วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

จิตรกรรม วัดขุนอินทประมูล เทพชุมนุมถือสมาร์ทโฟน!!


เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณพุทธมณฑลอ่างทอง วัดขุนอินทประมูล อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง มีชาวไทยเชื้อสายจีนใน จ.อ่างทอง และใกล้เคียง เดินทางมาทำบุญไหว้พระ ขอพร และปิดทองฝังลูกนิมิต พร้อมเข้าชม โบสถ์ไฮเทค

สำหรับโบสถ์ไฮเทค วัดขุนอินทประมูล นั้น พระครูวิเศษชัยวัฒน์ รักษาการเจ้าอาวาส ได้จัดสร้างขึ้นเนื่องจากวัดขุนอินฯ ไม่มีโบสถ์มานานกว่า 400 ปีแล้ว โดยมีการติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งเครื่องปรับอากาศ บันไดเลื่อน ลิฟต์ พร้อมนำระบบไฮโดรลิกมาใช้ควบคุมอุปกรณ์ เพื่อความสะดวกแก่ญาติโยม โดยเฉพาะผู้สูงอายุ

นอกจากนี้ ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในโบสถ์ ยังมีความพิเศษ เพราะนอกจากจะสวยงามแล้ว ยังเป็นภาพที่แปลกตา เพราะเป็นรูปเทวดาและนางฟ้า สวมใส่เสื้อผ้าและแต่งกายสมัยใหม่ เล่นดนตรีสมัยใหม่ เช่น กีตาร์ แทนที่จะใช้ระนาด และที่สำคัญเหล่าบรรดาเทวดา นางฟ้า ในมือต่างถือ สมาร์ทโฟน รุ่นต่างๆ ทั้ง ไอโฟน ซัมซุง ไม่เว้นแม้แต่ ไอแพด สร้างความแปลกใจให้ผู้เข้าชมยิ่งนัก

พระครูวิเศษชัยวัฒน์ เผยว่า จิตรกรรมฝาผนังเทพชุมนุมที่วาดนั้น เป็นฝีมือของนักศึกษาปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยศิลปากร ได้เข้ามาช่วยกัน แต่เป็นความคิดของตนเอง ที่จะสื่อว่า ถ้าวันเวลาผ่านไปจะได้ให้คนรุ่นหลังได้ทราบว่า ในยุคนี้ สมัยนี้ ผู้คนให้ความสำคัญกับเรื่องของการสื่อสารที่เป็นแบบนี้ แต่ถ้าเป็นยุคข้างหน้า ก็จะมีค่านิยมอื่นๆ มาแทน


*************************

เรื่องโดย : ไทยรัฐออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

"พระถือบันได" หนึ่งเดียวที่ วัดศรีดอนมูล


วัดศรีดอนมูล ตั้งอยู่ ต.ชมภู อ.สารภี จ.เชียงใหม่ สร้างขึ้นเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน เดิมชื่อ วัดพระเจ้าก้นกึ่ง เนื่องจากมีพระพุทธรูปจำนวนมาก และมีสภาพเป็นวัดร้าง จึงมีช้างเข้ามาอาศัยหากินอาหาร และใช้งางัดพระพุทธรูปจนหน้าคว่ำลง ทำให้ฐานพระพุทธรูปยกขึ้นจึงเรียกขานว่า "วัดพระเจ้าก้นกึ่ง" ตามภาษาพื้นเมือง แต่ได้สันนิษฐานว่าสร้างมานานแล้ว ในรัชสมัยพระเจ้าติโลกราช ต่อมาภายหลังพม่าเข้ามารุกรานอาณาจักรล้านนาไทย ประชาชนได้อพยพหนีภัยสงคราม วัดจึงถูกทิ้งร้างไว้ ปัจจุบันมี พระครูสิริศีลสังวร หรือ ครูบาน้อย เตชปญฺโญ เป็นเจ้าอาวาส

ครูบาน้อยได้สร้างศาสนสถานภายในวัดศรีดอนมูล ทั้งโบสถ์ วิหาร ศาลา กุฏิ และเจดีย์ ๙ คณาจารย์ เป็นสถาปัตยกรรมล้านนาจากฝีมือสล่าเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังมีบ่อน้ำทิพย์ภายในวัดศรีดอนมูล เชื่อกันว่าช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ชะงัด ก่อนนำไปใช้ต้องทำจิตใจให้บริสุทธิ์ มีสมาธิ จึงจักบังเกิดผลต้องตามความประสงค์

