วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เผยภาพ "มิตซูโอะ" ตอนสึก ควงคู่หญิงคู่ใจ


หลังจากอดีต พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก อายุ 63 ปี ชาวญี่ปุ่น เจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม หมู่ 8 ต.ไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ซึ่งบวชในไทยกว่า 38 ปี อีกทั้งเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกของ หลวงปู่ชา สุภัทโท พระสายวิปัสสนากรรมฐานชื่อดัง แห่งวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ได้ลาสิกขาอย่างกะทันหัน โดย น.ส.ดารณี บุญช่วย กรรมการและเหรัญญิกมูลนิธิมายาโคตมี ระบุว่า พระอาจารย์ได้ลาสิกขาจริงและเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นแล้ว เมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยไม่ได้แจ้งเหตุผลและไม่มีใครทราบว่าท่านลาสิกขาที่วัดใด สำหรับทิศทางของมูลนิธิ หลังจากนี้ยังคงดำเนินการต่อไป ส่วนเรื่องยอดเงินบริจาคไม่ขอตอบ และการแถลงครั้งนี้จะเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย

ขณะที่ แม่ชีพิณพรรณ เนียมมุณี ระบุว่า อดีตพระอาจารย์มิตซูโอะ โทรศัพท์ทางไกลมาจากประเทศญี่ปุ่น แจ้งให้ทราบว่าเมื่อเดินทางกลับถึงประเทศญี่ปุ่นบ้านเกิด และเตรียมเปิดคอร์สอบรมให้ความรู้ฝึกกัมมัฏฐานแก่ชาวญี่ปุ่นและคนไทยในญี่ปุ่น พร้อมกำชับให้ทุกคนปฏิบัติตามคำสอนนั้น

จากนั้นข่าวคราวของอดีตพระชื่อดังก็เงียบหายไป กระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. วันที่ 27 มิถุนายน เฟซบุ๊กส่วนตัวของ "Suttirat Muttamara" โพสต์ข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือ ระบุข้อความว่า "ขอบคุณสำหรับผู้ที่ไม่หวังดีต่อดิฉัน ที่กล่าวหาว่าดิฉันวางยา Blackmail อาจารย์มิตซูโอะ โดยมีเจตนาทำให้ดิฉันเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงทำให้อาจารย์มิตซูโอะผู้ที่มีเมตตา และความรักต่อดิฉัน จะต้องออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของดิฉัน ด้วยการเปิดเผยความจริงต่อสังคมเร็วๆ นี้ ขอบคุณอีกครั้ง"

ต่อมา ผู้ใช้ชื่อว่า "แจ๋วแหว๋ว แหว๋ว" โพสต์ว่า "เป็นกำลังใจให้นะคะคุณแอน" ก่อนที่ "Suttirat Muttamara" ตอบว่า "ขอบคุณมากนะคะ"


ในเวลาไล่เลี่ยกัน "Suttirat Muttamara" ทยอยโพสต์ภาพถ่ายของอดีตพระมิตซูโอะกับหญิงวัยกลางคนร่วมสิบภาพ แต่ละภาพท่าทางแนบชิดสนิทสนมกัน ทั้งสองสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแลดูมีความสุข ท่ามกลางสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติหลากหลายมุม

นอกจากนี้ เฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อ "drama-addict" ได้แชร์ข้อความและภาพชุดดังกล่าวมาเผยแพร่ มีผู้แสดงความคิดเห็นจำนวนมากส่วนใหญ่มองในแง่บวก ยกย่องอดีตพระมิตซูโอะ ทำนองว่าได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะหากรู้ตัวว่าตัดกิเลสไม่ได้ ไม่เหมาะที่จะครองเพศฆราวาสแล้ว การตัดสินใจออกไปเผชิญความจริงทางโลกย่อมเป็นสิ่งที่สมควร

ผู้ที่ใช้ชื่อ "ปินวัตร ว่าน" มองว่า "เป็นเรื่องปกติ พระไม่มีใจแล้ว ก็ควรสึกออกไป คนเราชอบตั้งความหวัง ชอบยกย่องคนให้เป็นศาสดา เป็นเทพ โดยลืมพื้นฐานไปว่า เขาก็คนเหมือนเรา ดีกว่าเป็นอลัชชีห่มจีวร หากินกับศาสนาเป็นเหลือบเป็นไร ถ้าพระทุกรูปทำแบบหลวงพ่อท่าน ข่าวเสียหายของวงการพระไทยคงไม่แย่ขนาดนี้"

ส่วนผู้ใช้ชื่อ "GooNg Pannarai" มองว่า "คนเค้าแค่สงสัยกันว่าท่านบวชมาหลายปียังไม่สามารถละกิเลสได้ และท่านเริ่มมีกิเลสตอนไหน แต่ดีตรงที่พอท่านรู้ว่าตัวเองยังละไม่ได้ก็สึก ไม่ได้อยู่เป็นมารศาสนา ให้ลูกศิษย์ลูกหาออกมาแถแก้ตัวไปวันๆ ส่วนตัวยังนับถือท่านอยู่ค่ะ"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ใช้ชื่อ "Suttirat Muttamara" เป็นคนเดียวกับ นางสุทธิรัตน์ มุตตามระ อายุ 52 ปี เป็นประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือ เดอะควอลิตี้ กรุ๊ป และประธานกรรมการบริหาร บริษัท คิว เมดิคอล เซ็นเตอร์ จำกัด ผู้นำเทคโนโลยีศูนย์ต่อต้านความชราครบวงจรภายใต้แบรนด์ คิว เมดิคอล เซ็นเตอร์ มีแผนขยายศูนย์รูปแบบคลินิกความงามครบวงจรในย่านเมืองทองธานีและบางนา

*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




จุดไฟในใจคน : หนุ่มเซี่ยงไฮ้ไม่อยากมีลูก

“หนุ่มเซี่ยงไฮ้นิสัยดี” ไม่อยากมีลูก แต่แฟนอยากมี !?!
สุดท้ายก็ Converse ปิดตำนาน “รักนี้ชั่วนิจนิรันดร์”

เจริญพรญาติโยมทุกท่าน อาตมามีโอกาสได้รับกิจนิมนต์เดินทางไปเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน

เซี่ยงไฮ้ หรือ ซ่างไห่ เมืองที่ดูดเงินทุนเข้ามามหาศาล เป็นมหานครสมญาปารีสตะวันออก ฉายแสงเจิดจรัสข่มรัศมีฮ่องกงให้หม่นมัวในพริบตา

ตึกสูงระฟ้า หาใช่ใจคนจักสูงสง่าตามไม่ ทางด่วนสับสนวุ่นวาย ใช่ใจคนจักรู้พอไม่ โรงแรมหรู ธนาคารหลาก ศูนย์กลางด้านการเงินเด่นในโลก ใช่คนเหล่านี้จักไม่ทุกข์ และทั้งมวลนี้คือที่มาของการไปเยือน!?!

อาตมาได้รับเกียรติ เพราะโยมลูกศิษย์ชาวจีน เขานิมนต์ให้ไปชี้ทางออก บอกทางธรรม ให้กับญาติโยมพี่น้องคนจีน เมืองซ่างไห่หรือเซี่ยงไฮ้ ที่ร้องขอมา อาตมาให้แสงสว่างผ่านล่าม เพื่อแปลเป็นภาษาจีน จะได้สื่อสารให้เข้าใจ

เริ่มที่ ชายหนุ่มรายนี้ เขามีเรื่องราวที่น่าสนใจ อาตมาคิดว่าน่าจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจญาติโยมคนหนุ่ม-สาวชาวไทยของเราได้บ้างไม่มากก็น้อย???

หนุ่มรายนี้ รูปหล่อหน้าตาดี ออกแนวตี๋ทันสมัย อายุประมาณ 30 ปี สีหน้าของโยมตี๋หล่อ ที่เข้ามาพบในวันนั้น สภาพดูอิดโรย เหมือนคนอมทุกข์ แววตาซึมเศร้า เหงาทรวง อย่างเห็นได้ชัด

เขาเล่าให้ฟังว่า “ผมมีชีวิตการงานดี การเงินดี แต่ความรักสะดุด เหมือนรถหยุดไฟแดง ที่ผ่านมาผมมีคนรัก เธอทั้งสาวและสวย ขาวหมวยหน้าตาดี แรกๆก็ทดลองคบกัน มีความสุขดีทุกวัน ไม่บกพร่อง เธองามทั้งกายและใจ ขยันทำงาน มีความสามารถทำงานเก่ง ฐานะครอบครัวการเงินดีพร้อม”

ความรักดำเนินไปอย่างราบรื่น และเมื่อความรักสุกงอม เราทั้งสองเตรียมพร้อม ที่จะเข้าสู่ประตูวิวาห์ งานก็พร้อม เงินก็พร้อม เพื่อนฝูงก็เชียร์ พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายเห็นดีเห็นงาม

เขาวาดฝันถึงอนาคต งานแต่งงาน ของชำร่วย เรือนหอ เตรียมมองไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมที่จัดงานก็เล็งไว้แล้วเช่นกัน ฝ่ายหญิงมีคำถามที่ตั้งขึ้นเป็นประเด็นสำคัญ แต่งงานกันแล้ว เธออยากมีลูกน้อย จะหญิงก็ได้ จะชายก็ดี เธอถามฝ่ายชาย “โอเคมั้ย”

ฝ่ายชายรู้สึกอึดอัดใจ คำตอบมันติดอยู่ที่ลำคอ “ผมไม่อยากมีลูก” คำตอบนี้ทำเอาฝ่ายหญิง ถึงกับทำหน้างง “ทำไมถึงไม่อยากมี”

“ผมไม่มีเหตุผล” แต่ผมคิดว่าการดำเนินชีวิตให้มีความสุข ไม่จำเป็นต้องมีลูก เราอยู่กันเพียงสองคน ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ทำไมต้องหาห่วงมาผูกคอ

นี่คือเหตุผลที่แท้จริงของฝ่ายชาย แต่ฝ่ายหญิงรู้สึกหดหู่ใจ เธออยากร้องไห้ เธอเสียใจ เธออยากมีลูกน้อยไว้อุ้มเล่นแก้เหงา เธออยากมีทายาท อยากมีเพื่อนในยามทุกข์ อยากให้ลูกเลี้ยงดูเธอยามแก่เฒ่า

ทั้งที่ความรักไม่มีอุปสรรคอะไร แต่แนวทางในอนาคต มันออกมาคนละมุม ทั้งคู่ก็เสียใจ สุดท้ายก็ต้องเลิกรา ห่างเหินกันไป ตามวันเวลา

ฝ่ายชายยืนยัน “ผมยังรอให้เธอพบคนใหม่ อยากเห็นเธอสมหวังในความรัก สมหวังในความปรารถนาที่อยากจะมีลูก ผมจะรอจนกว่าเธอพบคนใหม่ แล้วถึงค่อยมองหาคนใหม่เช่นกัน”

"หลวงพี่ครับ ผมทำอย่างนี้ คิดอย่างนี้ ผิดหรือไม่"

อาตมาตอบ...โยมทำถูกแล้ว การบอกฝ่ายหญิงไปตามตรงว่าไม่อยากมีลูก คือ การตัดสินใจถูกต้อง ดีกว่าแต่งงานแต่งการไปแล้ว ถึงไปบอกว่าไม่อยากมีลูก สุดท้ายก็ต้องเลิกรา กลายเป็นปมปัญหา อาจถึงขั้นทะเลาะเบาะแว้ง ต้องอย่าร้างเลิกรา พาลให้เสียเวลา เสียใจในภายหลัง

และการที่โยมยังรอให้เขาพบคนใหม่ แล้วค่อยมองหาคนใหม่ นี่คือสปิริตที่แท้จริงของลูกผู้ชาย

แต่วันนี้โยมยังมีหน้าตาที่อมทุกข์ โยมทุกข์เพราะเรื่องที่ยังรักเขาอยู่ ทุกข์เกิดขึ้นเพราะเราไม่ยอมรับความจริง

ควรทำใจให้สุข อะไรก็เกิดขึ้นได้ในชีวิต เราไม่รู้หรอก ยกตัวอย่างเช่น ความตาย ซึ่งมันจะมาถึงเมื่อไรเราก็ไม่รู้ ถึงเราไม่ตายคนใกล้ตัวเราอาจจะตายก็ได้

เพราะฉะนั้นชีวิตจึงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เรื่องความรักก็ไม่แน่นอน มันคล้ายโรคระบาด มันกระจายความทุกข์ไปทั่ว มันกระเพื่อมไหวตลอดเวลา สิ่งที่จะช่วยให้โยมมีความสุขได้ก็คือ ธรรมะ เพราะจะช่วยให้จิตใจของโยมมั่นคง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

โดยเฉพาะยามมีความทุกข์ มีความรัก อกหัก ใจขาดปัญญา คิดไม่ออกว่าจะเอาอย่างไรดีในชีวิต ธรรมะช่วยได้

กรณีของโยม เข้าข่าย ยังห่วงเขา ยังตัดไม่ลง ลึกๆยังคิดถึงอยู่ตลอดเวลา

และนี่ล่ะคือความทุกข์ มันมาได้เพราะใจเรายอมรับสภาวะที่กำลังปรากฏต่อหน้าต่อตาไม่ได้

เช่น คิดถึงมากมาย จนกลายเป็นความทุกข์ทางใจ โยมต้องยอมรับสภาพ การพบ การจาก การแยกทาง

ควรปล่อยวาง ไม่แบก ถ้าแบกรักไว้ ก็เท่ากับแบกความทุกข์ทางจิตใจไว้เต็มๆ

โยมจะต้องยอมรับความทุกข์ให้ได้ อย่าทุกข์ซ้ำอีก ยอมรับว่าจะต้องพลัดพรากจากคนที่รัก

