วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

จุดไฟในใจคน : แม่


“ซาซ่า” แม่ผู้ไม่เคยยอมแพ้ กับ “อิ๋งอิ๋ง” ลูกผู้ไม่เคยท้อถอย
เพื่อนอาตมาสมัยเรียนประถม - เคี้ยวเข็ญสอนลูกจนได้ดี

เจริญพรคุณโยมทุกท่าน ในวาระโอกาสมงคล 12 สิงหา วันแม่แห่งชาติ อาตมานำเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแม่และลูกมานำเสนอ รวมถึงหลักการสอน แง่คิด ที่จุดไฟในใจ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ แบบอย่างที่ดี เพื่อญาติโยมทุกท่าน ได้นำไปปรับใช้ให้สัมฤทธิ์ผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

ขอเล่าความเดิมตามที่ โยมซาซ่า หรือ น.ส.ชฎาวดี อ่ำเอี่ยม เพื่อนอาตมาสมัยเรียนชั้นประถม โรงเรียนพิบูลประชาสรรค์ เขตดินแดง หลังจบป. 6 อาตมาเรียนต่อม.1 โยมซาซ่าออกไปเรียนต่อโรงเรียนอื่น พวกเราจากกันช่วงอายุ 12 ปีบริบูรณ์ จากนั้นอาตมาได้มาเจอกับโยมซาซ่าอีกครั้ง ในขณะบวชเป็นพระสงฆ์แล้ว โยมมาแนะนำตัว บอกเป็นเพื่อนอาตมา เมื่อครั้งสมัยเรียน ซึ่งอาตมาก็บอกไปตามตรงว่า จำไม่ได้จริงๆ สุดท้ายเขานำรูปมาให้ดู เป็นภาพสมัยเด็ก ถ่ายร่วมกันไว้ ก็เลยถึงบางอ้อ โยมซาซ่า เล่าความหลัง ให้ฟังเป็นระยะ

“โยมออกจากโรงเรียนพิบูลประชาสรรค์ ไปเรียนต่อจบม.3 ระหว่างนั้นก็ช่วยยายขายทอดมัน ที่บ้านจน หาเช้ากินค่ำ ไม่มีเงินเรียนต่อ ประกอบกับได้พบเพื่อนชายคบหาถูกใจ ลงเอยด้วยการตั้งครรภ์ ในวัย 15 ปี คลอดลูกอายุ 16 ปี” นี่คือสิ่งที่โยมซาซ่าได้อรรถาธิบาย.... ชีวิตผกผัน ลำบากลำบน อดทนสู้ ด้วยความวิริยะอุตสาหะ

เมื่อคลอดลูกสาวแล้ว จึงตั้งชื่อว่า ด.ญ.เบญจมาส นามสกุล เสนาะ ชื่อเล่น อิ๋งอิ๋ง โยมซาซ่าเล่าต่อว่า ก็เลี้ยงดูกันไปตามมีตามเกิด ถึงแม้จะยากจน แต่ก็มิเคยทอดทิ้งลูก อบรมสั่งสอน เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็นเสมอมา เริ่มต้นด้วยการค้าขายทำมาหากิน หนักเอาเบาสู้ ขยัน แต่ก็มีพรสวรรค์ในการพูด เก่งเจราจา เรียนรู้สะสมประสบการณ์ ผลที่ตามมาคือ สำเร็จ ตามความฝันที่วางไว้ รวมถึงความเป็นคนประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย เก็บหอมรอมริบสู้ชีวิตทุกวิถีทาง พร้อมทั้งหมั่นเติมเต็มหาความรู้ และที่สำคัญเป็นคนที่มีความกตัญญู เลี้ยงดูพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ช่วยเหลือเจือจานผู้ที่ตกทุกข์ คุณสมบัตินี้โยมซาซ่า ถือปฏิบัติโดยสัญชาติญาณ ของคนที่มีจิตสำนึกดี

เรื่องราวชีวิตโยมซาซ่า มาถึงจุด ใฝ่เพียร ในวัยรู้จักผิดชอบชั่วดี ด้วยวิถีความเป็นแม่ หัวใจที่ไม่รู้จักแพ้ พยายามหาโอกาสไปเรียนภาษาจีนกลาง จีนกวางตุ้ง และภาษาอังกฤษ เพื่อต่อยอดวิชาชีพให้กับตนเอง ดั้นด้นถีบตัวให้สูงขึ้น เดินทางไปทำงานที่ประเทศฮ่องกง ใช้ความสามารถที่มีอยู่แสวงหางานใหม่ ด้วยการเป็น ไกด์

อาชีพไกด์ทำให้ชีวิตดีวันดีคืน เพราะความมานะทำงานหามรุ่งหามค่ำ หารายได้พิเศษ ขายสินค้าเสริมผนวกกับอาชีพไกด์ แม่ที่ชื่อซาซ่า สามารถส่งเงินเลี้ยงพ่อแม่ และลูกสาว ให้กินอยู่และเรียนหนังสือตามวัยได้อย่างสมบูรณ์ไม่บกพร่อง ที่ผ่านมา แม่ซาซ่า เคยพลาดพลั้งในชีวิต มีลูกก่อนวัยอันควร แต่ก็ถือว่า เป็นบทเรียนชีวิต ที่นำมาปรับตัว แล้วนำประสบการณ์นี้กลับมาสอนลูกอิ๋งอิ๋ง ไม่ให้พลาดเหมือนตน

