทั้งปวง ส่วน ความไม่ประมาท คือ ไม่ขาดสติ เป็น บ่อเกิดแห่งกุศลความดี เช่นเดียวกัน


เหรียญมหาบารมีศรีบูรพา วัดห้วงพัฒนา อ.เขาสมิง


เหรียญมหาบารมีศรีบูรพา วัดห้วงพัฒนา อ.เขาสมิง




วัดห้วงพัฒนา ตำบลแสนตุ้ง อ.เขาสมิง จ.ตราด เป็นวัดเก่าแก่ของจังหวัดตราด 
ปัจจุบันมีพระเกจิ อาจารย์ชื่อดัง "หลวงพ่อสุพจน์ ฐิตตัพโพ" ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ล่าสุดท่านได้ดำริจัดสร้าง 
"วัตถุ มงคล รุ่นมหาบารมีศรีบูรพา" เพื่อสมทบสร้างยอดพระเจดีย์ทองคำ ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ






หลวงพ่อสุพจน์ ท่านเป็นศิษย์สายพระอาจารย์มั่น นั่นก็คือ "หลวงปู่สิม" วัดถ้ำผาป่อง จ.เชียงใหม่ 
บำเพ็ญภาวนาอยู่กับท่านนานหลายปี ได้มอบตัวเป็นศิษย์ ฝึกปฏิบัติกรรมฐานในป่าอันสงัด โดยตั้งปณิธานว่า 
"จะเป็นก็เป็น จะตายก็ตาย" จิตมุ่งมั่นอยู่แต่สมาธิภาวนาเท่านั้น ขณะที่ศึกษาอบรมกับหลวงปู่สิม 
ท่านก็ได้เรียนรู้ข้อปฏิบัติอันเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส 

ต่อมาได้พบเจอและได้รับการอบรมพร้อมกับถ่ายทอดสรรพวิชาต่างๆ จากครูบาอาจารย์สายกรรมฐานมากมายหลายรูป 
อาทิ หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ , หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี , หลวงปู่ท่อน ญาณธโร , หลวงพ่อลำพอง ขอนแก่น ,
หลวงพ่ออ่อนศรี ฐานวโร , พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร , หลวงตามหาบัว อุดรธานี , หลวงพ่อศรี วัดถ้ำเหวลึก 
หลวงพ่อสรวง สิริปุญโญ , หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม , หลวงปู่ชอบ ฐานสโม , หลวงพ่อทองอินทร์ กุสลจิตโต 
หลวงพ่อจันทร์โสม กิตติกาโม ทายาทธรรมหลวงปู่สิม

หลวงพ่อสุพจน์ ปฏิบัติเคร่งในพระธรรมวินัย ปฏิปทาน่าเลื่อมใส มีเมตตาธรรม มีชื่อเสียงเป็นที่ศรัทธาของญาติโยม
มักกล่าวกันปากต่อปากว่าท่านตั้งอยู่ในข้อวัตรปฏิบัติอันดีเสมอต้นเสมอปลาย ท่านได้บำเพ็ญตนให้เป็นแบบอย่างคือ 
มีความเด็ดเดี่ยวในข้อวัตรปฏิบัติมาก และยังได้สงเคราะห์วัตถุและปัจจัยทั้งในวัดและนอกวัด 





วัตถุมงคลประกอบด้วย 

1.เหรียญหล่อฉลุลายยกองค์พระกริ่งชินบัญชร รุ่นแรกผลิตโดยบริษัท ซิกม่า ดีไซน์ จำกัด 
2.เหรียญปั๊มเสมารุ่นแรก 
3.รูปเหมือนปั๊มเข่ากว้างหลังเต็มรุ่นแรก 
4.พญาเสืออาคม 
5.หัวเสืออาคม

กำหนดนำเข้าพิธีมหาพุทธาภิเษกใหญ่ เมื่อวันที่ 23-24 มิถุนายน 2555 ณ อุโบสถวัดห้วงพัฒนา 
พระเกจิอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิตปลุกเสก อาทิ หลวงพ่อสุพจน์ เจ้าอาวาสวัดห้วงพัฒนา
หลวงพ่อสิน วัดละหารใหญ่, หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ, หลวงพ่อเขียน วัดเขากระทิง, หลวงพ่อนัส วัดอ่าวใหญ่
หลวงพ่อมนัส วัดทุ่งจันทร์ดำ, หลวงพ่อชาตรี วัดป่าโสภณ, หลวงพ่อเบญจะ วัดเม้าสุขา เป็นต้น

ผู้มีจิตศรัทธา สั่งจองวัตถุมงคลได้ที่วัด และศูนย์พระเครื่อง 
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.kanesorn.com แล้วรับวัตถุมงคลได้ภายในเดือนกรกฎาคม 2555 เป็นต้นไป