และจะต้องเจอสิ่งที่ไม่รัก ให้คิดแบบนี้ ยอมรับความจริงว่าจะต้องผิดหวังในชีวิตบ้าง

ถ้าเรายอมรับความจริงได้ว่า ชีวิตมันเป็นเช่นนี้ ใจก็จะร่ม หน้าตาก็จะหายหม่นหมอง ให้คิดเสียว่า ทุกอย่างผ่านมาแล้วผ่านไปตลอดเวลา

เมื่อยอมรับความจริงตรงนี้ได้ ก็จะไม่ทุกข์ และที่ใจมันทุกข์เพราะมันไม่ยอมรับความจริง อยากฝืนความจริง เช่น อยากมีความสุขถาวร อยากสงบถาวร อยากดีถาวร อะไรดีๆ อยากจะให้ถาวร อะไรไม่ดีก็ไม่อยากให้มีถาวร อยากถาวรเหมือนกันแต่ถาวรในเชิงลบคือไม่มี

ถ้าโยมต้องการลดความอยาก โยมต้องหันมาหัดสวดมนต์ จะได้เกิดสมาธิ เกิดสติปัญญา ไม่ใช่เพื่อจะไม่ต้องพบความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ความไม่สมหวัง แต่อาตมาให้โยมสวดมนต์ เพื่อให้เห็นความจริง

ความจริงในโลกนี้มันบกพร่องอยู่ตลอดเวลา มันไม่สมอยากเสมอไป มีแต่ความไม่สมอยากเกิดขึ้นตลอดเวลา อยากอย่างนี้มันไม่ได้ มันได้แป๊ปเดียว เดี๋ยวก็หายไปอยากอย่างอื่นอีก ในโลกนี้บกพร่องอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยเต็ม ไม่เคยอิ่ม

“ความสุข” มันเป็นของ “ชั่วคราว” แล้วเราจะไปเสียแรงรักษามันไว้ทำไม

“ความทุกข์” มันก็เป็นของ “ชั่วคราว” แล้วเราจะไปเสียแรงกำจัดมันทำไม

เมื่อเห็นความจริงอย่างนี้ แล้วเรายังจะแสวงหาความสุขถาวรที่ไม่มีจริงอยู่อีกหรือ จงใช้ชีวิตอย่างที่มันเป็น???

ในการดำเนินชีวิต จงจำไว้ว่า ต้องรู้จักพอ แม้เรื่องความรัก ก็ต้องทำใจให้รู้จักพอเช่นเดียวกัน เพราะโลกใบนี้ ไม่มีรักนี้ชั่วนิจนิรันดร์อย่างแน่นอน มีแต่พบเพื่อจาก เพื่อรอ Converse เพื่อรอปิดตำนาน วันที่ตายจากกัน ...ขอเจริญพร





วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อัพเกรด "หลักสูตรพุทธ" สู่สากล เตรียม "อาเซียน"

มหาวิทยาลัยสงฆ์ขยับนำไทยพร้อมสู่ “ประชาคมอาเซียน” ปี 2558 ระยะเวลา 2 ปี หากเป็นเวลาแห่งการรอคอยก็คงจะยาวนาน แต่หากเป็น 2 ปีที่ต้องเร่งเครื่องเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแบบเต็มรูปแบบ คงเป็นเวลาที่สั้นนิดเดียว และไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

ปี 2558 คือ ปีที่ประเทศไทยต้องมีการดำเนินงานตามผลการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 12 ณ เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ ผู้นำอาเซียนได้ลงนามใน “ปฏิญญาเซบู” ว่าด้วยการจัดตั้งประชาคมอาเซียนขึ้นภายในปี 2558 ประกอบด้วยความร่วมมือ 3 ด้าน ได้แก่ 

ประชาคมการเมืองและความมั่นคง (APSC) 
ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) 
และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม อาเซียน (ASCC)

นั่นหมายถึงจากนี้ไปประเทศไทยจะเหลือเวลาเพียงไม่ถึง 2 ปี ที่หน่วยงานต่างๆจะต้องเตรียมความพร้อมรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

เพราะผลของการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนจะส่งผลต่อประเทศไทยในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม

หน่วยงานด้านการศึกษาถือเป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่เป็นหัวใจสำคัญ ในการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะในส่วนของการพัฒนาหลักสูตรต่างๆให้มีความเป็นสากล และสามารถดึงดูดนักศึกษาในประเทศแถบอาเซียนให้เข้ามาศึกษาต่อในประเทศไทย

และก็คงไม่เว้นแม้กระทั่งมหาวิทยาลัยสงฆ์อย่าง มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) และ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) ที่จะต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้เช่นกัน

พระสุธีธรรมานุวัตร คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ กล่าวว่า ด้านสังคมและวัฒนธรรม ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการยึดโยงประชาชนชาวอาเซียนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งในด้านนี้ได้รวมเอาเรื่องการศึกษา ศาสนา และประเพณีวัฒนธรรมของชาวอาเซียนแต่ละประเทศเข้าไว้ด้วย โดยในส่วนของบัณฑิตวิทยาลัย มจร.ก็ได้มีการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนไว้แล้ว ประกอบด้วย

1.ด้านหลักสูตร จัดหลักสูตรให้ผู้เรียนเข้าถึงความเป็นพุทธในเชิงวัฒนธรรมของชาวอาเซียน

2.ด้านการวิจัย ส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยทางพระพุทธศาสนาระหว่างอาเซียนด้วยกัน

3.ด้านบุคลากร ส่งเสริมความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนบุคลากรทางพระพุทธศาสนา

4.ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ส่งเสริมให้มีเทคโนโลยีสารสนเทศที่เชื่อมโยง ข้อมูลข่าวสารด้านพระพุทธศาสนาระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียน มีแหล่งข้อมูลทางวิชาการด้านพระพุทธศาสนาที่เป็นภาษาอาเซียนทุกภาษา

5.ด้านนิสิตนักศึกษา ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนนิสิตระหว่างสถาบันที่จัดการเรียนการสอนทางด้านพระพุทธศาสนา และส่งเสริมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาร่วมกันระหว่างนิสิตภายในกลุ่มประเทศอาเซียน

ขณะที่ในส่วนของ มหาวิทยาลัยมหามกุฏฯ ก็เดินหน้าเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแล้วเช่นกัน เริ่มจากการประชุม สมาคมมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาเถรวาทนานาชาติ ครั้งที่ 3 เมื่อช่วงเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการหารือเพื่อการพัฒนาหลักสูตรแกนกลางพระพุทธศาสนาเพื่อให้นำไปใช้ทำการเรียนการสอนในสถาบันอุดมศึกษาต่างๆในอาเซียนด้วย


พระอนิลมาน ธมฺมสากิโย รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยมหามกุฏฯ เล่าว่า ที่ประชุมดังกล่าวลงมติตรงกันว่าหลักสูตรแกนกลางของพระพุทธศาสนาควรประกอบด้วย 7 สาขาวิชา คือ

1.ประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา 
2.ไตรปิฎกศึกษา 
3.กรรมฐานศึกษา 
4.ภาษาศาสตร์ศึกษา 
5.พุทธศาสนาของนิกายต่างๆ 
6.วิทยาศาสตร์ จิตวิทยา สังคมวิทยา 
7.พุทธศาสนาเพื่อสังคม 

โดยหลังจากนี้สถาบันการศึกษาด้านพระพุทธศาสนาจะต้องนำแนวทางของหลักสูตรนี้ไปพัฒนาเป็นหลักสูตรการเรียนการสอนด้านพระพุทธศาสนาของแต่ละสถาบันต่อไป ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการพัฒนาหลักสูตรแกนกลางพระพุทธศาสนาขึ้นมา

ทีมข่าวศาสนา มองว่า นับเป็นมิติใหม่ของการศึกษาพระพุทธศาสนา ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งลุกขึ้นมาเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ทั้งยังพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนด้านพระพุทธศาสนาขึ้นใหม่ด้วย

และนับว่าเป็นโอกาสอันดีของมหาวิทยาลัยสงฆ์ในการเผยแผ่หลักสูตรทางด้านพระพุทธศาสนาไปยังชาวพุทธที่อยู่ในกลุ่มประเทศอาเซียนได้มากขึ้น

แต่สิ่งที่เราในฐานะพุทธศาสนิกชนอดห่วงไม่ได้ คือ หลักสูตรทางพระพุทธศาสนาที่ทางมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งจะมีการพัฒนาขึ้น อาจจะมองและมุ่งเน้นความเป็นสากลรวมถึงการแข่งขันมากเกินไป โดยเฉพาะการมองแต่ด้านการตลาด ด้วยการหวังเพิ่มยอดผู้ใช้บริการหรือผู้เข้าเรียนจำนวนมากเป็นหลัก จนทำให้หลงลืมแก่นแท้ในการเรียนการสอนพระพุทธศาสนาที่มีเป้าหมายในการนำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์มาสู่การเรียนรู้เพื่อให้เกิดสติและปัญญา ในการครองตนและอยู่ในสังคมโลกอย่างมีความสุข

ดั่งคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า “มัชฌิมาปฏิปทา” การเดินสายกลาง ไม่สุดโต่งจนกู่ไม่กลับ คือสิ่งที่จะนำมาซึ่งปัญญาของพุทธศาสนิกชนโดยแท้


*************************

เรื่องโดย : ไทยรัฐออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ





วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

"เณรคำ" ใช้ชื่อ "พระวิรพล สุขผล" โผล่ศูนย์ควบคุมพระไปต่างประเทศ

พบแล้ว "หลวงปู่เณรคำ" ใช้ชื่อ "พระวิรพล สุขผล" โผล่ศูนย์ควบคุมพระไปต่างประเทศ ระบุ สังกัดชัด วัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ อุบลฯ ด้าน พศ. สั่งสอบวัดป่าขันติธรรม

ความคืบหน้ากรณีการตรวจสอบสถานการณ์ตั้ง วัดป่าขันติธรรม และสาขา ของหลวงปู่เณรคำ เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวว่า ขณะนี้ตนได้สั่งการให้ นายวิรอด ไชยพรรณา พศจ.ศรีสะเกษ ให้ตรวจสอบสถานะสาขาของวัดป่าขันติธรรมทั้งที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศ รวม 201 สาขา ว่ามีสถานะเป็นสำนักสงฆ์ที่ถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่ เนื่องจากขณะนี้ สถานะของวัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ ยังต้องถูกตรวจสอบสถานะ เพราะมีการขอสร้างวัด แต่ไม่มีการสร้างเสนาสนะ และทำเรื่องขอตั้งวัดให้ถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้น การเปิดสาขาของวัดดังกล่าว จึงต้องมีสถานะที่ยังไม่ถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม หากวัดใดจะเปิดให้มีการจัดตั้งสาขา วัดดังกล่าว จะต้องมีใบจัดตั้งวัดอย่างถูกต้องและทำใบรับรองสาขานั้นๆ ด้วย แต่สาขาของวัดป่าขันติธรรม ไม่มีใบรับรองดังกล่าว จึงถือเรียกได้ว่า เป็นสำนักสงฆ์เถื่อน เรื่องนี้ไม่อาจละเว้นได้ เนื่องจากเป็นหน้าที่ของ พศ.โดยตรง หากมีการตรวจสอบแล้ว และมีหลักฐานแน่นอน ก็จะดำเนินการทางกฏหมายทันที

ทั้งนี้ สาขาของ วัดป่าขันติธรรม ที่มีการระบุว่า มีถึง 201 สาขา อาทิ 1.วัดป่าขันติบารมีสาขาที่ 1 บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี พระวัฒนา เตชธโร ประธานสงฆ์ 2.วัดป่าขันติบารมีสาขาที่ 2 บ้านตาเส็ด ต.บักดอง อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ พระยิน สันตจิตโต ประธานสงฆ์ 3.วัดป่าขันติบารมีสาขาที่ 4 บ้านคำมันปลา ต.คำเขื่อนแก้ว อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี พระเสียน ติกขวีโร ประธานสงฆ์ 4.วัดป่าขันติบารมีสาขาที่ 5 บ้านโนนคำพัฒนา ต.เจริญศิลป์ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร พระอภิรักษ์ อภิฉันโท ประธานสงฆ์ 5.วัดป่าขันติบารมีสาขาที่ 6 บ้านหนองฝาง ต.โพธิ์ใหญ่ อ.วารินชำราบ จ.อุบล ราชธานี พระเกษชัย โอภาโส ประธานสงฆ์ 6.วัดป่าขันติบารมีสาขาที่ 8 บ้านห้วยเกตุ ต.วะตะแบก อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ พระสุ่น กันตสีโล ประธานสงฆ์ 7.วัดป่าขันติบารม สาขาที่ 9 บ้านไร่ ต.บ้านไร่ อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ พระจำรัส ถาวโร ประธานสงฆ์ 8.วัดป่าขันติบารมีสาขาที่ 18 บ้านห้วยเป้า ต.ปากชม อ.ปากชม จ.เลย พระถวิล ยโสธโร ประธานสงฆ์ 9.วัดป่าขันติบารมีสาขาที่ 19 บ.ตลาด ต.กุดน้ำใส อ.จัตุรัส จ.ชัยภูมิ พระอิสระชัย เมธิโก ประธานสงฆ์ 10.วัดป่าขันติบารมีสาขาที่ 88 บ.เขาคีรี ต.หัวเขา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี พระสมใจ สุจิตโต ประธานสงฆ์ 11.วัดป่าขันติบารมีสาขาที่ 89 อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก 12.วัดป่าขันติบารมีสาขาที่ 101 บ้านเขาคีรี ต.หัวเขา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี พระไพบูลย์ ฐิตปุญโญ ประธานสงฆ์ 13.วัดป่าขันติบารมีสาขาที่ 201 บ้านแสนสุข ต.ทุ่งมหาเจริญ อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว พระสุทธิ ปัญญาธโร ประธานสงฆ์ 14.วัดป่าขันติบารมีสาขาเลคเอลซินอร์ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา พระสวอน บัตรประโคน ประธานสงฆ์

ส่วนกรณีมีข้อสงสัยว่า หลวงปู่เณรคำ หรือนามเดิมว่า วิรพล สุขผล สังกัดวัดใดนั้น ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง พระธรรมสิทธิเวที วัดสังเวชวิศยาราม ในฐานะกรรมการศูนย์ควบคุมการไปต่างประเทศสำหรับพระภิกษุสามเณร (ศ.ต.ภ.) เกี่ยวกับ การไปต่างประเทศของหลวงปู่เณรคำว่า มีสังกัดวัดใด เนื่องจากการขอไปต่างประเทศต้องมีวัดสังกัดที่ชัดเจนไม่เช่นนั้นไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ซึ่งพระธรรมสิทธิเวที กล่าว ปัจจุบันยังไม่ทราบว่า มีรายชื่อพระวิรพล หรือหลวงปู่เณรคำเดินทางหรือไม่ แต่หากเป็นก่อนหน้านี้ ให้ไปตรวจสอบในเว็บไซต์ www.sortorpor.org หากมีการเดินทางก็จะพบรายชื่อดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวจึงได้ไปตรวจสอบในเว็บไซต์ ศ.ต.ภ. พบว่า ในลำดับที่ 628 มีชื่อของ พระวิรพล สุขผล วัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ จ.อุบลราชธานี ได้ผ่านการอนุมัติเดินทางไปต่างประเทศ ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556 ด้วย ซึ่งสอดคล้องกับกระแสข่าวว่า หลวงปู่เณรคำ สังกัดที่วัดใต้พระเจ้าองค์ตื้อ ที่มีการเผยแพร่ออกมาก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ ยังได้ปรากฏคลิปกัณฑ์เทศน์ของหลวงปู่เณรคำขณะเทศน์ในพิธีวางศิลาฤกษ์สร้างมหาวิหารครอบองค์พระแก้วมรกตที่วัดป่าขันติธรรม ระบุวันที่ 11 - 16 เม.ย. 2554 ถูกนำมาโพสต์เผยแพร่ทางยูทูป ชื่อ “พิธีวางศิลาฤกษ์สร้างมหาวิหาร” ความยาว 1 ชม. 24 นาที 30 วินาที รวมทั้งคลิปเทศน์อื่นๆ อีกหลายคลิป ทำให้ผู้เข้าชมคลิปโพสต์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมต่างๆ นานา เกี่ยวกับเนื้อหาการเทศน์ว่า เป็นการ อวดอุตริมนุสธรรม (คุณวิเศษซึ่งมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถมีหรือเป็นได้) หรือไม่

เนื่องจากการละเมิดพระธรรมวินัยในข้อนี้ มีโทษถึงขั้น อาบัติปาราชิก โดยเฉพาะการที่หลวงปู่เณรคำกล่าวในการเทศน์ว่า ความเป็นมาของการสร้างมหาวิหารครอบองค์พระแก้วมรกตจำลองนั้น ได้ทำสมาธิจิตพูดคุยกับจิตวิญญาณที่สื่อสารกันได้ ประกอบกับได้นิมิตเห็นพระอินทร์มานิมนต์ให้นำพาญาติโยมร่วมกันสร้างพระแก้วมรกตขึ้นมา และคืนต่อมาก็นิมิตเห็นท้าวสุริยามรรคเทวราชมานิมนต์ให้สร้างมหาวิหารด้วย โดยท่านจะบำเพ็ญบารมีอุทิศที่จะดลบันดานด้วยบุญฤทธิ์ให้วิหารหลังนี้สามารถสร้างสำเร็จอย่างราบรื่น

หลวงปู่เณรคำเทศน์อีกตอนหนึ่งว่า “อาตมาก็นอนใจคอยดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นว่าจะเป็นจริงหรือเปล่าจนพระแก้วมรกตจำลองที่เราเห็นอยู่นี้ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์เหลือเพียงแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ และทองคำที่รับบริจาคก็เหลืออยู่อีกแค่พันกิโลเอง คือ เหลือไม่มาก รับบริจาคมา 2 ปีกว่าได้ 8,000 กิโลเศษๆ ฉะนั้นจึงเหลืออีกนิดเดียวก็จะครบ 9 พันกิโล อันนี้ก็ถือว่าเป็นมหาบารมีอันสูงสุด มีบางคนบอกว่าก็พระแก้วยังสร้างไม่เสร็จแล้วไปเปิดรับทองคำทำไม

ในแง่มุมความคิดของหลวงปู่ หลวงปู่จะมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลตั้งแต่เริ่มสร้างพระแก้วมรกตว่าถ้าเรารอให้สร้างเสร็จ เราไม่มีทองคำมาทำเครื่องทรงเรามัวมานั่งรอรับบริจาคอีกก็หลายปี แต่ถ้าเริ่มสร้างพระแก้วและรับบริจาคทองคำไปด้วยเลย เมื่อองค์พระเสร็จทองคำก็ครบพอดี สามารถทำเครื่องทรงให้เสร็จพร้อมกันได้ จากนั้นมาก็รับบริจาคทองคำจนได้ 8,000 กิโล ซึ่งปัจจุบันก็เหลืออีกแค่นิดเดียวก็จะครบ โดยเฉพาะในช่วงสงกรานต์นี้ได้รับถวายทั้งในกุฏิและในที่แห่งนี้ที่ญาติโยมได้ร่วมถวายกันตลอดก็ได้ 15 กิโลรวมทั้งหมด นี่ยังไม่ได้คัดของปลอมออก คาดว่าของปลอมน่าจะมี 2 กิโล”

ในคลิปเดียวกันหลวงปู่เณรคำเทศน์อีกว่า เมื่อเป็นดังนั้นแล้วท่านสิรุยามรรคผู้เป็นมหาราชจอมเทวดาที่สถิตอยู่ในสุคติภูมิโลกสวรรค์ชั้นยามา หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกกันแต่หลวงปู่ชอบจะเรียกท่านว่าท้าวสุริยามรรค เรียกง่ายเพราะเวลาท่านมาฟังเทศน์ฟังธรรมก็จะเรียกอย่างนี้ ส่วนพระอินทร์ก็จะเรียกมหาราชจอมเทวดา เป็นอันว่า ผู้มานิมนต์ให้สร้างพระแก้วองค์นี้ไม่ใช่มนุษย์ เป็นมหาราชจอมเทวดา ก็คือพระอินทร์ หรือท้าวสักกะเทวราชมานิมนต์ในนิมิตขณะหลวงปู่อยู่ในกุสโลสมาธิจิตขั้นสูงสุด

แล้วเมื่อได้ดำเนินการสร้างมาท่านท้าวสุริยามรรคเทวราชมาเข้านิมิตอีกหลายๆ ครั้ง วันพระวันศีลที่หลวงปู่ไปที่ไหนเขาก็ตามไปฟังเทศน์ฟังธรรมแล้วนิมนต์ให้สร้างวิหารครอบองค์พระแก้ว เขาบอกมาเรียบร้อยเลยโยมบอกว่าวิหารหลังนี้พระคุณเจ้าผู้เจริญต้องให้มีความกว้างยาว 600 คูณ 600 เมตร อาตมาจึงเกิดความกังวลใจว่าแล้วรูปแบบเราจะทำอย่างไร ทั้งในแง่พุทธศิลป์และประติมากรรมร่วมสมัย

ท่านท้าวสุริยามรรคเทวราชก็บอกว่า พระคุณเจ้าไม่ต้องกังวลเลยเดี๋ยวข้าพเจ้าจะพาไปดูวิมานเก่าที่พระคุณเจ้าเคยมาสถิตอยู่ในยามาภูมินี้ อาตมาก็เลยอยากไปเห็นที่เคยมาเกิดในสุคติภูมิโลกสวรรค์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง จึงรับปากรับคำว่าไปก็ไป เขาก็บอกว่าหลวงปู่เข้าไปจำวัตรในกฏิซิเดี๋ยวข้าพเจ้าจะพาไป เมื่ออาตมาไปนอนพักผ่อนแล้วก็ออกจากร่างลอยไปในอากาศแล้วมีราชรถทองคำวิ่งมาเร็วมากเหมือนเครื่องบิน แล้วเบรกลากล้อเอี๊ยด (เสียงญาติโยมหัวเราะ) อาตมาตกใจเลย แล้วนิมนต์ให้หลวงปู่นั่งบนราชรถทองคำโดยมีท่านท้าวสุริยามรรคเทวราชนั่งอยู่ด้านล่าง อาตมานั่งอยู่บนธรรมมาสน์ ท่านบอกให้หลับตาลงพอลืมตาขึ้นถึงแล้ว ถึงหน้าวิมานแล้ว โอ้อลังการโยมเอ๊ย ทำไมถึงวิจิตรพิสดารงดงามมาก

หลวงปู่ก็ถามว่า นี่หรือที่อาตมาเคยมาเกิดและตายอีกแห่งหนึ่ง ท่านตอบว่าใช่แล้วพระคุณเจ้า นี่แหละที่ท่านเคยมาเสวยทิพย์สมบัติที่นี่แม้ท่านจะไปเกิดที่ภพอื่นแต่วิมานยังอยู่ที่นี่ พวกข้าพเจ้ายังคอยมาสักการบูชาเฉกเช่นพุทธศาสนิกชนที่ไปวัดป่าขันติธรรมนั้นด้วย นอกจากนี้หลวงปู่เณรคำยังกล่าวถึงเด็กชายคนหนึ่งที่อยู่ในบริเวณพิธีนั้นว่า เด็กคนนี้เป็นเทวดามาเกิด เป็นเทวดาที่นำมาตนเข้ามาอยู่ในบ้านยางแห่งนี้จุติมาเกิดใหม่ พร้อมกับชี้มือให้ญาติโยมที่นั่งฟังเทศน์ได้หันไปดูเด็กชายดังกล่าว และยังชี้มือไปที่ นางลอน มนัส เจ้าของที่ดินที่บริจาคให้สร้างวัดขันติธรรม บอกให้ลุกขึ้นแสดงตัวว่าเป็นโยมอุปถัมภ์มาแต่ต้นอีกด้วย

*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ





วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มงคลพระดอทคอม


มงคลพระดอทคอม สุดยอดเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลวัตถุมงคล จากสุดยอดพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ผู้ทรงพุทธาคมทั่วไทย เป็นเสมือนแหล่งความรู้แก่ชนรุ่นต่อไป ให้ศึกษาและธำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน

"มงคลพระดอทคอม" จึงเปรียบประหนึ่งผู้อยู่เบื้องหลัง และเป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่พระพุทธศาสนายุคใหม่ โดยหมายมุ่งให้ข่าวสารงานบุญที่น่าสนใจ กระจายออกไปสู่สาธุชนได้อย่างทันท่วงที

นอกจากนั้น "มงคลพระดอทคอม" ยังยินดีรับให้คำปรึกษา "ทุกปัญหางานบุญ"

โดยได้รับความไว้วางใจจากวัด และสำนักสงฆ์ต่างๆ ให้เป็นที่ปรึกษาในการดำเนินงานจัดสร้างวัตถุมงคล , ให้ความรู้ด้านการประชาสัมพันธ์ , แนะนำช่องทางการโปรโมท หรือแม้กระทั่งช่องทางการจัดจำหน่ายวัตถุมงคล โดยทุกคำปรึกษาที่เรามอบให้แก่ทุกวัด และทุกสำนักสงฆ์นั้น เป็นไปด้วยความจริงใจและโปร่งใส ซึ่งมิได้เรียกเก็บค่าบริการใดๆ เพื่อหวังผลกำไรเข้าตัว

หากแต่เพียงจุดประสงค์หลักและจุดประสงค์เดียวของ "มงคลพระดอทคอม" นั่นคือ การเสริมส่งวงการสงฆ์ เพื่อสร้างฐานที่มั่นคงในการธำรงพระศาสนา ดั่งปณิธานของเราที่ตั้งไว้ว่า "หากวัดใดประสบปัญหา เราพร้อมให้คำปรึกษาในทุกกรณี" ด้วยประสบการณ์หลากหลายด้านที่เรามี เราพร้อมระดมองค์ความรู้ทุกสรรพวิธี ช่วยเหลือแก้ไขปัญหาทุกกรณี เพื่อให้วัดที่ดีได้เคียงอยู่คู่สังคม

ตลอดระยะเวลาหลายปีในการดำเนินงานเพื่อสังคมที่ผ่านมา บัดนี้ "มงคลพระดอทคอม" ได้ต่อยอดกิจกรรมธุรกิจเพื่อสังคมอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

- หนังสือพิมพ์มงคลพระ หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ที่รวบรวมทุกข่าวสารในวงการพระศาสนา ซึ่งเน้นความเที่ยงตรง และชัดเจนของเนื้อหา โดยสอดแทรกหลักธรรมแห่งองค์พระศาสดา สู่สังคมในโลกออนไลน์


- Maket2Rich.com สุดยอดเว็บไซต์ซื้อขายออนไลน์ ที่เปิดให้พ่อค้าแม่ขาย ได้เข้ามาทำกำไรง่ายๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ใดๆทั้งสิ้น


- มงคลพระAntique รับซื้อขาย แลกเปลี่ยน และให้คำปรึกษา ในทุกปัญหาวัตถุโบราณ


- ไผ่ล้อมโปรโมท บริการประชาสัมพันธ์กิจกรรมและธุรกิจ ให้ติดอันดับ Web Search Engine ยอดฮิต ไม่จะเป็น Google , Bing , Ask และ Yahoo ดำเนินการโดยทีมงานผู้มีความรู้ เพื่อนำท่านไปสู่ "ความสำเร็จในราคาเบาๆ"


ปัจจุบัน ความเจริญของสังคมได้ถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว วงการธุรกิจ หรือแม้แต่วงการพระศาสนา ก็ต้องพร้อมที่จะพัฒนา โดยรู้เท่าทันและทันท่วงที หากแต่ "มิตรแท้" ในโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้ คงยากเต็มทีที่จะประสบพบเจอ

"มงคลพระดอทคอม" ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจ และพร้อมที่เดินเคียงคู่ไป สู่ความสำเร็จร่วมกันกับคุณ หากคุณต้องการคำปรึกษา ทุกปัญหาเรามีคำตอบ!! ...มงคลพระดอทคอม

ติดต่อสอบถามรายละเอียดธุรกิจเพื่อสังคมในเครือ "มงคลพระดอทคอม" ได้ที่
โทร. 084-8457555 , 082-7957555 , 082-4987555 และ 087-7067555



วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

"เหรียญเบญจ 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์" พัฒนา สปข.4

สํานักประชาสัมพันธ์เขต 4 พิษณุโลก (สปข.4 พิษณุโลก) กรมประชาสัมพันธ์ เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบการประชาสัมพันธ์นโยบายของรัฐบาล มีพื้นที่รับผิดชอบในภาคเหนือตอนล่าง 9 จังหวัด ประกอบด้วย จ.พิษณุโลก จ.อุตรดิตถ์ จ.สุโขทัย จ.ตาก จ.กำแพงเพชร จ.พิจิตร จ.อุทัยธานี จ.นครสวรรค์ จ.เพชรบูรณ์

ซึ่งขณะนี้ สปข.4 ได้จัดสร้างวัตถุมงคล "เหรียญเบญจ ๕ สิ่งศักดิ์สิทธิ์" เพื่อหารายได้พัฒนา สปข.4 ในโอกาสครบรอบปีที่ 26 นำเงินรายได้ปรับภูมิทัศน์ ทาสีอาคาร จัดสร้างห้องประชุมที่สามารถประชุมได้ประมาณ 150-180 คน ทั้งนี้ ได้มีการตั้งชื่อห้องประชุมว่า "รวมใจภักดิ์" เพื่อเป็นการถวายในหลวง พร้อมทั้งช่วยเหลือสาธารณประโยชน์

วัตถุมงคลเหรียญรุ่นเบญจ 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ สปข.4 พิษณุโลก จัดสร้างครั้งนี้ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของวงการพระเครื่อง ประกอบด้วย 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยู่ในเหรียญเดียวกัน





ด้านหน้าเหรียญ ประกอบด้วย

1.พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองพิษณุโลก 
2.องค์พิฆเนศ เทพแห่งความสำเร็จ 
3.องค์พระอินทร์เป่าสังข์ ชื่อ "ปาญจนันท์" มีหน้าที่เป่าสังข์ ปลุกพระนารายณ์ให้ตื่นจากบรรทมสินธุ์ในสะดือทะเล เพื่อขึ้นมาปราบเหตุร้ายต่างๆ ในโลก เป็นตราสัญลักษณ์ของกรมประชาสัมพันธ์ 
4.สมเด็จพระนเรศวรมหาราช กษัตริย์ไทยผู้ทรงกล้าหาญรักชาติรักแผ่นดิน 
5.หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน สุดยอดพระเถระที่เปี่ยมด้วยเมตตาแห่งเมืองพิจิตร กำกับด้วยพระคาถา นะ มะ ภะ ทะ 5 ปาฏิหาริย์ 5 พุทธคุณ

ส่วนด้านหลังเหรียญ เป็น "ยันต์อิติโสแปดทิศ" เป็นยันต์ที่มีอำนาจพุทธคุณครบทุกด้าน ป้องกันภัยอันตราย 108 มีพุทธานุภาพแคล้วคลาดปลอดภัย อำนาจบารมี เมตตามหานิยม เมตตามหาเสน่ห์

วัตถุมงคลเบญจ 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีชื่อว่า "รุ่นปาฏิหาริย์ 26 ปี สปข.4 มั่งมีตลอดกาล" ลักษณะเป็นเหรียญกลมขนาดประมาณ 3.5 เซนติเมตร จัดสร้างเป็นเหรียญทองแดงรมดำเพียงชนิดเดียว จำนวนจำกัด 100,000 เหรียญ บูชาเหรียญละ 99 บาท"

การจัดสร้างครั้งนี้ พระธรรมเสนานุวัตร เจ้าอาวาสวัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดพระพุทธชินราช), พระเทพปริยัติเมธี เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์, พระเทพปริยัติสุธี เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี, พระเทพรัตนกวี เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ สนับสนุน

วันพฤหัสบดีที่ 20 มิ.ย. เวลา 12.09 น. สำนักประชาสัมพันธ์เขต 4 พิษณุโลก นำเหรียญเบญจ 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เข้าประกอบพิธีพุทธาภิเษกใหญ่ ในพระวิหารพระพุทธชินราช โดยสุดยอดพระเกจิ 5 รูป คือ 1.หลวงปู่แขก 2.พระอาจารย์แม็ค 3.หลวงพ่อวิชา สำนักสงฆ์ชอนทุเรียน อ.ตากฟ้า จ.นคร สวรรค์ 4.พระอาจารย์ประภัทรธรรมทิน (เทียรทอง) วัดพุน้อย อ.หนองม่วง จ.ลพบุรี 5.พระอาจารย์บุญหนุน สุดยอดเกจิสายอีสานตอนใต้จาก จ.ศรีสะเกษ สายปู่ฤๅษี

จากนั้น วันอาทิตย์ที่ 23 มิ.ย. ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 พิธีปลุกเสก อธิษฐานจิตที่วัด บางคลาน (หลวงพ่อเงิน) จ.พิจิตร เวลา 10.00 น.เป็นต้นไป หลังเสร็จพิธีในเวลา 14.00 น. ทำลายบล็อกพิมพ์และเปิดให้ ผู้สนใจบูชาตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย.เป็นต้นไป

ผู้สนใจเช่าบูชา เหรียญละ 99 บาทสอบ ถามรายละเอียด สำนักประชาสัมพันธ์เขต 4 พิษณุโลก กรมประชาสัมพันธ์ โทร.0-5532-2694 หรือที่ สวท. และ ส.ปชส. 9 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง


*************************

เรื่องโดย : ข่าวสดออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



หลวงปู่เร็ว “รุ่นเลื่อนขั้นเศรษฐี” สร้างพระประธานองค์ใหญ่ วัดหนองโน

วัดหนองโน ตั้งอยู่ที่บ้านหนองโน หมู่ ๑๑ ต.ชีทวน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย อาคารเสนาสนะประกอบด้วยอุโบสถ กว้าง ๕ เมตรยาว ๑๑ เมตร เป็นอาคารคอนกรีต สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙ ศาลาการเปรียญ กว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๑๘ เมตร เป็นอาคารไม้ สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ กุฏิสงฆ์จำนวน ๓ หลัง เป็นอาคารไม้ ๒ หลัง และตึก ๑ หลัง และศาลาอเนกประสงค์ กว้าง ๕ เมตร ยาว ๑๗ เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖

ประวัติวัดหนองโน ตั้งเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๗ เดิม วัดตั้งอยู่ที่หมู่บ้านเก่ามีชื่อว่า วัดวังหวาย ต่อมาเกิดโรคระบาด ชาวบ้านจึงได้อพยพมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มาตั้งหมู่บ้านใหม่ชื่อว่า บ้านหนองโน และวัดก็ย้ายตามมาด้วย โดยมี นายสุข-นางพงษ์ ทวีวรรณ ได้บริจาคที่ดินให้ในการสร้างวัด และตั้งชื่อวัดตามชื่อของหมู่บ้าน ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๗


มีเจ้าอาวาสเท่าที่ทราบนาม คือ 

รูปที่ ๑ พระรินทร์ อินฺทสโร พ.ศ. ๒๔๗๘-๒๔๘๐ 
รูปที่ ๒ พระบุญกองปภสฺสโร พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๓ 
รูปที่ ๓ พระประสาน คมฺภีโร พ.ศ. ๒๔๘๓-๒๔๙๐ 
รูปที่ ๔ พระเรียน อรุโณ พ.ศ. ๒๕๑๔-๒๕๓๔ 
รูปที่ ๕ พระผ่องใส ฐิตเปโม ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๔ 
ปัจจุบันวัดหนองโนมี หลวงปู่เร็ว ฉนฺทโก วัดหนองโน เป็นเจ้าอาวาส

หลวงปู่เร็ว เป็นศิษย์องค์สุดท้ายของบูรพาจารย์ หลวงปู่ญาท่านสวน วัดนาอุดม สายสำเร็จลุน โดยได้ปกครองดูแลวัดหนองโนตามการมอบหมายจากญาท่านสวนผู้เป็นอาจารย์ และได้มีการพัฒนาเสนาสนะต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ชาวบ้าน พ่อค้าแม่ค้า ลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้และห่างไกล มักเดินทางไปกราบเพื่อขอพึ่งบารมีให้ท่านช่วย หลวงปู่เร็วมักจารอักขระยันต์บนฝ่ามือให้กับญาติโยม และผู้ที่ลำบากเดือดร้อน ท่านบอกว่าเป็นคาถาอักขระยันต์เรียกทรัพย์ เรียกโชคลาภ ผู้ที่ได้รับสิ่งมงคลจากหลวงปู่เร็ว ล้วนต่างได้รับประสบการณ์ต่างๆ นานาในเรื่องเมตตา โชคลาภ หลุดพ้นความทุกข์ยากลำบากในเรื่องหนี้สิน ค้าขายร่ำรวย ก้าวหน้ารุ่งเรืองในหน้าที่การงาน

หลวงปู่เร็วท่านได้รับการเลื่อนชั้นสมณศักดิ์ เป็น พระครูวิโรจน์คุณาทร จึงให้มีการจัดสร้างองค์บูชารูปเหมือนขึ้นเป็นครั้งแรก ท่านให้ชื่อว่า “รุ่นเลื่อนขั้นเศรษฐี” ประกอบด้วย รูปเหมือนบูชารุ่นแรกหลวงปู่เร็ว ขนาดหน้าตัก ๕ นิ้ว และขนาด ๙ นิ้ว และเหรียญทรงไข่รูปเหมือนครึ่งองค์ขนาด ๓.๙ ซม. โดยได้อัญเชิญชนวนยอดโลหะมหามงคลเช่น ยอดเจดีย์ ๖แห่ง ๔ ประเทศ, โลหะส่วนตอนบนจากสถานที่ศักดิ์สิทธ์ ๑๗ แห่ง ๔ ประเทศ, แผ่นจารอักขระยันต์ กว่า๑,๐๐๐แผ่น, ชนวนพระกริ่งสายรกพระพุทะเจ้า, ชนวนกริ่งโปร่งฟ้า, ชนวนพระอุปคุต, ชนวนพระกริ่งชินบัญชร, ชนวนพระชัยเชียงรุ้งของบูรพาจารย์ญาท่านสวน วัดนาอุดม, ชนวนโลหะศักดิ์สิทธิ์หลายพันรายการ เพื่อให้วัตถุมงคลชุดนี้มีความเข้มขลังทรงอนุภาพ

วัตถุประสงค์การจัดสร้างครั้งนี้ เพื่อนำปัจจัยรายได้จัดสร้างหอฉันและสร้างพระประธานองค์ใหญ่ ขนาดความกว้างหน้าตัก 7 เมตร สูง 19 เมตร ณ วัดหนองโน จ.อุบลราชธานี และนำปัจจัยร่วมสร้างพระมหาเจดีย์ศรีอุบลญาท่านสวน วัดนาอุดม สอบถามข้อมูลได้ที่วัดหนองโน โทร. ๐๘-๑๘๗๕-๓๑๗๗ และ ๐๘-๙๗๗๒-๙๔๙๐



*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ






วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

หลวงพี่น้ำฝน ควง พศ. แถลงยันไม่มีรถหรู


17 มิ.ย. 2556 ที่ วัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม พร้อมด้วยผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา จ.นครปฐม พร้อมกรรมการมูลนิธิหลวงพ่อพูล คณะกรรมการวัด ไวยาวัจกรวัด พระสงฆ์ และลูกศิษย์ ได้เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน กรณีที่มีผู้ร้องเรียนมีรถหรูไว้ในครอบครองหลายคัน โดยพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ได้นำรถยนต์ยี่ห้อ จากัวร์ เพ็นเทอร์โบราณ ปี 1970 ทะเบียน กท. กก 1177 สีดำ 1 คัน พร้อมด้วยรถยนต์ตู้ 4 คัน รถยนต์กระบะฟอร์ด 1 คัน รถยนต์เก๋งโฟล์กเต่าโบราณ 1 คัน รถยนต์แวนยกสูง 1 คัน รถสูบสิ่งปฏิกูล 1คัน และรถ 6 ล้อบรรทุกน้ำ 1 คันซึ่งมีอยู่ในวัดมาจอดโชว์แถลงข่าวด้วย

พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ กล่าวว่า จากข่าวที่ปรากฏนั้น ในฐานะที่อาตมาเองเป็น หัวหน้าพระวินยาธิการจังหวัดนครปฐม (หัวหน้าตำรวจพระ) ขอยืนยันว่าที่ที่วัดไม่มีรถหรู มีแต่เพียงรถหลายคันทั้งรถตู้ รถกระบะ รถบรรทุก 6 ล้อ เป็นรถวัดบ้าง เป็นรถของลูกศิษย์บ้าง ส่วนรถยนต์ยี่ห้อจาร์กัวร์เพ็นเทอร์โบราณ ปี 1970 ทะเบียน กท. กก 1177 สีดำ คันนี้เป็นของอาตมาเองที่ญาติโยมถวายให้มาจากประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นรถโบราณยี่ห้อจากัวร์ฯ ปี 1970 กรณีที่เกี่ยวกับรถจากัวร์ทำให้อาตมาไม่สามารถอยู่นิ่งเฉยได้ จึงได้ออกมาชี้แจงให้ญาติโยมและลูกศิษย์ได้ทราบความเป็นไปที่แท้จริง

"เรื่องมีอยู่ว่าตอนที่อาตมาเดินทางไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปีพ.ศ.2554 โยมคนหนึ่งมีจิตศรัทธา ถวายรถโบราณยี่ฮ้อจากัวร์เพ็นเทอร์ให้อาตมา เพื่อนำกลับประเทศไทย โดยมีจุดประสงค์ที่จะให้มาตั้งโชว์ไว้ที่วัดไผ่ล้อม จากนั้นโยมคนดังกล่าวได้แยกชิ้นส่วนโดยนำเครื่องยนต์ขึ้นเรือมาหนึ่งลำ ส่วนตัวถังนำมาขึ้นเรืออีกลำหนึ่ง" พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ กล่าวและว่า

สำหรับวิธีการนำรถเข้าสู่ประเทศไทย ในกรณีของรถจดประกอบต้องผ่านกระบวนการเสียภาษีนำเข้าแก่ศุลกากร รวมทั้งภาษีสรรพสามิต โดยมีบริษัทที่เป็นโรงงานรับจดประกอบเป็นผู้ดำเนินการให้อย่างถูกต้อ ฉะนั้นจึงอยากให้ญาติโยมทุกคนมองสิ่งพวกนี้เป็นสิ่งสมมุติ อย่าไปยึดติดหรือหลง “รถคันนี้” ดีแก่ชนรุ่นหลัง ที่พวกเขาจะได้ศึกษาหาความรู้อย่างถ่องแท้ ดูให้เกิดปัญญา เห็นสัมผัสให้มีสติ มิได้ให้เกิดความ โลภ โกรธ หรือหลง เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ยลเป็นความรู้ นี่อุตส่าห์ไปบิณฑบาตถึงต่างประเทศ คิดว่าจะได้เจอเนื้อคู่ ไฉนเลยถึงกลับตาลปัตรเยี่ยงนี้ นี่มันผิดวัตถุประสงค์ของผู้ถวาย และผู้รับถวายอย่างชัดเจน

"อาตมาเป็นพระสงฆ์ และเป็นหัวหน้าตำรวจพระคงไม่กล้าเอาตำแหน่ง เอาชื่อเสียงที่ทำคุณประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนา สังคม การศึกษามาตลอกว่า 20 พรรษาที่บวชอยู่ในพระพุทธศาสนามาแลกกับสิ่งผิดทั้งกฎหมายและศีลธรรมแน่นอนทุกอย่างชี้แจงได้ แต่จนถึงวันนี้ยังไม่มีหน่วยงานใดแจ้งมาให้นำเอกสารไปตรวจสอบ แต่หากจะมาขอรับเอกสารไปตรวจสอบก็พร้อมจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เพราะไม่มีสิ่งผิดกฎหมายใดๆอยู่ในครอบครอง ส่วนการทรงเจ้าเข้าผีนั้นมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วพระพุทธเจ้าบอกมาหลังพระพุทธเจ้าปรินิพานแล้วจะมีใครมาทำหน้าที่อะไรบ้าง 2,500 กว่าปีที่ผ่านมานี้ก็เป็นหน้าที่ของพุทธสานิกชน อุบาสถอุบาสิกา พระสงฆ์สามเณรทำนุบำรุงพระศาสนา และอีก 2,500 ปีต่อไปจะมีใครมาทำหน้าที่บ้าง ก็มีหมู่ทวยเทพเทวดาทั้งหลายที่ลงมา ตำหนักทรงอยู่ในวัดลูกศิษย์เป็นร่างทรงโดยกองทุนมูลนิธิหลวงพ่อพูล ไม่มีการเรียกร้องเงินทอง " พระครูปลัดสิทธิวัฒน์กล่าว

ขณะที่ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา จ.นครปฐม กล่าวว่า การที่มีประชาชนร้องเรียนว่าพบพระสงฆ์ สะสมรถหรู ใช้ของแพง ๆ โดยมาจากการที่ลูกศิษย์จะเป็นผู้ซื้อถวาย ซึ่งตามหากพระสงฆ์รูปนั้นตั้งอยู่ในสมถะแล้ว มีรถหรูจอดอยู่ในกุฏิหลายสิบคัน ซึ่งหากพูดถึงวัดไผ่ล้อมก็อย่างที่เห็น พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ก็ตอบข้อสงสัยได้ชัดเจน รถแต่ละคันมีที่มาที่ไป โดยเฉพาะรถจากัวร์เพ็นเทอร์คันนี้

พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ กล่าวถึงกรณีที่มีพระสงฆ์ที่ทำตัวฟุ่มเฟือยว่า จะเข้าสุภาษิตที่ว่า จะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวทำ ถ้าหากพระสงฆ์ยังมีกิเลส มีความโลภ โกรธหลง สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือชาวโลกติเตียน เฉกเช่นอาตมาที่เป็นพระบวชมา 20 พรรษา สร้างวัด สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาลหมดเงินไป 400 ล้านบาทและยังมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนตลอดจนมอบอุปกรณ์การแพทย์ให้โรงพยาบาลและสิ่งก่อสร้างในวัด นี่เป็นสิ่งที่ชัดเจน ส่วนพระสงฆ์ที่ฟุ่มเฟือยนั้นต้องดูว่าเขาทำอะไรบ้าง โดยเฉพาะการฟุ่มเฟือยมี 2 ลักษณะคือการฟุ่มเฟือยเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และฟุ่มเฟือยเพื่อประโยชน์ส่วนตน นี่คือสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างฟ้องด้วยภาพ อย่างเช่นตัวอาตมาถูกกล่าวหาว่ามีรถหรูหลายคัน ใครได้ยินได้ฟังก็ต้องว่าเป็นอย่างนั้นเลยแต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่

"ส่วนการเดินทางไปต่างประเทศนั้น อาตมาก็เป็นพระ อีกรูปหนึ่งที่ได้รับการนิมนต์ไปต่างประเทศบ่อย ซึ่งการเดินทางไปต่างประเทศนั้นต้องมีการได้รับการนิมนต์ก่อน ถ้าการเดินทางไปต่างประเทศโดยไม่ได้รับการกราบอารธนานิมนต์มา ถือว่าเป็นสิ่งไม่สมควร ซึ่งการเดินทางไปต่างประเทศแต่ละครั้งอาตมาจะเดินทางไปประกอบศาสนกิจให้กับผู้ที่กราบอารธนานิมนต์มา และแต่ละครั้งอาตมาก็ได้รับการถวายปัจจัยมาบูรณะและสร้างวัดไผ่ล้อมทีละมาก ๆ เลยทีเดียว ซึ่งไม่ใช่การเดินทางไปท่องเที่ยวหรือใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแต่อย่างใด" พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ กล่าว

*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

"เข้าทรง" ชี้ทาง ดำรงธรรม


วัด
เปรียบเสมือน "โรงพยาบาลทางใจ"
ในทุกวัน มีผู้คนที่ "เจ็บป่วยทางใจ" เข้ามารับการรักษาเป็นจำนวนมาก

ต่างคนก็ต่างที่มา และต่างสาเหตุ วิธีแก้ไข และช่วยเหลือให้เขาเหล่านั้นหลุดพ้นจากห้วงทุกข์ จึงแตกต่างกัน "โรงพยาบาล" ยังมีหลากหลายแผนก เพื่อแยกทำการรักษาผู้ป่วย ที่มีอาการแตกต่างกัน
บัวยังมีหลายเหล่า หรือ นักเรียนก็ยังมีหลากหลายระดับสติปัญญา

การสื่อสารหรือโน้มนำใจ "ผู้ที่สิ้นหวัง" ให้ฟื้นคืนกำลังใจ 
เพื่อมีสติในการดำรงชีวิตที่ดีอีกครั้ง จึงย่อมมีหลากหลายวิธีที่แตกต่างกันไปโดยแต่ละบุคคล

แต่ทั้งนี้ ทุกวิธีจะต้องดำรงอยู่ในกรอบของ ศีลธรรมตามหลักศาสนา

ประเพณีการ "เข้าทรง" เพื่อสอนหรือตอบข้อปัญหาของคณะผู้ศรัทธา ก็เช่นเดียวกัน
ถือเป็นอีกหนึ่ง "กุศโลบาย" ที่มุ่งหวังให้ "ผู้ป่วยทางใจ" สามารถมีกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไปได้ โดยสอดแทรกหลักธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไว้ในวิธีการสื่อสารที่เหมาะสมกับจริต ของแต่ละบุคคล โดยเริ่มจาก ความเชื่อ เพื่อนำเขาเหล่านั้นให้พ้นผ่านจากกองทุกข์ที่ประสบ

สุภาษิตจีนโบราณเคยกล่าวไว้ว่า "พบทหาร คุยภาษาทหาร พบนักปราชญ์ คุยภาษานักปราชญ์"

ฉันใดก็ฉันนั้น การดำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน ก็เฉกเช่นเดียวกัน วิธี และกุศโลบาย ที่เลือกใช้กับแต่ละบุคคล ก็ย่อมที่จะต้องแตกต่างกันไปตามความเหมาะสม

*************************

เรียบเรียงโดย : ทีมข่าวมงคลพระ







เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ปฏิเสธครอบครองรถหรู


เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 17 มิ.ย. 56 ที่ วัดไผ่ล้อม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ร่วมกับ นายวิโรจน์ อุ่นทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม และ นายธีรภัทร์ ตุ้มทองคำ ผู้อำนวยการมูลนิธิหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม ได้ร่วมกันแถลงข่าวกรณีถูกพาดพิงเป็นผู้ครอบครองรถหรูจำนวนมาก

เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าวว่าเป็นผู้ครอบครองรถหรูราคาแพงหลายคัน ทำให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียง รวมถึงความศรัทธาจากพุทธศาสนิกชน อาตมาในฐานที่ถูกพาดพึง จึงต้องออกมาแสดงความบริสุทธิ์ ปฏิเสธการครอบครองรถหรูตามที่เป็นข่าว แต่ก็ยอมรับที่วัดรถหลายคันจริง ทั้งรถสูบสิ่งปฏิกูล ที่ญาติโยมบริจาคมา สำหรับช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อน รถบรรทุกน้ำที่ขออนุเคราะห์มาจาก กทม. รถยกสูงที่ใช้ช่วยชาวบ้านช่วงน้ำท่วม รถตู้ 4 คันบางคันโยมถวายมา บางคันทางวัดก็ผ่อนบริษัท เพื่อใช้สำหรับกิจกรรมทางสงฆ์ รวมถึงรับส่งพระไปเรียนธรรมะ แต่ที่เป็นเป้าหมายหลักคือ รถโบราณยี่ห้อจากัวส์ ปี 1970 สีดำ ทะเบียน กท. กก 1177 มีชื่ออาตมาเป็นผู้ครอบครอง โดยมีลูกศิษย์ถวายมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา นำเข้ามาเสียภาษีสรรพสามิตราคากว่า 1.5 ล้านบาท มีใบเสร็จถูกต้องตามกฎหมาย เป็นรถจดประกอบจริง แต่ไม่ใช่รถหรู เป็นรถโบราณ ไม่สามารถใช้งานได้เหมือนรถปกติ จะใช้ในโอกาสสำคัญ อาทิ ใช้แห่สังขารหลวงพ่อพูล ในวัดคล้ายวันมรณภาพ หรือใช้ประดับสถานที่กรณีมีผู้ใหญ่มาเยี่ยมทางวัด ปัจจุบันเก็บไว้อยู่ในห้องกระจก ทุกวันก็จะมีญาติโยมเข้ามาขอถ่ายรูป โพสท่าสวยงามกับรถ

เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวต่อว่า ถึงขณะนี้ยังไม่มีใครแจ้งมาให้นำเอกสารไปตรวจสอบ แต่หากจะมาขอรับเอกสารไปตรวจสอบ ก็พร้อมจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่

ผู้อำนวยการมูลนิธิหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม กล่าวต่อว่า กรณีที่มีญาติโยมร้องว่า ทางวัดนี้มีการทรงเจ้าเข้าผีนั้น ความจริง เป็นการทรง กุมารสมบัติ และ กุมารเพชรน้อย ที่ตำหนักด้านข้างวัด โดยลูกศิษย์เป็นร่างทรง ไม่ใช่พระ หรือเจ้าอาวาส และไม่ได้มีการเรียกร้องเงินทองแต่อย่างใด ส่วนเงินที่ได้มาทั้งหมดนำเข้ามูลนิธิ สำหรับช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณะภัย และทุนการศึกษาเด็กนักเรียนยากจน


*************************

เรื่องโดย : เดลินิวส์ออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ





วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

หน้าดุยังกับเสือใครจะเอา!! "เหรียญหน้าเสือ" หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา


จังหวัดนครปฐม มีพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมากมายหลายรูป นับมาตั้งแต่อดีตจนมาถึงยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลวงพ่อที่มีชื่อว่า “น้อย” ที่โด่งดังมาด้วยกันมีถึง ๒ ท่าน คือ หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา (เกิด ๑๒ พ.ค. ๒๔๒๖ มรณภาพ ๑๗ พ.ย.๒๕๑๓ อายุ ๘๗ ปี) และ หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง (เกิด ๑๔ ก.พ.๒๔๓๕ มรณภาพ ๑๐ ธ.ค.๒๔๘๘ อายุ ๕๔ ปี) ผู้โด่งดังเรื่อง กะลาพระราหู และวัวธนู

กล่าวสำหรับ หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา นับเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้มีวิชาอาคมขลังในทุกด้าน พระเครื่องของท่านที่นิยมกันอย่างกว้างขวาง คือ เหรียญปั๊มพิมพ์เสมา รุ่นแรก ปี ๒๔๙๖ และเหรียญปั๊มรุ่นต่อๆ มาอีกหลายรุ่น

ที่โด่งดังมาก คือ เหรียญหล่อโบราณ พิมพ์หน้าเสือ ปี ๒๔๙๗-๒๔๙๘, เหรียญหล่อโบราณ พิมพ์คอน้ำเต้า ปี ๒๔๙๗-๒๔๙๘ นอกจากนี้ยังมีพระบูชารูปเหมือน, รูปหล่อขนาดห้อยคอ, พระพุทธชินราช หล่อโบราณ, พระคันธารราฐ หล่อโบราณ, พระพิมพ์สมเด็จ, พระยอดธง, พระปิดตา และเครื่องรางอื่นๆ

สำหรับ เหรียญหล่อโบราณ พิมพ์หน้าเสือ รุ่นแรก เป็นรูปทรงเสมาไม่มีห่วง ด้านหน้า มีรูปหลวงพ่อน้อยครึ่งองค์ รูปท่านดูถมึงทึง จนท่านพูดขึ้นเองว่า “หน้าดุยังกับเสือกับยักษ์ ใครเขาจะเอาไปใช้” อันเป็นที่มาของชื่อเหรียญรุ่นนี้ ซึ่งต่อมามีการสร้างในรูปแบบเดียวกันนี้อีกหลายรุ่น ด้วยเนื้อโลหะต่างๆ รวมทั้ง เหรียญหล่อโบราณ พิมพ์คอน้ำเต้า ซึ่งล้วนเป็นพระหลักยอดนิยมของวงการมาช้านาน

หลวงพ่อน้อย (พระครูภาวนากิตติคุณ) นามฉายา “อินฺทสโร” เกิดที่บ้านหนองอ้อ ต.ธรรมศาลา อ.เมือง จ.นครปฐม เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๒๖ ปีมะแมบรรพชาเมื่ออายุ ๑๕ ปี ที่วัดสามกระบือเผือก ต่อมาโยมบิดาและโยมมารดาถึงวัยชรา จึงสึกจากสามเณรมาช่วยประกอบอาชีพ เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ได้อุปสมบทที่วัดธรรมศาลา เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๔๔๖ มี พระอธิการทอง วัดลมุด เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูปริมานุรักษ์ (นวม) เป็นพระกรรมาวาจารย์ และ พระสมุห์แสง วัดใหม่ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัย และวิปัสสนาธุระ รวมทั้งวิชาไสยศาสตร์ จากอาจารย์หลายท่าน อาทิ หลวงพ่อกอบ วัดบ่อตะกั่ว, พระครูปริมานุรักษ์ (นวม), พระครูทักษินานุกิจ (แจ้ง), อาจารย์อู๊ด (ฆราวาส) ฯลฯ ท่านเป็นผู้ที่มีความจำเป็นเลิศ มีจิตใจแน่วแน่ในการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีสมาธิที่มั่นคง ทำให้การศึกษาทางวิทยาคมเป็นไปอย่างก้าวหน้าและรวดเร็ว

ในขณะเดียวกัน ท่านเป็นผู้มีอุปนิสัยเคร่งขรึม ไม่ค่อยพูดหรือแสดงออก ท่านได้ละความโลภ โกรธ หลง และลาภสักการะทั้งปวง มุ่งแต่ประกอบความเจริญรุ่งเรืองให้แก่พระศาสนา และสังคมส่วนรวม อีกทั้งมีความมั่นคงในพรหมจรรย์ตลอดมา

ท่านได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อพ.ศ.๒๔๕๕ ขณะที่บวชแล้ว ๙ พรรษา อายุ ๒๙ ปี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสได้ ๕๘ ปี

ปฏิปทาของท่านเป็นที่เลื่องลือกันว่า หลวงพ่อน้อย เป็นพระบริสุทธิสงฆ์ผู้มีวาจาสิทธิ์ และเชื่อว่าท่านสำเร็จในการทำผงวิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านเป็นผู้มีความรู้เกี่ยวกับวิชาการฝังลูกนิมิต การเสกทราย และการลงไม้หลักมงคล ซึ่งใช้สำหรับการประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมาก จนปรากฏว่า สังฆเสนาสนะทั้งหลาย ที่ท่านได้สร้างไว้ ล้วนมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่มหัศจรรย์ยิ่ง

เรื่องที่มีการเล่าขานกันมาก คือ ในพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปและพระกริ่ง ที่วัดประสาทบุญญาวาท สามเสน เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๘ ท่านได้ร่วมลงจารอักขระบนแผ่นทองสำหรับหล่อพระ พร้อมทั้งร่วมในพิธีปลุกเสก ปรากฏว่า แผ่นทองของท่านเมื่อใส่ลงไปในเบ้าหลอมกลับไม่ละลาย ซึ่งเป็น ๑ ใน ๕ ของพระเกจิอาจารย์ที่เกิดปรากฏการณ์แบบเดียวกันนี้ จนเป็นที่โจษจันในอิทธิปาฏิหาริย์อย่างกว้างขวาง

หลวงพ่อน้อย มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๓ สิริอายุรวม ๘๗ ปี พรรษา ๖๗ ปัจจุบันสรีระของท่านซึ่งไม่เน่าเปื่อยแต่อย่างใด ยังคงตั้งประดิษฐานอยู่ที่วิหารจตุรมุขใหม่ “ศาลาอนุสรณ์ภาวนากิตติคุณ” เพื่อให้ศิษยานุศิษย์และผู้ที่เคารพนับถือ ได้สักการบูชาโดยทั่วกัน

*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ


วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สี่หูห้าตา (พระอินทร์จำแลง) สุดยอดเครื่องรางโชคลาภล้านนา

ตามตำนานของ วัดพระธาตุดอยเขาควายแก้ว จ.เชียงราย เชื่อกันว่า แมงสี่หูห้าตามีลักษณะตัวอ้วนและเตี้ย มีกายภาพอย่างหมี และมีขนยาวสีดำปกคลุมร่างกาย นอกจากนี้ยังมีหูสองคู่และมีตาห้าดวง โดยที่ดวงตาของแมงสี่หูห้าตาเป็นสีเขียว รับประทานถ่านไฟร้อนเป็นอาหาร และมูลของแมงสี่หูห้าตานี้เป็นทองคำ

ในขณะที่ตามตำนานแมงสี่หูห้าตาที่ ครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา แห่ง จ.ลำพูน เขียนขึ้น ว่า ลักษณะของแมงสี่หูห้าตาไว้อีกแบบหนึ่ง โดยมีลักษณะคล้ายลิง และเรียก "พญาวานรสี่หูห้าตา" กับทั้งยังได้เชื่อมโยงสัตว์นี้เข้ากับหลักธรรมทางพุทธศาสนาด้วย โดยว่าจำนวนสี่หูและห้าตานั้นที่แสดงถึงหลักธรรมพรหมวิหาร ๔ และ ศีล ๕

การสร้าง สี่หู ห้าตา (พระอินทร์จำแลง กินไฟถ่ายเป็นทอง) สร้างขึ้นจากนิทานพื้นของชาวล้านนาเล่าขานกันมาว่า กาลครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล มีชายหนุ่มกำพร้าผู้หนึ่งฐานะยากจนขัดสนมาก มีที่ดินทำกินเพียงน้อยนิดไว้สำหรับปลูกข้าว มีอยู่ปีหนึ่งเกิดความแห้งแล้งต้นข้าวที่ปลูกไว้แห้งตายไปมากพอสมควร มีพระอินทร์บนสวรรค์องค์หนึ่งซึ่งมองเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของชายหนุ่มผู้นี้ จึงอยากช่วยเหลือให้พ้นจากความทุกข์ยาก จึงจำแลงกายมาปรากฏเป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ซึ่งมีหูสี่หู มีดวงตาห้าดวง มาทำลายต้นข้าวในนา บังเอิญชายหนุ่มได้มาพบเห็น จึงเกิดความโมโห คิดจะฆ่าสัตว์ตัวนี้แต่ก็ไม่มีอาวุธใดทำร้ายได้ จึงคิดหาวิธีดักจับจนกระทั่งจับได้ จึงนำมาผูกติดไว้กับต้นเสากระท่อมที่พัก

พอตกเย็นชายหนุ่มก็ได้นำอาหารมาให้สัตว์ประหลาดตัวนั้นกิน แต่มันไม่ยอมกินอาหารแต่อย่างใด กลับยืนตัวสั่นดูเหมือนว่ากำลังหนาวจัด คงต้องการความอบอุ่น ชายหนุ่มจึงหาฟืนมาก่อไฟให้มัน และในขณะที่ชายหนุ่มจะเข้าพักผ่อนภายในกระท่อมเห็นสัตว์ประหลาดตัวนั้นกำลังจับถ่านไฟก้อนแดงๆ ที่กำลังร้อนจัดกินเข้าไป อย่างไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด จนกระทั่งชายหนุ่มเผลอหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็ต้องตกตะลึง เมื่อพบว่าสัตว์ประหลาดที่กินถ่านไฟก้อนแดงๆ เข้าไปได้ถ่ายออกมาเป็นทองคำ ชายหนุ่มกำพร้าจึงนำทองคำไปขายจนเกิดความร่ำรวย จึงได้ข้อคิดว่า ถ้าชายหนุ่มกำพร้าใจร้อนฆ่าสัตว์ประหลาดตายเขาก็คงยากจนเหมือนเดิม คงเป็นเพราะมีความเมตตาที่คิดละเว้นชีวิตต่อสัตว์ประหลาดตนนั้น ถึงแม้จะเกิดความโมโหที่สัตว์ประหลาดมาทำลายต้นข้าวในนา ดังนั้นอยากให้ทุกคนหมั่นรักษาศีล ภาวนาให้มากๆ และมีพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ถ้าคนเรายึดถือสิ่งเหล่านี้ได้ชีวิตเราจะพบแต่ความสุขตลอดกาล

วิธีบูชาสี่หูห้าตา (พระอินทร์จำแลง) ตั้งนะโม ๓ จบ ระลึกถึงคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณพระอินทร์เทพจำแลงสี่หู ห้าตา และสงบจิตแล้วภาวนาพระคาถาว่า

"พุทโธ อยู่หลัง พุทธัง อยู่หน้า ตัวข้า อยู่กลาง เวเวสิ...(ใช้ป้องกันภัย) ระตะนัง ปุระโต อาสิ...(ใช้เสกของกินดีมาก)มหาลาโภ ภะวันตุเม...(ใช้ขอลาภ) อิติปิโส ภควา เงินทองไหลมา อิติปิโส ภควา เงินคำไหลมา อิติปิโส ภควา เงินทองและเงินคำไหลมา เทมา หาข้าพเจ้าเสมอ"

ทั้งนี้มีคติความเชื้อ เมื่ออธิษฐานในสิ่งที่ควรแล้วจะสมปรารถนาทุกประการ

*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ





วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แถลงการณ์กรณี "พระอาจารย์มิตซูโอะ" ยันเป็นโยม ก็ยังเผยแพร่ธรรม


รองเจ้าอาวาสออกแถลงการณ์ ยัน พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก ลาสิกขาบทจริง แต่ยังคงทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในฐานะของฆราวาสต่อไป

11 มิถุนายน 2556 จากกรณีที่มีกระแสข่าว พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เจ้าอาวาส วัดป่าสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี ได้ลาสิกขาที่ วัดชนะสงคราม เขตพระนคร ไปเมื่อวันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน ที่ผ่านมา แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดและเหตุผลของการตัดสินใจครั้งนี้ พร้อมทั้งเดินทางออกจากประเทศไทยแล้วโดยไม่มีกำหนดกลับ ซึ่งทาง มูลนิธิมายาโคตมี วัดสุนันทวนาราม จะแถลงข่าวถึงสาเหตุในวันที่ 11 มิถุนายนนี้นั้น

ล่าสุด พระอาจารย์หนูพรม สุชาโต รองเจ้าอาวาส และรักษาการเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม ออกแถลงการณ์เรื่อง การลาสิกขาของพระอาจารย์มิตซูโอะ เนื้อหาว่าตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อต่างๆ ว่า พระอาจารย์มิตซูโอะ ลาสิกขาเป็นความจริง ขณะนี้ท่านเดินทางไปต่างประเทศแล้ว โดยมีจุดหมายปลายทางที่ประเทศญี่ปุ่นบ้านเกิดของท่าน โดยท่านจะยังคงทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในฐานะของฆราวาสต่อไป

ทั้งนี้ในส่วนการดำเนินการของมูลนิธิ และโครงการต่างๆ ที่ท่านริเริ่มไว้ คณะทำงานจะดำเนินงานไปตามปกติ เนื่องจากพระอาจารย์ได้วางรากฐานไว้แข็งแรงแล้ว ขอให้พวกเราทุกคนรัก และเมตตาต่อกัน และดำเนินงานประหนึ่งเป็นครอบครัวเดียวกันดังความประสงค์ของพระอาจารย์ให้จงดี จึงเรียนมาเพื่อให้ทราบโดยทั่วกัน

"การลาสิกขาของท่าน ทางวัดไม่ทราบว่าไปสึกที่ไหน และอาการป่วยของท่านก็เป็นองค์ประกอบหนึ่ง แต่ขอยืนยันว่า ไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเงินของมูลนิธิแต่อย่างใด และการที่ท่านจะกลับมาหรือไม่ก็ไม่มีใครจะทราบได้" รองเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม ระบุ

*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ





พศ.ช็อก!! คาด 2 ปม "พระอาจารย์มิตซูโอะ" สึก


พศ.ช็อก! พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก สึก ยันไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสีย แม่ชียืนยันลาสิขาบทจริง คาดสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพ และอยากกลับไปพัฒนาญี่ปุ่นบ้านเกิด

10มิ.ย.2556 นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยถึงกรณี พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี พระชื่อดัง ลูกศิษย์ หลวงพ่อพระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา) ลาสิกขาบทว่า หลังทราบข่าวตนรู้สึกงงๆ และตกใจมาก เนื่องจากพระอาจารย์มิตซูโอะได้บรรพชามานานหลายสิบปี ทำคุณประโยชน์ด้านพระพุทธศาสนามากมาย โดยเฉพาะการสอนและเผยแผ่การปฎิบัติธรรมที่มีความชัดเจน เข้าใจง่าย มีการปฎิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสอนให้ทั้งชาวพุทธที่เป็นคนไทยและต่างชาติ และเดินทางไปเผยแผ่ทั่วประเทศ นอกจากนี้ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับแนวทางปฎิบัติธรรม ทำการกุศลต่อสาธารณะนำสิ่งของที่ได้รับการถวายมาไปบริจาคช่วยเหลือพี่น้องในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้

“ตอนแรกที่ทราบข่าวก็ไม่อยากเชื่อ ช็อกไปเลย เพราะไม่คิดว่าท่านมิตซูโอะจะสึก แต่คนจะคลอดลูก พระจะสึก ห้ามกันไม่ได้ ถือเป็นเรื่องของความพอใจของท่าน ท่านน่าจะคิดทำดีที่สุดแล้ว ส่วนเหตุผลของการสึกครั้งนี้น่าจะเป็นเหตุผลส่วนตัว ที่เรามิอาจจะทราบได้ เพราะที่ผ่านมาท่านไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสีย หรือมีปัญหา มีความขัดแย้งเรื่องใดๆ ท่านทำดีมาโดยตลอด เมื่อท่านสึกออกไปก็น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่ท่านได้สร้างแนวทางปฎิบัติไว้จะมีลูกศิษย์สืบทอดต่อไป อย่างไรก็ตาม กรณีมีกระแสข่าวว่าพระมิตซูโอะสึกที่วัดชนะสงครามฯนั้น บอกตรงๆผมไม่ทราบว่าท่านสึกที่ไหนจริงๆ เพราะการสึกอยู่ที่ผู้บวชพอใจว่าจะสึกที่ไหน กับใคร ”ผอ.พศ. กล่าว

ด้าน นายสมชาติ ธีรสุวรรณจักร นายอำเภอไทรโยค จ.กาญจนบุรี พร้อม นายศุภมิตร แก้วงอก ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 ต.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ร่วมกันเดินทางไปที่ วัดป่าสุนันทวนารา หมู่ 8 ต.ไทรโยค เพื่อตรวจสอบเรื่องดังกล่าว โดยเมื่อไปถึงวัดพบว่า วัดเงียบเหงามาก โดยนายสมชาติได้สอบถามเรื่องดังกล่าวจาก แม่ชีพิณพรรณ เนียมมุณี แม่ชีที่มาปฏิบัติธรรมที่วัดนี้นานกว่า 8 ปี โดยแม่ชีพิณพรรณ เปิดเผยว่า ตนได้ทราบเรื่องหลวงพ่อลาสิกขาบทเมื่อประมาณ 7 โมงเช้า โดยทางมูลนิธิได้แจ้งมายังทางวัด รู้สึกตกใจมาก โดยทราบว่าสึกที่วัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ และตอนนี้เดินทางไปญี่ปุ่นแล้ว

"ส่วนสาเหตุดิฉันไม่ทราบ แต่ได้รับทราบว่าหลวงพ่อท่านป่วยเป็น โรคเบาหวาน มานานกว่า 2 ปีแล้ว ท่านไม่ค่อยแข็งแรง และมีกิจนิมนต์ตลอดเกือบทุกวัน และอีกเหตุหนึ่งน่าจะมาจากท่านเคยพูดกับญาติโยมว่าท่านเป็นคนญี่ปุ่น หากมีโอกาสก็ อยากจะกลับไปช่วยคนญี่ปุ่นบ้าง เพราะคนญี่ปุ่นขณะนี้ก็ยังมีคนที่ลำบากมากเช่นกัน ซึ่งดิฉันเชื่อว่าเรื่องสุขภาพกับเรื่องการอยากกลับไปช่วยคนญี่ปุ่นทำให้ท่านลาสิขาบท แต่เรื่องอื่นๆไม่เคยได้รับทราบ ท่านเป็นพระที่น่ายกย่องนับถือเป็นพระที่มีคำสอนให้แก่ญาติธรรมเพื่อให้เกิดสติในการแก้ปัญหาต่างๆจำนวนมาก รู้สึกเสียดายมาก" แม่ชีพิณพรรณ กล่าว

ส่วนนายสมชาติ กล่าวว่า ตนได้รับทราบข่าวจากหลายฝ่ายที่โทรศัพท์มาถาม ดังนั้นเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงจึงเดินทางมาตรวจสอบ และทราบว่าพระอาจารย์มิตซูโอะได้ลาสิกขาบทแล้ว โดยตอนนี้ พระอาจารย์หนูพรม รองเจ้าอาวาสเป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสแต่ตอนนี้ไม่อยู่ที่วัดก็เลยยังไม่ทราบว่าจะมีแนวทางอย่างไร แต่ตนรู้สึกว่าเสียดายพระปฏิบัติที่สึกออกไป เพราะประชาชนในพื้นที่ใกล้วัดต่างชื่นชมมากเพราะเป็นพระนักพัฒนาและมีศิษยานุศิษย์จำนวนมาก รวมถึงได้บริจาคเงินช่วยพัฒนาท้องถิ่นในพื้นที่จำนวนมาก จึงรู้สึกเสียดายมาก

นายศุภมิตร กล่าวว่า ตนรู้สึกตกใจมาก เพราะตั้งแต่ช่วงบ่ายวันนี้มีโทรศัพท์มาสอบถามจำนวนมาก ยิ่งเมื่อสอบถามมายังวัดทราบว่าพระอาจารย์มิตซูโอะลาสิขาบทจริงยิ่งเสียใจ ชาวบ้านในพื้นที่ให้ความรักและบูชาท่านมาก เพราะท่านให้ทั้งการพัฒนาคน ทั้งพัฒนาท้องถิ่น ท่านให้ทั้งทุนการศึกษากับเด็กเยาวชนที่ด้อยโอกาสได้มีเงินเรียนหนังสือ วัดมีลูกศิษย์มากชาวบ้านก็ทำมาค้าขายได้มีรายได้สามารถมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งในส่วนนี้ตนรู้สึกเสียดายท่านมาก ซึ่งต้องรอดูว่าท่านอาจารย์หนูพรมท่านจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งในส่วนของผู้นำท้องที่ก็พร้อมที่จะช่วยวัดให้สามารถพัฒนาต่อ

*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ





"พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก" ลาสิกขาแล้ว!!

10มิ.ย.2556 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เจ้าอาวาสวัดป่าสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี ได้ลาสิกขาบทไปเมื่อวันเสาร์ที่ 8 มิ.ย. ที่ผ่านมา และเดินทางออกจากประเทศไทยไปต่างประเทศแล้วโดยไม่มีกำหนดกลับ ทั้งนี้ทางวัดจะแถลงข่าวถึงสาเหตุในวันที่ 11 มิ.ย.2556

ทั้งนี้ล่าสุด​ได้มีลูกศิษย์ของพระอาจารย์มิตซู​โอะ ​ในนาม @iPattt ทวีตผ่านทวิ​เตอร์ว่า "​โทร​ไปที่มูลนิธิมายา​โคตมี ​เมื่อสักครู่นี้ว่าพระอาจารย์มิตสุ​โอะ ลาสิกขาจริง​หรือ​ไม่ ​ได้รับคำตอบว่าลาสิกขา​แล้วจริง! ​แต่รายละ​เอียดจะ​แถลงอีกที"

สำหรับประวัติ พระอาจารย์มิตซูโอะ มีชื่อเดิมว่า "มิตซูโอะ ชิบาฮาชิ" เป็นชาวจังหวัดอิวะเตะ ประเทศญี่ปุ่น เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.2494 สำเร็จการศึกษาในระดับไฮสคูล (เทียบเท่าระดับ ปวช. หรือ มศ.5 ตามระบบการศึกษาไทย) สาขาเคมี ณ เมืองโมะริโอะกะ จังหวัดอิวะเตะ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจึงทำงานจนสามารถเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง และออกเดินทางไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลกเพื่อแสวงหาความหมายของชีวิตตั้งแต่ พ.ศ. 2514

พระอาจารย์มิตซู​โอะ ​เดินทางมาสู่ประ​เทศ​ไทย หลังจาก​ได้​เดินทาง​แสวงหาธรรมะที่​แท้จริงมา​แล้วจากหลายประ​เทศทั่ว​โลก​ทั้งอิน​เดีย, ​เนปาล, อิหร่าน ​และ ยุ​โรป กระทั่ง​ได้​เดินทางมาประ​เทศ​ไทยอีกครั้ง ​และบวช​เป็นสาม​เณรอยู่ ณ วัด​เบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุง​เทพฯ

ต่อมามี​ผู้​แนะนำ​ให้​ไปกราบ หลวงพ่อชา สุภทฺ​โท ที่จังหวัดอุบลราชธานี ​และ​ได้​เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อชาตั้ง​แต่บัดนั้น ​และ​ได้รับ​การอุปสมบท​เป็นพระภิกษุ​เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2518 ​ได้รับฉายา "ค​เวส​โก" หมาย​ถึงผู้​แสวงหา​ซึ่งฝั่ง

พระอาจารย์มิตซู​โอะ​เป็น​ผู้บุก​เบิก วัดป่าสุนันทวนาราม อำ​เภอ​ไทร​โยค จังหวัดกาญจนบุรี ​ซึ่ง​เป็นวัดป่านานาชาติ กระทั่ง​ได้ดำรงสถานะ​เป็น​เจ้าอาวาส จน​ถึงปัจจุบัน อีก​ทั้ง​ในปี พ.ศ. 2533 พระอาจารย์มิตซู​โอะ ​ได้ก่อตั้งมูลนิธิมายาโคตมี ที่​ให้​การช่วย​เหลือด้าน​การ​ให้ทุน​การศึกษา​แก่​เด็กๆ ที่ขาด​โอกาส ที่จังหวัดอุบลราชธานี ​ซึ่ง​เป็นจังหวัดที่ตั้งของวัดหนองป่าพง ที่ท่าน​ได้อุปสมบทมาก่อน

*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ





วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ร่วมบุญสร้างเมรุ "วัดบ้านปาง"

วัดบ้านปาง ตั้งอยู่เลขที่ ๓๘๑ หมู่ ๑ ต.ศรีวิชัย บนเนินเขาบ้านปาง ห่างจากตัวอำเภอลี้ ประมาณ ๓๘ กิโลเมตร เป็นวัดซึ่ง ครูบาศรีวิชัย บวชเรียนเป็นวัดแรก ภายในบริเวณวัดร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ มีโบสถ์วิหารสวยงาม และมี พิพิธภัณฑ์อัฐบริขารครูบาศรีวิชัย ซึ่งเก็บของใช้ส่วนตัวของท่านไว้อย่างครบถ้วน ได้แก่ สบง จีวร หมอน กระโถน แจกัน เป็นต้น ปัจจุบันมี พระครูบาเจ้าเอนก อาสโภ เป็นเจ้าอาวาส

พระครูบาเจ้าเอนก อาสโภ ได้อุปสมบท ณ พระอุโบสถ วัดศรีทรายมูล (แม่ก๊ะ) ต.เชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี (พ.ศ.๒๕๑๒) โดยมี พระครูวิกรมคณาภิรักษ์ เจ้าคณะอำเภอเชียงดาว เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการบุญช่าว อธิปุญโญ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการเอนก ขนฺติสาโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “อาสโภ” และได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์ข้อธรรม และฝึกพระกรรมฐานกับ หลวงปู่ครูบาน้อย ชยวังโส วัดบ้านปง ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ อยู่หลายปี ในพรรษาที่ ๑๒ ท่านก็คิดที่จะออกเดินธุดงค์อย่างจริงจัง จึงได้ตัดสินใจเลิกเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม ท่านได้ออกเดินดุงค์จาก อ.เชียงดาว จนเข้าเขต จ.ลำพูน พ.ศ.๒๕๒๔ ได้เข้าไปกราบครูบาพรหมา พรหมจักโก วัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.ป่าซาง จ.ลำพูน เพื่อขอข้อวัตร และวิธีการฝึกวิปัสสนากรรมฐาน

ในการออกเดินธุดงค์ไปตามป่าเขา ครูบาเอนกจะแวะพักอาศัยตามหมู่บ้านชาวเขาเผาต่างๆ และได้ช่วยชาวเขาพัฒนาหมู่บ้านตามทางที่ท่านได้เดินธุดงค์ผ่าน ใน พ.ศ.๒๕๔๘ ท่านได้เดินธุดงค์ลงจากหมู่บ้านชาวเขา มาจำพรรษาตามวัดต่างๆ ในเขต อ.ลี้ จ.ลำพูน อยู่หลายวัด จนมา พ.ศ.๒๕๕๓ ท่านได้รับนิมนต์ให้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านปางจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามใน พ.ศ.๒๕๕๖ นี้ ครูบาศรีวิชัย มีอายุครบ ๑๓๕ ปี พระครูบาเอนกจึงได้ดำริที่จะจัดสร้างวัตถุมงคลของครูบาศรีวิชัย “รุ่น ๑๓๕ ปี สิริวิชโย” ประกอบด้วย รูปหล่อลอยองค์ขาดบูชา หน้าตัก ๙ นิ้ว พระกริ่งครูบาศรีวิชัยรุ่นแรก เหรียญเนื้อโหละ เหรียญลงยา รูปหล่อลอยองค์เทดินไทย และพระขุนแผนรุ่นแรก เพื่อนำปัจจัยบูรณะเสนาสนะภายในวัด สนับสนุนทุนการศึกษานักเรียนในพื้นที่ สร้างเมรุ รวมทั้งเป็นการรำลึกถึงพระคุณของ ครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย จึงปรึกษากับคณะศิษย์ผู้ที่นับถือครูบาเจ้าศรีวิชัย


ในการจัดสร้างวัตถุมงคลครั้งนี้ ครูบาเอนกได้มอบหมายให้ นายสวัสดิ์ จอมแปง เป็นประธานในการจัดสร้างวัตถุมงคลในครั้งนี้ ได้ทำพิธีมหาพุทธาภิเษกครั้งแรกในรอบ ๒๐ ปี โดยคณาจารย์ดังภาคเหนือถึง ๓ ครั้ง ดังนี้ พิธีพุทธาภิเษกครั้งที่ ๑ โดย ครูบาดวงดี ยติโก ณ พระวิหารวัดบ้านฟ่อน อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ในวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๖ เวลา ๑๕.๓๙ น. พิธีพุทธาภิเษกครั้งที่ ๒ โดย ครูบาเอนก อาสโภ ณ พระวิหารวัดบ้านปาง ในวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๖ เวลา ๑๕.๓๙ น. และพิธีพุทธาภิเษกครั้งที่ ๓ โดยคณาจารย์ดังภาคเหนือ ๑๙ รูป ร่วมพิธีในวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๖ เวลา ๑๔.๕๙ น. ณ พระวิหารวัดบ้านปาง

ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบุญได้ที่ วัดบ้านปาง อ.ลี้ จ.ลำพูน หรือสามารถเข้าดูรายละเอียดได้ที่ www.krubasrivichai.com

*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

พระบัญชาตั้งเจ้าอาวาส วัดสุวรรณาราม กรุงเทพฯ


พระอารามหลวง
หมายถึง วัดที่พระมหากษัตริย์ สมเด็จพระราชินี สมเด็จพระยุพราช ทรงสร้างและปฏิสังขรณ์ หรือ วัดที่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่ ทรงสร้างหรือโปรดให้ปฏิสังขรณ์แล้วน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระอารามหลวง รวมถึงวัดที่ประชาชนสร้าง หรือปฏิสังขรณ์แล้วทรงรับไว้เป็นพระอารามหลวง โดยแต่เดิมเมื่อผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสพระอารามหลวงว่างลง พระมหากษัตริย์จะทรงพิจารณาคัดเลือกพระสงฆ์ที่มีความรู้ความสามารถเพื่อทรงแต่งตั้ง ให้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส แม้วัดราษฎร์บางวัดก็ทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง

ในยุคปัจจุบันการเสนอขอแต่งตั้งเจ้าอาวาสพระอารามหลวงจะเป็นภาระหน้าที่ของเจ้าคณะผู้ปกครองตามลำดับชั้น เป็นผู้พิจารณาคัดเลือกพระสงฆ์ที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อนำเสนอขออนุมัติจากมหาเถรสมาคม แล้วนำขึ้นกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช เพื่อทรงมีพระบัญชาแต่งตั้ง ในการแต่งตั้งเจ้าอาวาสพระอารามหลวงตามโบราณราชประเพณีที่ถือปฏิบัติสืบต่อกันมา

ครั้นเมื่อตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดสุวรรณาราม พระอารามหลวง ว่างลง เนื่องมาจาก พระราชปริยัติโมลี เจ้าอาวาสรูปเดิมถึงแก่มรณภาพ

สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ในฐานะเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ได้เสนอขอแต่งตั้ง "พระราชปริยัติเวที" (สุชาติ กิตติปัญโญ) เจ้าอาวาสวัดดาวดึงษาราม เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร และรองเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ให้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม พระอารามหลวง เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร

การเสนอขอแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม พระอารามหลวง ปฏิบัติตามข้อ 6 ข้อ 29 และข้อ 31 แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ.2541) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ โดยได้รับความเห็นชอบจากเจ้าคณะตามลำดับ จนถึงเจ้าคณะใหญ่หนกลาง และมหาเถรสมาคมลงมติอนุมัติ ในการประชุมครั้งที่ 3/2556 เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2556

สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดทำพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช นำขึ้นกราบนมัสการ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชลงนามในพระบัญชาแต่งตั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา วัดสุวรรณาราม เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ประกอบพิธีต้อนรับ พระราชปริยัติเวที ในโอกาสดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม มี สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ และเจ้าคณะใหญ่หนกลาง เป็นประธานในพิธี ณ พระอุโบสถวัดสุวรรณาราม กรุงเทพฯ

พิธีเริ่มต้นจาก เวลา 15.09 น. อัญเชิญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช จากพระอุโบสถวัดดาวดึงษาราม โดยเรือยนต์หลวงตามโบราณประเพณี จากท่าน้ำวัดดาวดึงษาราม สู่ท่าน้ำวัดสุวรรณารามราชวรวิหาร โดยได้รับความอุปถัมภ์จากกองทัพเรือ ได้จัดเรือยนต์ถวาย

เวลา 16.00 น. ขบวนอัญเชิญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ถึงท่าน้ำวัดสุวรรณาราม เวียนประทักษิณรอบพระอุโบสถวัดสุวรรณารามราชวรวิหาร เข้าสู่พระอุโบสถ

เวลา 16.30 น. นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ อ่านพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช แต่งตั้ง พระราชปริยัติเวที (สุชาติ กิตติปัญโญ) ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสุวรรณารามราชวรวิหาร จากนั้นพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ 10 รูป เจริญชัยมงคลถาคา ก่อนที่คณะศิษยานุศิษย์ จะร่วมกันถวายปัจจัยไทยธรรมแด่คณะสงฆ์

สำหรับประวัติ พระราชปริยัติเวที มีนามเดิมว่า สุชาติ หวลจิตต์ เกิดเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2506 บรรพชา เมื่อวันที่ 16 เม.ย.2520 ณ วัดดาวดึงษาราม และเข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พุทธศักราช 2527 ณ พัทธสีมาวัดดาวดึงษาราม โดยมีพระเทพปริยัติวิธาน อดีตเจ้าอาวาสวัดดาวดึงษาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ 

ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2546 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ในราชทินนามที่ พระกิตติสารเมธี พ.ศ.2553 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามที่ พระราชปริยัติเวที

*************************

เรื่องโดย : ข่าวสดออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556

หลวงพ่อน้ำฝน เมตตาศิษย์ จัดพิธีขอขมากรรม ณ วัดไผ่ล้อม


หลวงพ่อน้ำฝน เมตตาศิษยานุศิษย์ จัดพิธีขอขมากรรม ล้างสนิมสิ่งไม่ดีที่อยู่ในใจ ล้างกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ ก่อนเข้าพรรษา ตั้งมั่นถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง หมดทุกข์ หมดโศกโชคดี มีความสุข ในวันอาทิตย์ที่ 21 ก.ค. 56 นี้ ตั้งแต่ เวลา 18.09 น. ณ วัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม

พระเดชพระคุณ หลวงพ่อน้ำฝน ศิษย์เอก หลวงพ่อพูล อัตตะรักโข สุดยอดพระอมตะเถราจารย์ ท่านได้จัดพิธีขอขมากรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง ล้างสนิมสิ่งไม่ดีที่อยู่ในใจ เพื่อล้างทุกข์ ให้บริสุทธิ์ทั้งทาง กาย วาจา ใจ ก่อนถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา วันอาสาฬหบูชา วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรกเป็นปฐมเทศนา คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แก่ปัญจวัคคีย์ จนได้ดวงตาเห็นธรรมและก่อนถึงวันเข้าพรรษา วันสำคัญในพุทธศาสนา ที่พระสงฆ์อธิษฐานว่าจะพักประจำ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดฤดูฝน 3 เดือน เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย สืบต่อไป

ซึ่งนับเป็นโอกาสดีที่ หลวงพ่อน้ำฝน จัดให้มีพิธีขอขมากรรมขึ้น เพื่อล้างทุกข์โศก ที่มีอยู่ในใจ ล้างโรคภัยที่มีอยู่ในกาย เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ ในการดำเนินชีวิต โดยให้กระทำต่อหน้า หลวงพ่อพระพุทธประทานอภัย พระพุทธรูปโบราณเก่าแก่ ศักดิ์สิทธิ์คู่บุญ วัดไผ่ล้อม คู่บารมีหลวงพ่อพูล เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยหลวงพ่อน้ำฝนน้อมนำอานุภาพพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงในโลกใบนี้ ปกปักรักษาญาติโยมผู้เข้าร่วมพิธีทุกท่าน มีแต่ความสุขความเจริญสืบต่อไป

โดยกำหนดการพิธีมีดังนี้

- เวลา 18.09 น. บัณฑิต อ่านโองการบูชาเทพยดา

พร้อมบูชาถวาย เครื่องสังเวย ต่อเทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

หลวงพ่อน้ำฝน นำกล่าว ขอขมากรรม ถอนคำสาบาน

ถอนคำสาปแช่ง จากนั้น หลวงพ่อน้ำฝน พร้อมคณะสงฆ์

วัดไผ่ล้อม สวดถอนกรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง

- เวลา 22.00 น. พิธีสวดนพเคราะห์ เสริมบารมี

- เวลา 24.00 น. หลวงพ่อน้ำฝน ประพรมน้ำพระพุทธมนต์

รับพรก่อนเข้าพรรษา เพื่อความบริสุทธิ์ทั้งทาง กาย วาจา และใจ เป็นเสร็จพิธี


หมายเหตุ : ผู้เข้าร่วมพิธีต้องมาด้วยตนเอง และควรมาก่อนเวลา

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม โทร. 087-1517799 และ 087-6984777


*************************

เรื่องโดย : บก.ไก่ วีรพล
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ





"เจ้าคุณธงชัย" นิมนต์ 24 เกจิดังสวดถวาย "ในหลวง"


"เจ้าคุณธงชัย" ผช.เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรฯ จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์ นิมนต์ 24 เกจิดังสวดถวาย "ในหลวง" และพระบรมวงศานุวงศ์

เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 56 ผู้สื่อข่าวรายงานจาก วัดไตรมิตรวิทยาราม ซึ่งเป็นสถานที่จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้มีการจัดเตรียมพิธีการ โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำความสะอาดพระอุโบสถ พร้อมกับนำพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พร้อมกับเทียน 4 เล่ม โดยไส้เทียนแต่ละเล่มจะมีจำนวนเท่ากับพระชนมายุของแต่ละพระองค์บวกหนึ่งมาเตรียมไว้ในพระอุโบสถ

พระธรรมภาวนวิกรม หรือ เจ้าคุณธงชัย ธมฺมธโช ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรฯ กล่าวว่า ในวันที่ 29 พ.ค.นี้ เวลา 18.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. จะเป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ที่สำคัญในพิธีดังกล่าวจะมีพระเกจิคณาจารย์ชื่อดัง อายุกว่า 90 ปี จำนวน 24 รูป อาทิ หลวงปู่คำบุ วัดกุดชมพู จ.อุบลราชธานี, หลวงพ่อชาญ วัดปากบ่อ จ.สมุทราปราการ, หลวงพ่อเกลี้ยง วัดเนินสุทธาวาส จ.ชลบุรี, หลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร จ.ฉะเชิงเทรา, หลวงพ่อหุน วัดบางผึ้ง จ.ฉะเชิงเทรา เป็นต้น จะมานั่งปรกเจริญจิตภาวนาด้วย

เจ้าคุณธงชัย กล่าวอีกว่า วันที่ 29 พ.ค.นี้ จะเกิดปรากฏการณ์อิทธิพลของดวงดาว ที่ให้โทษกับราศีประเทศไทย นั่นก็คือ ดาวพฤหัสบดี ซึ่งดาวประจำประเทศไทยและรัฐบาลไทย และเป็นดาวสัญลักษณ์ หรือประธานฝ่ายธรรมะ คุณธรรม ความดีงาม จะย้ายราศีจากพฤษภเข้าเมถุน แต่เป็นการโคจร หรือเดินแบบผิดปกติ ที่โหราศาสตร์เรียกว่า พฤหัสมณฑ์ คือ เดินถอยหลัง ทำให้เสื่อมกำลัง อ่อนแอ ดังนั้น ทางเดียวที่ทำได้คือ การจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์นพเคราะห์ เพื่อให้เทพยดาผู้มีมหิทธิฤทธิ์อำนาจ ช่วยเหลือ ป้องกัน และปลดเปลื้องทุกข์ภัยพิบัติให้กับประเทศชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งประชาชนทุกหมู่เหล่า

*************************

เรื่องโดย : ไทยรัฐออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