ส่วนพระพุทธรูปศักดิ์ภายในวัดมีหลายองค์ แต่มีอยู่องค์ที่แปลกตา คือ พระปรไมยไอศวรปางซ่อนหา ซึ่งมีลักษณะ ถือบันไดไว้ด้านหน้า ประดิษฐานอยู่ในวิหารบริเวณทางเข้าวัด ครูบาน้อย อธิบายให้ฟังว่า พระปรไมยไอศวรปางซ่อนหา เดิมคือท่านเป็นผู้มีทิฐิมานะถือดี เอาตัวเองเป็นใหญ่ไม่ยอมฟังเหตุผลของใคร แม้แต่มาพบพระพุทธองค์ก็ยังไม่ยอมกราบไหว้ เพราะถือว่าตนเองเหนือกว่าพระพุทธองค์ ส่วนพระพุทธองค์ผู้มีบุญบารมีเหนือกว่าพระปรไมยไอศวรในทางธรรม คือ หนึ่งไม่มีสอง แต่พระปรไมยไอศวรก็ยังอยากจะลองดีด้านอิทธิฤทธิ์กับพระพุทธองค์

ดังในรูปจำลองออกมาตอนที่ท้าทายให้พระพุทธองค์ซ่อนตัว ฝ่ายพระปรไมยไอศวรจะเป็นฝ่ายตามหา ซึ่งได้สัญญากับพระพุทธองค์ว่า หากหาท่านไม่พบ พระปรไมยไอศวรจะยอมกราบไหว้พระพุทธองค์ อีกทั้งข้าวของเงินทองอันมากมายอันไม่อาจจะนับได้ก็พร้อมจะถวายแด่ท่านทั้งหมด พระพุทธองค์ได้ยินคำท้าทายจากพระปรไมยไอศวรเช่นนั้น พระพุทธองค์จึงตอบรับคำท้าทายนั้น โดยเนรมิตแปลงกายเป็นตัวไรดำเข้าไปซ่อนอยู่ในมวยผมของพระปรไมยไอศวร

พระปรไมยไอศวรตามหาพระพุทธองค์ไปทั่วสารทิศ ไม่ว่าจะเป็นบนบกหรือใต้น้ำ จนแทบพลิกแผ่นดินหาก็ไม่พบ เมื่อหมดปัญญาจึงอ้อนวอนขอให้พระพุทธองค์ออกมาให้เห็นหน้าแล้วจะยอมกราบไหว้ และทำตามสัญญาที่ให้ไว้ทุกประการ พระพุทธองค์จึงส่งเสียงอันดังกังวานไปทั่วพิภพว่า

“พระปรไมย ท่านเป็นเจ้าใหญ่แห่งเขาไกรลาศอันมีฤทธิ์ เมื่ออยากเห็นเราขอให้ท่านทำบันไดทองคำประกอบด้วยแก้วแล้วพาดจากหน้าผากของท่านจนถึงแผ่นดินเดี๋ยวนี้เถิด เราตถาคตไม่ได้อยู่ที่ไหน แต่อยู่ในขมวนเกล้า (มวยผม) ของท่านนี้แล้ว”

ฝ่ายพระปรไมยไอศวร ผู้ปราศจากซึ่งศีลธรรมได้ยินแล้วก็แปลกใจว่าจะเท็จจริงเพียงใด จึงเนรมิตบันไดทองคำตามรับสั่งแล้วเอาพาดจากหน้าผากของตนเองจรดถึงแผ่นดิน แล้วอัญเชิญพระพุทธองค์อันเป็นบรมครูแก่โลกทั้ง ๓ ออกมาให้ปรากฏ พระพุทธองค์จึงเดินออกมาจากมวยผมแล้วยืนเหยียบยันไดทองคำลงมาโดยปราศจากมลทินจนถึงแผ่นดิน พระอินทร์ พระพรหม พร้อมทั้งเทวดาทั้งหลายไม่อาจนิ่งดูดายได้ยกมือกราบไหว้สาธุการ ฝ่ายพระปรไมยไอศวรก็ก้มลงกราบไหว้พระพุทธองค์ ตั้งแต่นั้นมาพระปรไมยไอศวรจึงถือศีลปฏิบัติธรรม นำข้าวของเงินทองที่สัญญาไว้มาถวายพระพุทธองค์ จนเป็นที่เลื่องลือแก่หมู่ยักษ์มารทั้งหลายที่ได้เห็นพระปรไมยไอศวรกลับตัวกลับใจ ถึงบั้นปลายชีวิตก็ยังมีฤทธานุภาพ

"พระปรไมยไอศวรเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์อันลือชาปรากฏไปทั่วไกรลาศ มีอำนาจวาสนา มีความสามารถขจัดภัยภยันตรายตลอดถึงภูตผีปีศาจ มารร้าย ด้วยอิทธิฤทธิ์ของท่านนานัปการ ผู้คนเชื่อว่าผู้ใดมีไว้บูชาในครอบครัวจะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ซื้อง่ายขายคล่อง มีโชคลาภ ปราศจากโรคภัยทั้งปวง ด้วยความตั้งจิตอธิษฐานถึงบุญบารมีของท่านก็จะช่วยคุ้มครองปกปักรักษาได้" ครูบาน้อยกล่าวทิ้งท้าย


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

60 ปี กุมารสมบัติ เทพผู้บันดาลทรัพย์ แห่งวัดไผ่ล้อม


ย้อนไปเมื่อราว 60 ปีก่อน พระภิกษุผู้เจริญศีล 3 รูป ได้ออกเดินทางจากจังหวัดนครปฐม เพื่อร่วมประกอบพิธีอุปสมบท ณ จังหวัดสุพรรณบุรี และด้วยการเป็นสหธรรมิกที่ชิดใกล้ การร่วมเดินทางใกล้ไกล จึงเป็นปกติวิสัยของทั้ง 3 ท่าน หากแต่การเดินทางร่วมกันในครั้งนั้น นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ แห่ง ตำนาน “เทพมหามงคล”

ภิกษุผู้ครองธรรมที่เดินทางร่วมกันในครานั้น คือ หลวงพ่อล้ง วัดห้วยจระเข้ หลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทร และ หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม โดยเมื่อครั้งขากลับจากกิจนิมนต์ คณะเดินทาง จาก 3 รูป กลับเพิ่มขึ้นอีก 1 ตน นั่นคือ เทพมหามงคล นามว่า “กุมารสมบัติ”

“ดั่งสวรรค์นำพาฟ้าลิขิต” กิจนิมนต์ที่จังหวัดสุพรรณบุรีในครั้งนั้น ถือเป็นจุดบรรจบ นำพาคู่บุญให้พานพบ หลวงพ่อพูล จึงได้ประสพ “กุมารทองคู่บารมี” กุมารทององค์ใหญ่ เนื้อโลหะสัมฤทธิ์ ขนาดฐานกว้าง 9 นิ้ว และสูงถึง 15 นิ้ว แม้ขนาดและน้ำหนัก อาจจะแลดูคล้ายว่าเป็นปัญหาต่อการขนย้ายในยุคนั้น แต่คู่กันแล้วไม่แคล้วคลาดน้ำหนักและขนาดจึงมิใช่อุปสรรค ด้วยบุญบารมีที่สั่งสมสร้างอุทิศและด้วยจิตวิริยะที่ตั้งมั่น หลวงพ่อพูล จึงสามารถนำกุมารทองคู่บุญของท่าน กลับมาถึงจังหวัดนครปฐมได้โดยสำเร็จ


ครั้นเมื่อถึง วัดไผ่ล้อม ดินแดนแห่งธรรมจังหวัดนครปฐม ซึ่งในขณะนั้นพระเดชพระคุณ หลวงพ่อพูล อัตตรักโข ดำรงตำแหน่งสมภารหนุ่มผู้สร้างความวัฒนา ท่านจึงวิเคราะห์เขตทั่วสีมา จนได้ที่ประทับบูชา และตั้งชื่อกุมารตนนี้ว่า "กุมารสมบัติ"

นับแต่นั้นจวบจนวันนี้ กาลเวลาผ่านนานกว่า 60 ปี หลวงพ่อพูล และกุมารสมบัติคู่บารมี ยังคงบันดาลโภคทรัพย์และความปรีดี ให้กับศิษย์ทั่วแดนดินถิ่นปฐพี พบประสบแต่ความโชคดี และมั่งมีเสมอมา