แม่ซาซ่าส่งลูกเรียนหนังสือ เติมวิชาใส่สมอง ด้วยน้ำพักน้ำแรง จากหยาดเหงื่อและเนื้องาน นอกจากจะเป็นแม่ที่ให้ชีวิตแก่ลูกแล้ว ยังหาเงินส่งให้เรียน ให้คำสอนอบรมเพาะบ่มนิสัย ให้กำลังใจในการต่อสู้ไม่ให้ท้อแท้ ควบคุมดูแลกำชับ ติเตียน กำราบ ไม่ให้ลูกเสียคน สอนให้รู้พิษภัยสิ่งชั่วร้ายในโลกใบนี้ ชี้สิ่งดีสร้างสรรค์ให้ลูกได้เรียนรู้ และคว้ามันมาครอบครอง

สอนธรรมะในการดำเนินชีวิต ให้ลูกนำไปคิดประกอบ ธรรมะจากใจ ที่แม่ได้สัมผัสและเรียนรู้ ตามคำสอนของพุทธองค์ ที่คนใฝ่ดี เฉกเช่นแม่ ที่กำลังสอนลูก สามารถเรียนรู้ได้ โดยไม่ต้องบวชเรียน แต่หมั่นศึกษา อ่าน ฟัง รับรู้ และปฏิบัติ ทดสอบให้เห็นจริง

หลังจากลูกอิ๋งอิ๋งเรียนจบ แม่ซาซ่าไม่ละความพยายาม ส่งลูกไปเรียนเพิ่มเติมภาษาจีนกลาง จีนกวางตุ้ง และภาษาอังกฤษ ปูพื้นฐานวิชาชีพให้ลูก เคี้ยวเข็ญมองการณ์ไกล หวังให้ลูกมีอาชีพติดตัว และสามารถเลี้ยงตัวเอง เอาตัวรอดได้อย่างปลอดภัย มีความสุข

“ไม่มีอะไรได้มาง่าย ได้มาฟรี ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ความยากลำบากคือแรงผลักดัน ฝันถึงจะเป็นจริง ถ้าลูกลงมือทำ” นี่คือคำสอนที่แม่มอบให้ลูกทุกครั้ง ที่บ่นท้อแท้ เหนื่อยหน่าย ไม่สบายอารมณ์

โยมซาซ่า ได้ชื่อว่าเป็น แม่สู้ชีวิต เป็นแบบอย่างที่ดีของลูก และการตัดสินใจเอาลูกมาฝึกงานกับแม่ในอาชีพไกด์ ด้วยความหวังให้ลูกได้เห็นการทำงานของแม่ ว่ายากลำบากแค่ไหน กว่าจะได้เงิน

“เมื่อลูกอยากได้อะไร ลูกต้องทำงาน ลูกอยากเรียนลูกก็ต้องทำงาน วิชาที่ได้จึงมีค่า ของที่ได้มาจึงมีค่า เงินที่หามาได้จึงมีค่า” ลูกจงจำไว้ ไม่เคยมีอะไรในโลกนี้ ที่ลูกจะได้มันมาฟรีๆ โดยไม่ได้ทำงาน!!! เป็นมุมคิดที่หลายคนรู้ และหลายคนยังทำไม่ได้ เพราะลงมือเพียงคิด แต่ทำไม่จริงจัง โยมซาซ่า มักสอนลูกเสมอว่า อย่าเอาเปรียบใคร และคนที่เอาเปรียบเรา ก็เพราะเขาเคยถูกเอาเปรียบมาก่อน

จวบจนวันนี้ลูกสาวอิ๋งอิ๋ง ได้ทำงานในวิชาชีพอย่างสมบูรณ์ เป็นไกด์ ตามรอยที่แม่สอนไว้ เพราะแม่ก็เป็นไกด์ที่ดี ส่งผลให้อาชีพที่ทำเจริญรุ่งเรือง

โยมซาซ่าคือแม่ ผู้ให้กำเนิด เป็นทุกอย่างของลูก สอนให้ดำเนินชีวิตไม่ประมาท รอบคอบ เมื่อลูกได้รับการถ่ายทอดจากแบบพิมพ์ดี อนาคตก็ดี และถ้าทำตามครรลองเหตุและผล ก็เท่ากับเป็นการสร้างอุปนิสัย พร้อมไปกับการช่วยสร้างชีวิต แม่ต้องอยู่ทั้งวงในวงนอก สอนลูกให้ใช้เวลาว่าง ปลูกฝัง เฉกเช่น การปลูกต้นไม้แล้วออกผล แม่ยังสอนคาถากันขโมยให้ด้วยว่า “ถ้านกกินเป็นบุญ ถ้าคนกินเป็นทาน” ถ้านกกินให้ถือว่าเราเอาบุญ ถ้าคนขโมยเอาไป ก็ถือว่าให้ทาน แล้วมันก็จะไม่ถูกขโมยเลยจนตลอดชีวิต กลายเป็นให้ทานไปเสียทุกที ถ้าสัตว์มากินก็เอาบุญ ก็ไม่ต้องฆ่าสัตว์ ไม่ต้องยิงสัตว์

แม่สร้างจิตวิญญาณของลูก สอนประหยัด สร้างนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน ห้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อบรมนิสัยกตัญญูรู้คุณ อบรมนิสัยห้ามเล่นการพนัน ถ้าอบรมบ่มได้ดังนี้ บ้านเมืองเรา เด็กมีปัญหา ไม่เคารพ ไม่รัก ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ชวนกันเป็นอันธพาล ก็น้อยลง สาเหตุที่เด็กมีปัญหา เพราะเขาไม่รู้เรื่องแม่ เพราะไม่รู้ว่า “แม่” นั้นคืออะไร และแม่บางคน ก็ไม่รู้ว่าความเป็นแม่คืออะไร เด็กไม่รู้ว่า การทำให้แม่ร้อนใจน้ำตาตกนั้น เป็นความเลวร้ายอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นต้องสอนให้เขารู้ว่า “แม่” คืออะไร