สำหรับทุกท่านที่ร่วมพิธีปลุกเสกในวันที่ 23 มิ.ย.2555 จะได้รับแจกวัตถุมงคลหัวเสือสมิงตะกรุด 9 ดอก



"ตรัง" จัดงานบุญใหญ่ ฉลองสัมพุทธชยันตี




นายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เปิดเผยว่า 
ตามที่มหาเถรสมาคม และรัฐบาล 
กำหนดให้จัดกิจกรรม สัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชา ปี 2555 เป็นพิเศษ 
โดยให้ใช้ชื่อการจัดกิจกรรมว่า "งานฉลอง สัมพุทธชยันตี 2600 ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า" 
มีการจัดงานแบ่งเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ ด้านการปฏิบัติบูชา ด้านวิชาการ และด้านกิจกรรมเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม 

รัฐบาลได้กำหนดให้ทุกจังหวัดเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมกิจกรรมปฏิบัติบูชา 1 จังหวัด 1 อำเภอ 1 ท้องถิ่น 1 พุทธบูชา 
ในห้วงเวลาดังกล่าว เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนม พรรษา 85 พรรษา 
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา 
และ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา 

ในโอกาสนี้จังหวัดตรังได้ขอความร่วมมือ และรณรงค์ ให้ข้าราชการและพุทธศาสนิกชนในพื้นที่
แต่งกายด้วยชุดสีขาวพร้อมกัน มีการจัดนิทรรศการพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในด้านพระพุทธศาสนา ร่วมกันพัฒนาทำความสะอาดอาคารบ้านเรือนและสถานที่สาธารณะ 
จัดทำโครงการผ้าป่ามหากุศลพุทธชยันตี 2600 ปีแห่งการตรัสรู้ และทอดผ้าป่าพร้อมกัน 
พร้อมทั้งยังจัดให้มีพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์จำนวน 85 รูป พิธีเวียนเทียน และประดับธงตราสัญลักษณ์ด้วย 






หลวงพ่อทับ วัดทอง บางกอกน้อย



วัดสุวรรณาราม หรือ วัดทอง บางกอกน้อย กทม. เป็นวัดโบราณที่มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา 
เดิมมีชื่อว่า "วัดทอง" ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้าง ว่าผู้ใดเป็นผู้สร้างวัดแห่งนี้ แต่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์เรื่อยมา
โดยเฉพาะในครั้งรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ โปรดเกล้าฯ ให้รื้อวัดทองเสีย 
แล้วสถาปนาขึ้นใหม่ทั่วทั้งพระอาราม สร้างพระอุโบสถเก๋งด้านหน้า วิหารกำแพงแก้วและอื่นๆ 
เมื่อสถาปนาแล้วเสร็จจึงพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดสุวรรณาราม" นอกจากนี้ 


สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท มีพระราชศรัทธาสร้างเครื่องป่าช้าขึ้น คือ "เมรุ" 
สร้างหอสวดมนต์ หอทิ้งทาน โรงโขน โรงหุ่น ระทา และพลับพลา โรงครัวพร้อมทุกอย่าง
ถวายเป็นสมบัติของพระบรมมหาราชวัง สำหรับพระราชทานเพลิงศพอีกส่วนหนึ่ง

ในยุครัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่
โปรดเกล้าฯ ให้มีงานฉลองวัดสุวรรณาราม เมื่อปีพ.ศ.2374 ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้ฉลองพร้อมกันรวม 9 พระอาราม 
คือ วัดราชโอรส ที่ทรงบูรณปฏิสังขรณ์มาตั้งแต่รัชกาลที่ 2 มาสำเร็จในปีนั้น และอีก 8 พระอาราม 
คือ วัดสระเกศ วัดราชสิทธาราม วัดอรุณราชวราราม วัดภคินีนาถ วัดโมลีโลกยาราม วัดระฆังโฆสิตาราม 
วัดพระยาทำ และวัดสุวรรณาราม ทั้งหมดบูรณะสำเร็จบ้าง ยังค้างคาอยู่บ้าง ซึ่งก็โปรดให้ฉลองพร้อมกัน 