แม้วันนี้ พระเดชพระคุณ พระมงคลสิทธิการ หลวงพ่อพูล อัตตรักโข สุดยอดพระอมตะเถราจารย์ แห่งวัดไผ่ล้อม ได้ละสังขารสู่แดนนิพพานนานกว่า 9 ปีแล้ว "กุมารสมบัติ" ก็ยังคงเปรียบเสมือนศูนย์รวมจิตของมวลหมู่ศิษย์วัดไผ่ล้อม เคียงคู่สมภารรูปใหม่ใจเมตตา ที่มีนามว่า "หลวงพี่น้ำฝน"


*************************

เรื่องโดย : เต้ มงคลพระ
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




รวยทรัพย์รวยบุญ เพราะ "กุมารสมบัติ" หนุนและเสริมดวง


คุณภควรรณ สกุลอุดมโชติ
สาวมั่นรุ่นใหม่ ทำธุรกิจส่งออกต่างประเทศ ชีวิตเริ่มแรก ลุ่มๆดอนๆ ต่อสู้ชีวิตใน ก.ท.ม. กรุงเทพพระมหานคร เมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยปัญหา!!! คนเมืองหลวงถ้าไม่แกร่งจริงก็อยู่ได้ไม่นาน

คุณภควรรณ เล่าให้ฟังว่า.... “คนกรุงชีวิตมันช่างแร้นแค้น ทำยังไงก็ไม่รวย บ้านก็ต้องเช่า ข้าวก็ต้องซื้อ”

เธอท้อแท้กับอาชีพที่ทำอยู่ เธอท้อแท้กับอนาคตที่นับวันจะเลื่อนลอย ในห้วงเวลานั้น เธอยังหาหลักประกันอะไรไม่ได้เลยในชีวิต “ธุรกิจที่ทำอยู่ส่อแววว่าจะเจ๊งแน่นอนในเร็ววันนี้”

และแล้ววันหนึ่ง ไม่รู้มีอะไรมาดลใจ จู่ๆก็มาลิขิต ทำให้เธอต้องเดินทางมาเที่ยวที่จังหวัดนครปฐม ถามไถ่ชาวบ้านว่าเมืองนครปฐม มีหลวงพ่อองค์ไหนเก่งเรื่องเมตตามหานิยม ทำมาค้าขึ้นบ้าง

ชาวบ้านชี้ไปที่วัดไผ่ล้อม ลองไปถามหา หลวงพ่อพูล ดูสิ ท่านมีกุมารเรียกทรัพย์ได้ คนค้าขายไปบูชาจากท่าน สุดท้ายก็ร่ำรวยไปแล้วมากมาย

คุณภควรรณ ไม่รอช้า รีบรี่มุ่งหน้าไปหาหลวงพ่อพูล ในทันที พลันที่เธอได้เห็นได้กราบหลวงพ่อพูล สิ่งที่เธอเห็นอย่างเป็นรูปธรรม บ่งให้รับรู้ถึงความเมตตาเปล่งประกายอย่างชัดเจน!!!

แล้วเธอก็ได้เห็นกุมาร ที่ชาวบ้านเรียกขานว่า กุมารสมบัติ แล้วเธอก็ทำบุญบูชา นำกลับไปบูชาไว้ที่บ้าน เพียงไม่กี่วัน งานเข้า การงานของเธอเจริญขึ้นอย่างรวดเร็วทันตาเห็น

ทุกคราที่เธอขอพร เธอบอก....สมบัติช่วยแม่นะลูก และสมบัติก็ช่วยทุกครั้ง เธอเริ่มซื้อรถยนต์ ได้สำเร็จ ด้วยเงินสดๆ แล้วก็ซื้อบ้านด้วยเงินสด เธอปลดหนี้ทุกอย่างจนหมดสิ้น

วันดีคืนดีกุมารสมบัติ ลูกชายสุดที่รัก ก็มาเข้าฝันให้หวยเธอแบบแม่นๆ เธอถูกหวยเป็นประจำ ทำให้ชีวิตเธอดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

วันดีคืนดีกุมารสมบัติก็มาแผลงฤทธิ์ เล่นซนที่บ้าน ให้เธอเห็นเป็นประจำ เธอไม่เคยลืม วัดไผ่ล้อม ไม่เคยลืมหลวงพ่อพูล ถึงแม้หลวงพ่อพูล จะละสังขารจากไปแล้ว เธอก็ยังแวะเวียนมากราบ หลวงพี่น้ำฝน ทายาทศิษย์เอกหลวงพ่อพูล เป็นประจำ

อยู่มาวันหนึ่งเธอมาที่วัดไผ่ล้อม มีดอกาสได้เห็น กุมารสมบัติ ขนาดบูชา พิมพ์ยืน ถือถุงเงินถุงทอง เธอคิดเพียงในใจ ถ้าสมบัติทำให้แม่ถูกหวย แม่จะมาบูชาหนู

แล้วเธอก็กลับไปบ้าน ซื้อหวยแล้วอธิษฐาน สมบัติให้มีถูกหวยนะลูก แล้วเธอก็ถูกจริงๆสมปรารถนา เธอต้องรีบเดินทางมาวัดไผ่ล้อมอีกครั้ง เพื่อบูชากุมารสมบัติพิมพ์ยืนถือถุงเงินถุงทองกลับไปบูชาที่บ้าน ด้วยความเชื่อ ความศรัทธา เธอให้สัมภาษณ์ประโยคสุดท้าย... กุมารสมบัติ ทำให้หนูร่ำรวย มาถึงทุกวันนี้ โชคดีจริงๆค่ะพี่!!!!


*************************

เรื่องโดย : ทีมข่าวมงคลพระ
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557

คณะสงฆ์นครปฐม ตักเตือน พุทธะอิสระ!!


เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2557 ที่ผ่านมา นายวิโรจน์ อุ่นทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) นครปฐม กล่าวว่า กรณี หลวงปู่พุทธะอิสระ ไปร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส.นั้น คณะสงฆ์นครปฐมทั้งระดับเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด ได้ประชุมหารือถึงเรื่องดังกล่าวแล้ว โดยได้ ดำเนินการตักเตือนด้วยวาจา ต่อหลวงปู่พุทธะอิสระแล้ว โดย พศจ.นครปฐมได้ทำรายงานเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดรับทราบและลงนาม ถึงแนวทางการทำงานคณะสงฆ์ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คำสั่งมหาเถรสมาคม (มส.) เรื่อง ห้ามพระภิกษุสามเณรเกี่ยวข้องกับการเมือง พ.ศ.2538 ระบุไว้ว่า ห้ามพระภิกษุสามเณรเข้าไปในที่ชุมนุมไม่ว่ากรณีใดๆ พร้อมทั้งห้ามพระภิกษุสามเณรสนับสนุนช่วยเหลือโดยตรง หรือโดยอ้อมแก่การหาเสียงเพื่อเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เทศบาล หรือการเมืองใดๆ แก่บุคคลหรือคณะบุคคลใดๆ

รวมถึงห้ามชุมนุนเรียกร้องสิทธิของบุคคลหรือคณะบุคคลใดๆ อีกทั้ง ห้ามร่วมอภิปรายหรือบรรยายเกี่ยวกับการเมืองทั้งในวัดและนอกวัด หากพระภิกษุสามเณรใดละเมิด ฝ่าฝืน ให้พระสังฆาธิการปกครองดำเนินการว่ากล่าวตักเตือน หากกระทำผิดซ้ำ ให้พระสังฆาธิการปกครอง ดำเนินการลงโทษตามความเหมาะสม เช่น การกล่าวเตือนซ้ำ เป็นต้น


*************************

เรื่องโดย : มติชนออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ










วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557

ร่วมพิธี "ขอขมากรรมฯ" ผลที่ได้คืออะไร


ผลลัพธ์จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตามที่พระเดชพระคุณ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน ทายาทพุทธาคม หลวงพ่อพูล อัตตะรักโข อมตะเถราจารย์ ได้จัดให้มี พิธีขอขมากรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง หลายครั้งหลายครา ในแต่ละครั้งมีญาติโยมพุทธศาสนิกชนจำนวนมากมายเข้าร่วมพิธี จากการสอบถาม และคำบอกเล่า จากผู้ร่วมพิธีหลายท่าน ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในชีวิตหลังครั้งร่วมพิธีแล้ว มีเหตุการณ์เกิดขึ้นประมวลสรุปได้ดังต่อไปนี้

1.พอกลับไปถึงบ้านแล้ว มีอาการสบายอกสบายใจ เหมือนยกภูเขาออกจากอก ปลดล็อกทุกสิ่งที่เป็นความทุกข์ ออกจาก กาย วาจา ใจ ได้ทั้งหมด รู้สึกเบาตัว มีความสุข มีขวัญกำลังใจ อย่างเต็มไปเปี่ยม

2.พอตกกลางคืน ก็นอนหลับฝันดี ฝันเห็นเจ้ากรรมนายเวร มาบอกว่าให้อภัย กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้เข้าร่วมพิธี ได้เคยกระทำผิดพลาดไปแล้วทั้งหมด แล้วท่านก็ขอให้เป็นคนดี อย่าทำผิดอีก พร้อมทั้งเจ้ากรรมนายเวร ยังบอกให้เร่งทำความเพียร ประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีงามสืบต่อไป แล้วจะโชคดีอย่างแน่นอน

3.หลังจากเข้าร่วมพิธีขอขมากรรมแล้ว ญาติโยมหลายท่าน ดำเนินชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน ก็ ได้รับแต่ความโชคดี จากหน้าที่การงาน รวมถึงโชคลาภ ที่ตามมาอย่างคาดไม่ถึง หลายเรื่องหลายราวที่สร้างสรรค์จรรโลงใจ เข้ามาในชีวิตอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน

4.บางรายบอกว่า มีผู้ใหญ่ให้การอนุเคราะห์ อุปถัมภ์ค้ำชู ดูแลเมตตาเอาใจใส่ อย่างเห็นได้ชัด จากที่ก่อนหน้านั้น ไม่เคยให้ความสนใจเลย แต่พอไปเข้าร่วมพิธีแล้ว ผู้ใหญ่เมตตาให้ความรักเอ็นดู ให้ตำแหน่ง มอบหมายงานสำคัญๆ อีกทั้งได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นอีกด้วย

5.และมีอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ ญาติมิตรเพื่อฝูง ที่เคยโกธรเคือง หันกลับมาเป็นมิตร รักใคร่กลมเกลียวเหมือนเดิม สร้างความสามัคคีกลมเกลียวในหมู่คณะ และ กระทำการงานสิ่งใดก็ราบรื่น ไม่ติดขัดเหมือนเก่า ญาติพี่น้องอยู่กันอย่างมีความสุข ไม่ทะเลาะเบาะแว้งเหมือนเก่า สร้างบรรยากาศที่ดีในหมู่คณะอย่างเป็นรูปธรรม สัมฤทธิ์ผลทันตาเห็น

6.ร่วมถึงการดำเนินชีวิตภายในครอบครัว ก็มีแต่ความสุข ครอบครัว พ่อ แม่ ลูก ต่างมีความอบอุ่น ทั้ง กาย วาจา ใจ รักใคร่กลมเกลียวกันดีกว่าแต่ก่อน และที่สำคัญ โรคภัยไข้เจ็บก็ไม่มี ภายในบ้าน ร่มเย็น เห็นได้อย่างชัดเจน

สรุปก็คือ ที่ผ่านมา ญาติโยมจำนวนมาก ทั้งหมด ที่เข้าร่วมพิธี ขอขมากรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง ที่พระเดชพระคุณพระครูปลัดสิทธิ์วัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน ได้จัดขึ้นนั้น ส่งผลให้ญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน มีแต่ความสุขความเจริญ ล้างสนิมที่มีอยู่ในใจ ล้างขัดออกได้จนสะอาดหมดสิ้น สร้างสรรค์ชีวิตใหม่ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง สามรถสร้างขวัญกำลังใจในการดำเนินชีวิตสืบต่อไปได้อย่างบริบูรณ์พูลผลอย่างแท้จริง


*************************

เรื่องโดย : ทีมข่าวมงคลพระ
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

วัดเขาขุนพนม ดินแดนแสวงธรรม แห่งองค์พระเจ้าตากฯ


วัดเขาขุนพนม ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านเกาะ อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาขุนพนม เป็นวัดเก่าแก่ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอาณาจักรนครศรีธรรมราช ราวพุทธศตวรรษที่ 18 ถึงพุทธศตวรรษที่ 20 มีตำนานท้องถิ่นเล่าขานว่า วัดเขาขุนพนมนี้ เป็นวัดที่ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จมาประทับ และจำพรรษาในฐานะพระภิกษุ หลังจากสิ้นรัชกาลกรุงธนบุรี เป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2325 จนกระทั่งเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2368 โดยที่ไม่ได้ทรงถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ ตามพระราชพงศาวดาร แต่ได้ทรงสับเปลี่ยนพระองค์กับทหารคนสนิทหรือพระญาติ ที่มีรูปพรรณใกล้เคียงกัน


พระเจ้าตากสิน
และ พระยาจักรี ช่วยกันกอบกู้ชาติ จนตั้งกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวง พระเจ้าตากสินทรงเหน็ดเหนื่อยกับการรบ จึงหันมาศึกษาพระธรรม ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ที่ วัดอินทาราม บางยี่เรือ แล้วสละราชบัลลังก์ เสด็จฯ มาทรงพระผนวชอยู่ที่ วัดเขาขุนพนม อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช เป็นตำนานเล่าขาน และเป็นความภาคภูมิใจของชาวนครศรีธรรมราช มานานกว่า 200 ปี

พระครูปิยะคุณาธาร เจ้าอาวาสวัดเขาขุนพนม เล่าให้ฟังว่า มีเครื่องทรงกษัตริย์ตกค้างอยู่ในวัด และบนถ้ำ ซึ่งเป็นโพรงใหญ่ เดินทะลุทั่วกันจนถึงยอดเขา เป็นยุทธภูมิที่มองไกลไปถึงชายทะเลอ่าวไทย หากมีกองกำลังบุกรุกมาที่วัดนี้ คนในวัดจะรู้ก่อนป้องกันตัวได้ พระเจ้าตากสินจึงตัดสินพระราชหฤทัยทรงพระผนวชที่วัดเขาขุนพนม และทรงใช้ชีวิตอย่างสงบสุข จนถึงวันสวรรคต

โดยขณะที่ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงพระผนวชนั้น มีข้าราชบริพาร ทหารเอกคู่พระทัย พาครอบครัวย้ายจากกรุงธนบุรี มาถวายอารักขา และตั้งรกรากอยู่รอบวัดเขาขุนพนม ชาวบ้านรอบวัดจึงสืบเชื้อสายมาจากคนในวัง กิริยามารยาทสุภาพ เรียบร้อย แตกต่างจากคนท้องถิ่น ภาษาที่พูดแม้จะติดสำเนียงใต้ แต่ยังมีคำราชาศัพท์สอดแทรกอยู่หลายคำ


*************************

เรื่องโดย : ทีมข่าวมงคลพระ
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

อุปลวณฺโณ คัพ 2013 วิธีดึงคนเข้าวัดแบบ "ครูบาจง"

อุปลวณฺโณคัพ หรือ UPALAWANNO CUP 2013 เป็นโครงการจัดการแข่งขันฟุตบอลต้านภัยยาเสพติด ชิงถ้วย พล.ต.ชาตรี เศษรฐกร หัวหน้าศูนย์ข่าวยาเสพติด กองทัพภาคที่ 3 ของ เจ้าอธิการบุญต่อ อุปลวัณโณ หรือ ครูบาจง เจ้าอาวาสวัดศรีสว่าง (วัวลาย) และ เจ้าคณะตำบลหารแก้ว อ.หางดง จ.เชียงใหม่ หรือที่ชาวบ้านใน อ.หางดง เรียกขานนามของท่านว่า “ตุ๊จง”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๖ ที่ผ่านมา เป็นวันเปิดสนาม ณ สนามศีลพิลาสอนุสรณ์ ต.หารแก้ว อ.หางดง จ.เชียงใหม่ โดยมี พ.อ.จิตติวัศร์ ศรสุวรรณ์ เป็นประธานดำเนินงาน พร้อมด้วยแมทช์การกุศลเป็นการแข่งขันฟุตบอลระหว่าง ทีมศิษย์เจ้าอธิการบุญต่อ ปะทะกับทีมร่วมดารา นำทีมโดย "ออย" ธนา สุทธิกมล และ "ไมค์" ภัทรเดช สงวนความดี โดยมีชาวบ้านร่วมชมนับพัน ได้รับการสนับสนุนและจัดกิจกรรมระหว่างการแข่งขันโดยห้าง PROMENADA Resort Mall Chiang Mai, กุญแจ SOLO, เครื่องเสียงติดรถยนต์ Piority และ น้ำดื่มช้าง

"การดึงคนเข้าวัดมีหลายวิธี บางคนเข้าวัดเพื่อกราบไหว้ขอพรพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ บางคนเข้าวัดเพื่อปฏิบัติธรรม บางคนเข้าวัดเพื่อประกอบพิธีกรรม บางคนเข้าวัดเพื่อชื่นชมความงดงานทางสถาปัตยกรรม ส่วนอาตมาใช้ฟุตบอลดึงคนเข้าวัด ไม่ว่าคนจะเข้าวัดด้วยเหตุผลใดก็ตามอย่างน้อยก็ได้เห็นพระ ได้ใกล้ชิดพระพุทธศาสนา อาตมาไม่ได้คาดหวังอะไรมากกว่าได้ข้อคิด หรือคติธรรมเพียงข้อเดียวเท่านั้นพอ" นี่เป็นเหตุผลในสนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลของครูบาจง

พร้อมกันนี้ ครูบาจง ยังยกตัวอย่างบางท่อนของเพลง "เพลงกราวกีฬา" ซึ่งป็นเพลงที่นิยมใช้ในการเชียร์กีฬา ประพันธ์คำร้องโดย ครูเทพ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี หรือ นามจริง สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา ส่วนทำนองประพันธ์โดย นารถ ถาวรบุตร ซึ่งประพันธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๗ เพื่อใช้ในการแข่งกีฬาสีของนักเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ต่อมาเพลงนี้ได้รับความนิยมและแพร่หลายออกไปสู่การแข่งขันกีฬาทั่วไป

"ใจคอมั่นคงทรงศักดิ์ รู้จักทีหนีทีไล่
รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ไว้ใจได้ทั่วทั้งรักชัง
ไม่ชอบเอาเปรียบเทียบแข่งขัน สู้กันซึ่งหน้าอย่าลับหลัง
มัวส่วนตัวเบื่อเหลือกำลัง เกลียดชังการเล่นเห็นแก่ตัว"

ครูบาจง ยังบอกด้วยว่า การแข่งขันกีฬาทุกชนิดสิ่งที่ได้มากกว่าสุขภายกาย คือ สุขภาพใจ การเรียนรู้ที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ และแสดงความยินดีแก่ผู้ชนะ เป็นจุดประสงค์หลักอย่างหนึ่งของกีฬา หากสังคมของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยคนที่เปี่ยมไปด้วยสปิริตของนักกีฬา เราคงไม่เห็นความแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ความขัดแย้ง การเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันในสังคม ไม่รู้จักแพ้ ไม่รู้จักชนะ ไม่รู้จักการให้อภัย สังคมเราคงจะน่าอยู่ขึ้นมาก


นอกจากนี้แล้วการให้อภัยก็ถือว่าสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าอย่างอื่น การรู้แพ้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไม่ดี มันแตกต่างกับการยอมความแพ้ ทุกครั้งที่เราเล่นด้วยหัวใจ แม้จะรู้ตัวว่าต้องแพ้แน่ๆ ทำหน้าที่ของตัวเองให้สุดความสามารถบนพื้นฐานของกติกามารยาทอย่างสมศักดิ์ศรี เมื่อพบกับความพ่ายแพ้ก็ฝึกฝนตัวเองให้ยอมรับกับมันแต่โดยดีโดยไม่ต้องโทษสิ่งอื่นใด ในทางกลับกันเมื่อเราเป็นผู้ชนะก็ต้องเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ชนะที่ดี การเป็นผู้ชนะในสนามแข่งขันไม่ได้หมายความว่าเราจะชนะไปเสียทุกอย่าง

"หากสังคมของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยคนที่เปี่ยมไปด้วยสปิริตของนักกีฬา เราคงไม่เห็นความแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ความขัดแย้ง เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันในสังคม และถ้าเรารู้จักแพ้ รู้จักชนะ รู้จักการให้อภัย สังคมเราก็คงจะน่าอยู่ขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่" ครูบาจงกล่าวทิ้งท้าย


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