แม่เป็นผู้สร้างโลก โลกจะดี หรือเลวก็เพราะคนในโลกมันดี หรือเลว คนในโลกมันจะดี หรือเลวก็เพราะแม่ได้สร้างอุปนิสัยคนเหล่านั้นมาอย่างไร แม่เป็นผู้สร้างดวงวิญญาณของลูก แม่ต้องทำหน้าที่ “แม่”

ส่วนลูกก็ต้องทำหน้าที่ “ลูก” เฉกเช่น “ลูกหมาไม่มีโอกาสตอบแทนคุณแม่ แต่ลูกหมาไม่เคยทำให้แม่น้ำตาตก” ขอเจริญพร


*************************






วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

มหาชนแห่ร่วมพิธี ตั้งสัจจะอธิษฐาน "เริ่มต้นชีวิต" ณ วัดไผ่ล้อม นครปฐม

คลื่นมหาชนแห่ร่วมพิธี ตั้งสัจจะอธิษฐานล้างสิ่งไม่ดีทั้งปวง เริ่มต้นชีวิตใหม่ปวารณาตน เข้าพรรษา ณ วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม เปิดเผยว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 ก.ค. 56 เวลา 18.09 น.ที่ผ่านมา ณ มณฑลพิธีด้านหน้าศาลาการเปรียญวัดไผ่ล้อม ได้จัดให้มีพิธีขอขมากรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง ลด ละ เลิก ล้างสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวง ที่เกิดขึ้นในใจ เริ่มต้นชีวิตใหม่ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทางกาย วาจา ใจ ปวารณาตนก่อนเข้าพรรษา เพื่อความบริสุทธิ์อย่างถ่องแท้ในการตั้งสัจจะอธิษฐาน เข้าสู่การร่วมพิธี โดยเริ่มต้นด้วยการรับศีล โดยญาติโยมทั้งหมดที่เดินทางมาจากทุกภาคของประเทศไทย รวมทั้งคนไทยในต่างแดนที่เดินทางมาเข้าร่วมพิธี

จากนั้นทุกคนต่างตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ กล่าวรับศีลด้วยพร้อมเพรียงกัน โดยพระสงฆ์ เป็นผู้ให้ศีล ญาติโยมทุกคนเปล่งวาจาพร้อมเพรียงกัน ทุกขั้นตอนของพิธีมีการบอกกล่าวถึงความสำคัญ จากนั้นเป็นการนำกล่าวขอขมากรรม เสร็จแล้ว พระสงฆ์นำสวดถอน เป็นภาษาบาลี กล่าวถึง กาย วาจา ใจ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เจ้ากรรมนายเวร เมื่อสวดถอนแล้ว ทุกคนตั้งมั่นในสมาธิ พระสงฆ์สวดเจริญพระพุทธมนต์ สวดถอน ซึ่งเป็นบทที่แต่งขึ้นโดยเฉพาะ จากนั้นเป็นการสวดบทธรรมจักรกับปวัตนสูตร บทยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก บท 7 ตำนาน บท 12 ตำนาน บทบารมี 10 ทัศ และบทสุดท้าย กำแพงแก้วป้องกันภัยอันตราย


สุดท้าย ทุกคนนั่งนิ่งสงบเป็นสมาธิ ทิ้งทุกสิ่งทั้งหมดที่เป็นทุกข์ไว้ที่วัด พระสงฆ์นำสวดแผ่เมตตา พร้อมทั้งร่วมบุญใส่บาตรแก้ว เพื่อนำปัจจัยสมทบสร้างวิหารหลวงพ่อพูล ร่วมถึงบายศรี เทียนพรรษา ร่วมบุญทอดกฐินสามัคคี

และสำหรับผู้ที่เข้าร่วมพิธีต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ก่อนเข้าร่วมพิธีหลายคนมีสีหน้าหม่นหมอง แฝงความเศร้าความทุกข์อยู่ในใจ แต่พอเข้าร่วมพิธีแล้ว ทุกคนต่างมีความสุข ละทิ้งสิ่งไม่ดีทั้งหมดออกไปจากกาย วาจา ใจ มีความบริสุทธิ์ก่อนเข้าพรรษาอย่างแท้จริง


*************************


เรื่องโดย : บก.ไก่ วีรพล
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

18 ก.ค.พระราชทานเพลิงศพ "เจ้าคุณรุ่น"

ส่งมอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ พระอุโบสถกลางน้ำ ที่ตั้งอยู่ภายในพื้นที่ของ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา หนึ่งในปณิธานของ พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญา นันทภิกขุ) อดีตเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ จ.นนทบุรี ที่ละสังขารไปแล้วถึง 6 ปีแล้ว เมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา

พระอุโบสถกลางน้ำแห่งนี้ ก่อสร้างเสร็จได้สมปณิธานสวยงามและสะท้อนให้เห็นภาพของสังคมไทยปัจจุบันที่แบ่งออกเป็นสีต่างๆ ภาพส่วนหนึ่งสื่อออกมาเป็นมือตบ ตีนตบ ปืน รวมทั้งเครื่องตรวจวัตถุระเบิดทางภาคใต้นั้น บุคคลหนึ่งที่เป็นแรงผลักดันที่สำคัญยิ่งนั้นก็คือ พระธรรมวิมลโมลี (รุ่น ธีรปญฺโญ ป.ธ.๙) อดีตเจ้าคณะภาค 17 อดีตหัวหน้าพระธรรมทูตสายที่ 9 อดีตเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษดิ์ โดยได้ร่วมแถลงข่าวเปิดให้ประชาชนได้เข้าชมเมื่อวันที่ 29 ต.ค.2555 ด้วย

แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หลังจากนั้นไม่นาน พระธรรมวิมลโมลี ได้ล้มป่วยเข้ารับการรักษาอาการปอดติดเชื้อที่โรงพยาบาลชลประทานในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 จากนั้นได้ย้ายไปรักษายังโรงพยาบาลศิริราช กระทั่งมรณภาพในที่สุดในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2556 โดยอาการติดเชื้อในกระแสโลหิตรวมสิริอายุ 66 ปี พรรษาที่ 46

ทั้งนี้ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆ์ราช กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามได้กล่าวถึงพระธรรมวิมลโมลีในโอกาสเป็นประธานส่งมอบพระอุโบสถกลางน้ำแก่ มจร ว่า "งานพิธีส่งมอบอุโบสถกลางสระน้ำขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จะยิ่งใหญ่และสมบูรณ์ที่สุด ถ้าวันนี้พระธรรมวิมลโมลีผู้สืบสานมโนปณิธานสร้างอุโบสถหลังนี้จนแล้วเสร็จ มายืนอยู่ ณ จุดนี้ด้วย แต่น่าเสียดายที่ท่านต้องมาจากไปก่อนวัยอันควร ขอดวงวิญญาณของพระเดชพระคุณอาจารย์ จงสู่สุคติเถิด"

หลังจากพระธรรมวิมลโมลีมรณภาพลง คณะศิษยานุศิษย์ได้ตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ตลอดมา และได้กำหนดที่จะประกอบพิธีฌาปนกิจและได้รับพระราชเพลิงศพเวลา 15.00 น.ของวันที่ 18 ก.ค.นี้โดยมี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ทรงเป็นประธาน ทั้งนี้วันที่ 15 ก.ค.คณะศิษยานุศิษย์ได้อัญเชิญโกศศพพระธรรมวิมลโมลีบำเพ็ญกุศล ณ เมรุมาศ วัดชลประทานฯ ก่อนประกอบพิธีพระราชทานเพลิง

พระธรรมวิมลโมลี มีนามเดิมว่า รุ่น นามสกุล รักษ์วงศ์ เกิดวันที่ 24 มกราคม 2490 ที่บ้านลำภายตีน ตำบลโคกชะงาย อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุงบรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2510 ณ วัดธาราสถิตย์ ตำบลโคกชะงาย อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ในปี 2512 สอบได้ นักธรรมชั้นเอก สำนักเรียนคณะจังหวัดตรัง ปี 2523 สอบได้ ป.ธ.9 สำนักเรียนวัดราชสิทธาราม กรุงเทพมหานคร ปี 2549 สำเร็จการศึกษาศาสนศาสตรมหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย กทม.

ตำแหน่งทางการปกครอง ในปี 2516 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าอาวาสวัดกุฏยาราม จังหวัดตรัง ปี 2527 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะอำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ และได้ขอลาออก เมื่อปี 2532 เพื่อไปรับตำแหน่ง รองเจ้าคณะภาค 17 ปี 2551ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์สมณศักดิ์ ในปี 2527 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ "พระเมธีวราภรณ์" ปี 2539ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ "พระราชวิสุทธิโมลี" ปี 2545 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ “พระเทพปริยัติเมธี” ปี2552ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่ "พระธรรมวิมลโมลี"

"พฤกษภผกาสร อีกกุญชรอัดปลดปลง โททนเสน่ห์คง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรี สถิตย์ทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา"


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ชาวพุทธเคลื่อนไหว ประณามบึ้ม "พุทธคยา"


พุทธเคลื่อนไหวประณามบึ้ม "พุทธคยา" ไม่หวั่นปฏิบัติธรรมแดนพุทธภูมิปกติ ตร.อินเดียสงสัยแรงกระเพื่อมพุทธพม่าทำร้ายมุสลิม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเกิดเหตุระเบิดแบบแรงระเบิดต่ำ ติดต่อกันอย่างน้อย 8 ครั้ง ที่วัดสองแห่งในพุทธคยา ซึ่งเป็นที่ตั้งกลุ่มพุทธสถานสำคัญใน อ.คยา รัฐพิหาร ทางตะวันออกของประเทศอินเดีย เมื่อเวลาประมาณ 05.00 น.เศษ ของวันอาทิตย์ที่ 7 ก.ค.ทำให้พระสงฆ์ 2 รูป ได้รับบาดเจ็บ เป็นพระชาวทิเบตวัย 50 ปี กับพระชาวพม่าวัย 30 ปี แต่ไม่มีความเสียหายใดๆ กับโครงสร้างพุทธสถาน รวมถึงต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและพุทธศาสนิกชนจากทั่วโลกเดินทางไปสักการบูชา รวมทั้งคนไทยจำนวนหลายล้านคนในแต่ละปี นับเป็นครั้งแรกที่สถานที่แห่งนี้ตกเป็นเป้าโจมตี

พระศรีลังการูปหนึ่งที่รุดมายังจุดเกิดเหตุ กล่าวว่า คนร้ายวางระเบิดลูกหนึ่งไว้ที่ฐานพระพุทธรูป แต่ระเบิดไม่ทำงาน ทำให้พระพุทธรูปไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ซึ่งคิดว่าเป็นปาฏิหาริย์

พุทธคยา ห่างจากเมืองปัฏนา เมืองหลวงของรัฐพิหารไปทางใต้ประมาณ 110 กิโลเมตร และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกเมื่อปี 2545 

รัฐบาลอินเดียสั่งเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยทันที และเรียกเหตุระเบิดครั้งนี้ว่าเป็น การก่อการร้าย นายกรัฐมนตรีมันโมฮัน ซิงห์ กล่าวประณามเหตุโจมตีครั้งนี้ว่า "องค์ประกอบทางวัฒนธรรมและประเพณีของเรา สอนให้เราเคารพทุกศาสนา อินเดียจะไม่อดกลั้นต่อการโจมตีต่อสถานที่ทางศาสนาเช่นนี้"

ขณะนี้ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาอ้างว่าเป็นผู้ลงมือ แต่มีรายงานว่า ตำรวจในนิวเดลีเคยเตือนเจ้าหน้าที่รัฐพิหารว่า สมาชิกกลุ่มมูจาฮีดีนอินเดีย กำลังวางแผนโจมตีพุทธคยา เพื่อตอบโต้ที่ชาวพุทธก่อเหตุรุนแรงกับชาวมุสลิมในพม่า และคาดว่าพุทธคยาอาจเป็นเป้าหมายหนึ่ง

มูจาฮีดีนอินเดีย เคยออกมายอมรับในเหตุระเบิดหลายครั้งก่อนหน้านี้ และมักถูกเพ่งเล็งในฐานะผู้ต้องสงสัยกลุ่มแรกๆ เวลาเกิดเหตุโจมตีในประเทศ

นายสุรัตน์ โหราชัยกุล อาจารย์ประจำภาควิชาสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์รายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ทางสถานีวิทยุ 97.0 เมกกะเฮิรทซ์ว่าเป็นเรื่องยากที่จะดูอะไรตอนนี้ แต่เท่าที่ทราบมีตำรวจของมลรัฐเคยแสดงวิสัยทัศน์เรื่องภัยคุกคามสถานที่เหล่านี้และพยายามชี้ไปที่ชาวมุสลิม ทั้งนี้เหตุการณ์อาจจะมีความสัมพันธ์กับเหตุการณ์ในพม่าก็ได้ เพราะพระสงฆ์ที่ถูกระเบิดเป็นพระจากเนปาลและพม่า แต่เราก็ไม่มั่นใจว่าเป็นการมุ่งที่บุคคลหรือไม่ เพราะระเบิดที่ใช้เป็นระเบิดแรงดันต่ำ

นายสุรัตน์กล่าวต่อว่า มีอีกปัจจัยที่หลายคนเล็งอยู่คือ ปัญหาในศรีลังกา คือรัฐบาลสิงหล ซึ่งเป็นของประชาชนส่วนใหญ่ และกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬที่เป็นฮินดูต้องการแยกดินแดน ล่าสุดรัฐบาลสิงหลปราบกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬจนไม่เหลือเลย แม้กระทั่งสหประชาชาติก็ออกรายงานว่านี่เป็นการกระทำต่อมนุษยชนาติ แต่อินเดียไม่ทำหรือมีท่าทีอะไร ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลที่เป็นฮินดูลาออกจากการร่วมรัฐบาล

อย่างไรก็ดี การโจมตีต่อเป้าหมายชาวพุทธหรือพุทธศาสนาไม่เคยเกิดขึ้นบ่อยนักในอินเดีย แต่ในช่วงที่ผ่านมาเกิดความตึงเครียดจากเหตุปะทะระหว่างชาวพุทธกับมุสลิมในพม่า ศรีลังกา และบังกลาเทศ

ทั้งนี้หลางจากเกิดเหตุการณ์ขึ้นได้มีชาวพุทธทั้งในในพม่า ศรีลังกา และบังกลาเทศได้ออกมาเดินไว้อาลัยตามท้องถนนพร้อมกับประณามคนร้ายที่ก่อเหตุ ขณะเดียวกันที่พุทธคยาเฟซบุ๊ก วัดไทยพุทธคยา ได้โพสต์ข้อความว่า "แม้เหตุการณ์จะทำให้หลายคนหวั่นวิตก ที่วัดไทยพุทธคยา คณะพระสงฆ์ อาสาสมัคร และคณะชาวไทยที่มาปฏิบัติธรรม ณ แดนพุทธภูมิ (คณะลูกศิษย์วัดหนองป่ากุง 12 รูป/คนและคณะพระอาจารย์เฑียรวิทย์ โอชาวัตน์ 6 รูป/คน) ได้ปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ด้วยความสบง ปราศจากความหวั่นวิตก ขอขอบคุณทุกความห่วงใย ทุกศรัทธาที่มีต่อพุทธศาสนา ที่ส่งมายังแดนพุทธภูมิ ขอให้ทุกท่านโปรดคลายกังวล วัดไทยพุทธคยาได้รับการดูแลอย่างดี ทุกคนปลอดภัยไม่มีอะไรให้กังวล ด้วยความเมตตาจิตเอื้ออารีย์ของทุกท่าน ขอให้ธรรรมะรักษา เจริญงอกงามในพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความสุขความเจริญในชีวิตทุกท่านเทอญ...สาธุ"

ขณะเดียวกัน พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส หัวหน้าโครงการปริญญาโทหลักสูตรสันติศึกษา และผอ.สถาบันภาษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กส่วนตัว Hansa Dhammahaso ความว่า "ในมุมของสันติวิธี ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับความขัดแยัง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมนุษย์มีทางออกให้แก่ความขัดแย้งใน 2 วิธี คือ การพูดจากันเพื่อหาทางออกด้วยสันติวิธี และการใช้ความรุนแรงแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน

วิธีที่สองนี้คือกลุ่มคนที่มีความเชื่อว่า ความรุนแรงเท่านั้นคือเครื่องมือที่ดีที่สุดแล้ว และน่าจะก่อให้เกิดผลในเชิงบวกได้ดีกว่า แม้ว่ากลุ่มหลังจะได้รับการเรียกขานว่า เป็นการใช้สัญชาตญาณดิบแบบสัตว์ในการแก้ไขปัญหา แต่อย่าลืมว่ามนุษย์ตามความหมายของพระพุทธศาสนาก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งมีโอกาสที่จะใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือในการหาทางออกให้แก่ความขัดแย้งเช่นกัน ตราบเท่าที่ไม่สามารถควบคุมความโกรธ เกลียด เคียดแค้น และชิงชังได้

การที่หน่วยงานภาครัฐของประเทศอินเดียออกมายืนยันในเบื้องต้นว่า การวางระเบิดในสถานที่พุทธคยาซึ่งเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น เป็นการดำเนินการหรือกระทำการโดยกลุ่มผู้ก่อการร้าย ซึ่งยังไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ว่าฝ่ายใดลงมือกระทำการ หากสมมติฐานดังกล่าวเป็นจริง ย่อมอธิบายได้ว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการประกาศสงครามในเชิงสัญลักษณ์ เพราะผู้ก่อการไม่ได้มุ่งหวังให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตคนจำนวนมาก แต่เป็นการส่งสัญญาณบางอย่างเพื่อเตือนพุทธศาสนิกชนทั่วโลก คำถามที่จะต้องช่วยกันตอบต่อจากนี้ไปคือ ผู้ก่อการกำลังส่งสัญญาณเพื่อเตือนเรื่องอะไร?!?

อะไรเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ผู้ก่อการตัดสินใจวางระเบิดเพื่อให้เกิดความสูญเสีย?!? เพราะการสูญเสียในลักษณะเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในเชิงกายภาพอย่างเดียว หากแต่มุ่งเน้นในเชิงจิตภาพ ซึ่งหมายถึงความรู้สึกของพุทธศาสนิกชนทั่วโลกที่ได้รับจากแรงระเบิดครั้งนี้ด้วย การตอบคำถามไม่ได้มีนัยที่มุ่งเพื่อการด่าทอ หรือโจมตีโดยการใช้ความรุนแรงเพื่อโต้ตอบ หากแต่ว่าพุทธศาสนิกชนทั่วโลกจะได้วางท่าทีที่ถูกต้องต่อสถานการณ์เหล่านี้อย่างมีขันติธรรม เพื่อที่จะสามารถอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์ที่มีความเชื่อ และการกระทำที่แตกต่างได้อย่างสันติสุขต่อไป"


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ





วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

"เสือ" ของ พุทธอิสระ ขย้ำโยม อาการสาหัส!!

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 7 ก.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่ามีผู้ถูกเสือกัดมารักษาตัวที่ รพ.สนามจันทร์ โดยเหตุเกิดภายใน วัดอ้อน้อย (วัดหลวงปู่พุทธอิสระ) ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม จึงได้เดินทางไปทำการตรวจสอบพบว่ามีผู้ถูกเสือกัดมาทำการรักษาตัวภายในห้องอุบัติเหตุ-ฉุกเฉินจริง เป็นหญิงทราบชื่อต่อมาคือ นางสาวเบญจวรรณ แสงวิเชียร อายุ 38 ปี มีบาดแผลถูกเสือกัดเข้าที่บริเวณแขนขวา จนเหวอะหวะ แพทย์ต้องช่วยเหลือเบื้องต้นอย่างเร่งด่วนก่อนจะส่งตัวไปรักษาต่อที่รพ.แห่งหนึ่งใน กทม.

พ.ต.อ.สมบัติ อ่อนสมบูรณ์ ผกก.สภ.กำแพงแสน กล่าวว่า ยังไม่ได้รับการแจ้งเหตุจึงได้นำกำลังตำรวจพร้อมพนักงานสอบสวน เดินทางมายังวัดอ้อน้อยพร้อมกับผู้สื่อข่าว พบว่าภายในวัดมีศิษย์ยานุศิษย์ได้เดินทางมาฟังเทศน์ และปฎิบัติธรรมกันอย่างเนืองแน่น โดยมี หลวงปู่พุทธอิสระ กำลังเทศน์ธรรมเทศนา และที่บริเวณด้านหลังซึ่งเป็นเขตสังฆวาส ที่เป็นที่อยู่ของพระสงฆ์ มีกรงเสือขนาดใหญ่บนพื้นที่ประมาณ 1 งาน โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ภายในกรงส่วนแรก มี เสือโคร่งลายพาดกลอนขนาดใหญ่ อยู่จำนวน 2 ตัวเป็นตัวผู้ 1 ตัว ตัวเมีย 1 ตัว ติดกันเป็นกรงที่แบ่งออกเป็น

ส่วนที่ 2 มีเสื้อโคร่งลายพาดกลอนตัวเมีย 2 ตัว และตัวผู้ 1 ตัว รวมทั้งหมด 5 ตัวนอนอยู่ เมื่อเห็นมีคนเข้ามามุงดูก็ลุกขึ้นมาเดินวนไปวนอย่างน่ากลัว นอกจากนี้ยังพบว่าด้านหน้ากรงมีตุ่มใส่น้ำตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีเชือกกั้นอยู่อีกชั้นหนึ่ง และมีป้ายกระดาษติดไว้ที่เชือก เขียนไว้ว่า "ห้ามเข้าใกล้โดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนจะไม่รับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น"

พระอธิการศิริชัย สิริโสภโน เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย กล่าวว่า แรก ๆ นั้นมีเสืออยู่ 4 ตัว ตายไป 1 และต่อมาออกลูกมาอีก 2 ตัว รวมเป็น 5 ชึ่งเป็นเสือที่ลูกศิษย์นำมาถวาย ตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ และเลี้ยงกันมาเป็นเวลา 6 ปี แล้ว โดยที่ผ่านมาก็มีผู้ถูกเสือกัดมาแล้ว แต่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงไม่เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต และสาเหตุที่ลูกศิษย์ถูกเสือกัดคาดว่าคงอยากสัมผัส โดยไม่คิดว่าเสือจะทำร้าย ซึ่งอาจจะยื่นแขนเข้าไปในกรงเอามือลูบตัวเสือ จึงทำให้ถูกเสือกัดดังกล่าว

นายวิโรจน์ อุ่นทรัพย์ ผอ.สำนักพุทธศาสนาประจำจังหวัดนครปฐม กล่าวว่า การเลี้ยงเสือในวัดนั้นไม่มีระเบียบหรือข้อบังคับสำหรับพระภิกษุสงฆ์แต่อย่างใด และส่วนใหญ่ก็ไม่มีวัดหรือพระที่ไหนที่จะเลี้ยงกัน อีกทั้ง เสือยังเป็นสัตว์สงวน ซึ่งผู้ที่จะเลี้ยงได้นั้นต้องได้รับอนุญาตจากกรมป่าเสียก่อน ส่วนที่วัดอ้อน้อยนี้ตนก็ไม่เคยทราบมาก่อนว่ามีการเลี้ยงเสือไว้ในวัดด้วย และยิ่งเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นกับลูกศิษย์ที่มาปฏิบัติธรรมตนรู้สึกตกใจมาก ส่วนจะมีความผิดหรือไม่นั้น ตนยังตอบไม่ได้ต้องดูว่าทางวัดได้รับอนุญาตให้เลี้ยงหรือป่าว และมีใบอนุญาตจากกรมป่าไม้หรือไม่


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ





วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

พศ.นครปฐมติวเข้มไวยาวัจกร

ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ.๒๕๑๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ ข้อ ๖ ให้เจ้าอาวาสวัด ให้ไวยาวัจกร หรือผู้จัดประโยชน์ของวัดซึ่งเจ้าอาวาสแต่งตั้งทำบัญชีรับจ่ายเงินของวัด และเมื่อสิ้นปีปฏิทินให้ทำบัญชีเงินรับจ่าย และคงเหลือ ทั้งนี้ ให้เจ้าอาวาสตรวจตราดูแล ให้เป็นไปโดยเรียบร้อย จากกฎกระทรวงดังกล่าว เจ้าอาวาสและไวยาวัจกรนั้นถือได้ว่ามีหน้าที่และบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในการทำบัญชีรับจ่ายของวัดให้ถูกต้อง อีกทั้งต้องดูแลทรัพย์สิน ศาสนสมบัติของวัด ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม ได้ร่วมกับ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม จัดทำโครงการถวายความรู้เจ้าอาวาส และอบรมไวยาวัจกรจังหวัดนครปฐมขึ้น ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เวลา ๐๗.๓๐-๑๖.๐๐ น. ซึ่งปัจจุบันนี้มีเจ้าอาวาสวัดจำนวน ๒๒๐ รูป และไวยาวัจกรวัดจำนวน ๒๒๐ คน

หลวงพี่น้ำฝน บอกว่า ปัจจุบันวัดมีบทบาทสำคัญต่อสังคมไทยมาแต่อดีตเป็นเวลายาวนาน ความผูกพันกับวัดเกี่ยวข้องกับบุคคล ชุมชน และสังคมมีความสัมพันธ์กันตั้งแต่ช่วงวัยแรกและช่วงสุดท้ายของชีวิต กิจกรรมภายในวัดมีความหลากหลาย ตั้งแต่เพียงเป็นสถานที่พำนักของพระภิกษุสงฆ์ ให้พุทธศาสนิกชนเข้ามาการทำบุญและประกอบศาสนกิจต่างๆ จนถึงการเป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งนันทนาการ ศูนย์กลางการเรียนรู้ การพัฒนา การสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน กิจกรรมที่มีการดำเนินการในวัดมีความหลากหลาย ได้แก่ การทำบุญ ทำทาน ในรูปแบบต่างๆ การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา งานศพ งานบวช งานแต่งงาน งานวันเกิด ฯลฯ การเช่าหาวัตถุมงคล การจัดงานนันทนาการในรูปแบบต่างๆ (งานวัด) เป็นต้น

โดยบุคลากรทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญยิ่งในการสนองงานคณะสงฆ์ คือไวยาวัจกร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไวยาวัจกร มีฐานะเป็นตัวแทนของวัดในการจัดการทรัพย์สินของวัดและตามประมวลกฎหมายอาญา ไวยาวัจกรมีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน จึงได้รับความคุ้มครองและควบคุมในการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากภารกิจหน้าที่อันสำคัญของไวยาวัจกรนั้น จะเกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนได้ส่วนเสียของวัดและพระพุทธศาสนาหลายประการ จะต้องติดต่อประสานงานกับบุคคลหลายฝ่าย ไวยาวัจกรจึงมีบทบาทและอำนาจหน้าที่ของตนเอง ตลอดจนมีความรู้มีภารกิจหลัก ๖ ด้าน ได้แก่ งานด้านการปกครอง การศึกษา การเผยแผ่ การสาธารณูปการ การศึกษาสงเคราะห์ และการสาธารณสงเคราะห์

"วัตถุประสงค์ของโครงการถวายความรู้เจ้าอาวาสและอบรมไวยาวัจกรจังหวัดนครปฐม จัดขึ้นเพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพไวยาวัจกรให้ก้าวไกล ทันโลก ทันเหตุการณ์ รอบรู้ข่าวสาร ทันคน ทันกลลวงหลากหลายที่แฝงเข้ามาตามวัดต่างๆ ในห้วงเวลานี้ และที่สำคัญเป็นการสร้างอนาคตให้ไวยาวัจกรของเรา เฉลียวฉลาดมากขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องกฎหมาย และวิธีการดูแลรักษาจัดการทรัพย์สินของวัด ไวยาวัจกร เป็นผู้จัดการขวนขวายแทนพระ เป็นผู้ช่วยเหลือรับใช้พระ เป็นผู้จัดประโยชน์ของวัด ซึ่งเจ้าอาวาสแต่งตั้ง ในเรื่องของการทำบัญชีรับจ่ายเงินของวัด และเมื่อสิ้นปีปฏิทิน ก็ต้องทำบัญชีเงินรับจ่ายและคงเหลือ ทั้งนี้ เจ้าอาวาสจะเป็นตรวจตราดูแลให้เป็นไปโดยเรียบร้อยและถูกต้องนั่นเอง" หลวงพี่น้ำฝนกล่าว

*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

"สร้างกระแส" หนทางสร้างชื่อ ของพระนอกรีต


การสร้างกระแสข่าว เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตน หากเป็น "ปุถุชน" ยังพอเข้าใจ
หากแต่เรียกตน ว่า "อริยชน" แล้วไซร้ ยังตะแบงทำต่อไป ไม่นานจะไร้ซึ่งราคา

คำนำของผู้เขียนในวันนี้ คงไม่หนักหรือเบาไป หากจะกล่าวถึงความในใจ ที่มีต่อพระสงฆ์ (บางรูป) ของไทยในปัจจุบัน บางรูป อายุยังไม่ถึง 35 แต่คอยสร้างเรื่องแหกตา หลอกโยมไปวันๆ อ้างเป็น หลวงปู่กลับชาติมาเกิด แถมยังจุติกำเนิด ด้วยจิตอันประเสริฐบนดินแดนสวรรค์ สร้างกระแสให้กระพือด้วยสื่อ ทั้งทีวีและหนังสือ เพื่อให้คนได้ร่ำลือ ว่าตนนี่คือ เทวดาเดินดิน

อีกรายก็ใช่ย่อย สร้างเรื่องลวงไม่น้อย แต่ไม่ค่อยดัง พักหลังหมดมุก จึงต้องคอยเป็น "ปลิง" เกาะกระแสชาวบ้านเขาดัง หากเป็น "ดารา" คงกล่าวได้ว่าเป็นเรื่อง "ปกติ" แต่หากเป็น "สงฆ์" ผู้เจริญศีลและสมาธิ พฤติการณ์เช่นนี้จะเรียกปกติได้อย่างไร 

หากกล่าวถึงอดีตของ "พระผู้ผิดปกติ" ท่านนี้ วิเคราะห์ให้ดี จะรู้ว่าความเพี้ยนนั้นมีอยู่ไม่น้อย พยายามเรียกตัวเองว่า "หลวงปู่" ตั้งแต่ยังหนุ่ม (ทำไมถึงชอบใช้มุกนี้กันจังน้าาาา) พยายามร้องเรียกความศรัทธา โดยอ้างตนว่า ชาติที่แล้วเป็น "อาจารย์ปู่" ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ 

ครั้งหนึ่งเคยออกทีวี แล้วเพ้อเจ้อออกมาว่า "ฉันไม่คิดว่าฉันเป็นอะไรที่ไหน รู้แต่ว่าลูกศิษย์ของหลวงปู่แหวนตามฉันมา เพราะหลวงปู่เรียกฉันว่าอาจารย์ปู่" เอากับเค้าสิ!! หากท่านทนอ่านมาถึงบรรทัดนี้ได้ ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายท่าน คงสรุปได้แล้วว่า ชายห่มเหลืองผู้นี้น่าจะบ้า..... ถูกต้องคร้าบบบบ!! 

คนดีๆที่ไหนจะพยายามเอามือไปกวนน้ำมันเดือดๆ เพื่อโชว์อภินิหารบ้าง , เอาเลือดตัวเองทาพระเครื่องแล้วอ้างว่าศักดิ์สิทธิ์บ้าง หรือว่างๆ ไม่มีอะไรทำ เห็นว่ากระแสตัวเองกำลังตก ก็สร้างข่าวประกาศขายวัดซะงั้น นักข่าวก็ตื่นทองแห่เข้ามาจองเวลาสัมภาษณ์ ทำเอาชายห่มเหลืองสติวิปลาส กลับคืนสู่กระแสสาร โด่งดังอลังการโจษขานกันทั่วเมือง 

ล่าสุดคงอยากเฟี๊ยว เผยไอเดียสุดเฉี่ยวในการสร้างชื่อ "ท้าดวลไมค์กับพระสร้างกระแสด้วยกัน" รอบนี้แจ๋ว งานเดียว ดังคู่!! สงสารก็แต่คนดู ที่ต้องทนอยู่ในสงครามขี้ฟัน!!


***********************

เรื่องโดย : โองเพี้ยง เชี่ยงชุน