พระมหาเฉลิมชัย ปภัสสโร วัดสุวรรณาราม กล่าวว่า ความโด่งดังและมีชื่อเสียงของวัดแห่งนี้ 
นอกเหนือจากความงดงามของ "จิตรกรรมฝาผนัง" ในพระอุโบสถ อันเป็นผลงานของจิตรกรเอกในสมัยรัชกาลที่
คือ ครูทองอยู่ และ ครูคงเป๊ะ แล้ว ชื่อเสียงของวัดสุวรรณาราม ยังคงเป็นที่รู้จักกันสำหรับนักสะสมพระเครื่อง 
โดยผ่านทางพระพิมพ์ซึ่งเป็นมรดกของ "หลวงพ่อทับ" อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของวัดทอง 
ที่รู้จักกันดีคือ "พระปิดตามหาอุด" ซึ่งมีทั้งเนื้อสำริดเงิน เนื้อชินตะกั่ว เนื้อเมฆพัด เนื้อสำริดแบบขันลงหิน 
เนื้อผงคลุกรัก และเนื้อแร่บางไผ่ ถือได้ว่าเป็นเนื้อพิเศษที่พบเห็นได้น้อยหายาก 
ด้วยหลวงพ่อทับได้เนื้อแร่บางไผ่มาจาก หลวงปู่จัน วัดโมลี จ.นนทบุรี ต้นฉบับพระปิดตาแร่บางไผ่แห่งนนทบุรี นั่นเอง 



ย้อนหลังไปกว่า 150 ปี พระครูเทพสิทธิเทพาธิบดี หรือ หลวงพ่อทับ อดีตเจ้าอาวาสลำดับที่ 9 ของวัดทอง
ได้ถือกำเนิดขึ้น เมื่อ 15 ค่ำ เดือน 7 ปีมะแม ตรงกับวันที่ 29 พฤษภาคม 2390 ณ บ้านคลองชักพระ บางกอกน้อย 
ท่านเป็นบุตรคนโตของนายทิม และนางน้อย ปัทมานนท์ 

เมื่ออายุได้ 17 ปี บิดาได้นำไปฝากเป็นศิษย์ของ พระปลัดแก้ว ซึ่งรักษาการเจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม
ในช่วงก่อนที่ พระศีลสารพิพัฒน์ (ศรี) จะย้ายจากวัดสุทัศนเทพวราราม มาเป็นเจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม 
เพื่อเป็นศิษย์ร่ำเรียนหนังสือไทย และขอมอีกหนึ่งปีต่อมา เมื่ออายุได้ 18 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร
อยู่ศึกษาเล่าเรียนในสำนักพระปลัดแก้ว แล้วยังได้ศึกษาเพิ่มเติมกับ พระอาจารย์พรหมน้อย 
และ พระครูประสิทธิ์สุตคุณ ที่วัดอัมรินทร์อีกด้วย 

มีอายุครบ 20 ปี ได้อุปสมบทที่ วัดช่างเหล็ก คลองบางกอกน้อย ธนบุรี 
โดยมี พระอธิการม่วง วัดตลิ่งชัน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระปลัดแก้ว วัดทอง และ พระอาจารย์พึ่ง วัดรวก 
เป็นพระคู่สวด ได้รับฉายาว่า "อินทโชติ"

หลังบวชแล้วได้กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดทอง หากแต่ได้ร่ำเรียนวิปัสสนากรรมฐาน 
และวิชาพุทธาคม ไสยศาสตร์จากพระอุปัชฌาย์มิได้ขาดจนกระทั่งสำเร็จ 

หลวงปู่ทับมรณภาพเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2456 สิริอายุ 66 ปี พรรษา 45 


วัดสุวรรณาราม (วัดทอง) แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 
จึงได้สืบสานการจัดสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อทับ วัดทอง ด้วยการจัดพิธีมหาพุทธาภิเษกใหญ่ 
หลวงพ่อพระศาสดา (จำลอง) หน้าตัก 9 นิ้ว, 7 นิ้ว, 5 นิ้ว, เหรียญหลวงพ่อพระศาสดา
พระปิดตาหลวงปู่ทับ พิมพ์ยันต์ยุ่ง และ พระนางพญาขาโต๊ะ ณ พระอุโบสถวัดสุวรรณาราม กรุงเทพฯ 
ในวันจันทร์ที่ 4 มิ.ย.2555 ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 

เวลา 15.39 น. พราหมณ์ทำพิธีบวงสรวงเทพยดา 
เวลา 16.39 น. พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ 9 รูป เจริญพระพุทธมนต์ 
เวลา 17.39 น. พระพรหมดิลก วัดสามพระยา เป็นประธานจุดเทียนชัย พระเกจิอาจารย์นั่งปรกอธิษฐานจิต ทั้งสี่ทิศ
เวลา 18.39 น. พระธรรมธีราชมหามุนี เป็นประธานดับเทียนชัยเวลา 19.00 น. เป็นต้นไป 
ผู้เข้าร่วมพิธีรับวัตถุมงคลฟรีจากพระราชปริยัติโมลี เจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม
 

สำหรับผู้ที่สนใจสั่งจองวัตถุมงคล ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักงานวัดสุวรรณาราม