วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556

พระปิดตาหล่อโบราณจารมือ รุ่นขุมสมบัติ 115 ปี

พระปิดตาหลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม เป็นพระปิดตาสุดยอดของ พระปิดตาเนื้อเมฆพัด ซึ่งอยู่ในราคาค่านิยม หลักล้านกว่าบาท การจัดสร้างนั้นหลวงปู่นาคจะปั้นพิมพ์เอง หล่อเอง เสร็จแล้วจะลงไปจารอักขระใต้น้ำโดยใช้ยันต์นะคงคาเป็นตัวหลัก เสร็จแล้วจะขึ้นมาจารอักขระมหาอุดบนพื้นดิน ทำให้พระปิดตาเนื้อเมฆพัดเป็นที่เลื่องลือ

ปัจจุบัน วัดห้วยจระเข้ มี พระครูทักษิณานุกิจ (หลวงปู่เสงี่ยม อริโย) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ตั้งแต่ปี พ.ศ.2527 ถึงทุกวันนี้ และเนื่องในโอกาสที่หลวงปู่นาคสร้างวัดมาครบ 115 ปี และ หลวงปู่เสงี่ยม เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน สิริอายุ 89 ปี วัดห้วยจระเข้ ได้จัดสร้าง "พระปิดตาหล่อโบราณจารมือ รุ่นขุมสมบัติ 115 ปี" ขึ้น เพื่อให้เป็นสุดยอดวัตถุมงคลต้นปี 2556 เปิดให้พุทธศาสนิกชนได้ร่วมบุญบูชา ประกอบด้วย พระปิดตาเนื้อทองคำ เนื้อเมฆพัด เนื้อสัมฤทธิ์ และเนื้อนวโลหะ, รูปเหมือนหลวงปู่นาคขนาดห้อยคอ เนื้อเมฆพัด เนื้อสัมฤทธิ์ เนื้อนวโลหะ, พระปิดตาขนาดบูชา 5 นิ้ว เนื้อเมฆพัด, รูปเหมือนหลวงปู่นาค เนื้อเมฆพัด ขนาดตั้งหน้ารถ 1.5 นิ้ว เป็นต้น


โดยเททองหล่อในวัดทั้งหมด เมื่อวันที่ 28 พ.ย.2555 และทำพิธีมหาพุทธาภิเษกเมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2556 ซึ่งการนี้ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานไฟพระฤกษ์จุดเทียนชัยในพิธีมหาพุทธาภิเษก มี พระเดชพระคุณพระธรรมปริยัติเวที เจ้าคณะภาค 15 เจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ เป็นประธานจุดเทียนชัย หลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร จ.สมุทรปราการ ดับเทียนชัย พระเกจิคณาจารย์ร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิตปลุกเสก อาทิ 

พระธรรมปริยัติเวที วัดพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม, 
พระครูทักษิณานุกิจ (หลวงปู่เสงี่ยม) วัดห้วยจระเข้ จ.นครปฐม, 
หลวงพ่อพูน ฐิตสีโล วัดบ้านแพน จ.พระนคร ศรีอยุธยา, 
หลวงพ่อเอียด วัดไผ่ล้อม จ.พระนครศรีอยุธยา, 
หลวงพ่อสิริ วัดตาล จ.นนทบุรี, 
หลวงพ่อแป๋ว วัดดาวเรือง จ.สิงห์บุรี, 
พระอาจารย์แป๊ะ วัดสว่างอารมณ์ จ.นครปฐม, 
หลวงพ่อทองคำ วัดพะเนียงแตก จ.นครปฐม, 
หลวงปู่บุญ วัดทุ่งเหยียง จ.ชลบุรี, 
หลวงพ่อหวั่น วัดคลองคูณ จ.พิจิตร, 
หลวงปู่หนู วัดไผ่สามเกาะ จ.ราชบุรี, 
หลวงพ่อจำเริญ วัดวังยายหุ่น จ.สุพรรณบุรี, 
หลวงปู่โฉม วัดตำหนัก จ.ปทุมธานี 
และ หลวงปู่สุข วัดป่าหวาย จ.สิงห์บุรี 

ขณะนี้นอกจาก "พระปิดตาเนื้อเมฆพัด" จะได้รับความนิยมอย่างมากแล้ว 
พระปิดตาเนื้อผงดินขุยปู ก็ไม่ธรรมดา เป็นเนื้อผงที่มีมวลสารของเก่าผสมไว้มากมาย 

สอบถามรายละเอียดการเช่าบูชาได้ที่ โทร.085-428-4385

*************************

เรื่องโดย : มติสวรรค์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ

วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

ตั้ง "พระพรหมดิลก" เป็นเจ้าคณะ กทม.

มหาเถรสมาคมมีมติแต่งตั้ง พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา เป็นเจ้าคณะ กทม. แทน พระธรรมสิทธินายก ที่เกษียณอายุ พร้อมแต่งตั้ง พระราชสุตาลังการ วัดนิมมานรดี ขึ้นเจ้าคณะภาค 14

เมื่อวันที่ 29 มี.ค. มีรายงานว่า ที่ตำหนักสมเด็จ วัดสระเกศ มีการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) โดยมี สมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช วัดสระเกศ เป็นประธาน มีวาระสำคัญ คือ การเสนอแต่งตั้งเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร (เจ้าคณะ กทม.) รูปใหม่แทน พระธรรมสิทธินายก (เฉลิม พนฺธุรํสี) เจ้าคณะ กทม.และเจ้าอาวาสวัดจันทาราม ที่เกษียณอายุ 80 ปี และการแต่งตั้งโยกย้ายเจ้าคณะภาคในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลาง โดย สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง และเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม ได้เสนอชื่อ พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดสามพระยา และเจ้าคณะภาค 14 ขึ้นเป็นเจ้าคณะ กทม.รูปใหม่ ซึ่งที่ประชุมไม่ได้มีการอภิปรายคัดค้าน หรือแสดงความเห็นใดๆ ก่อนจะลงมติให้พระพรหมดิลก เป็นเจ้าคณะ กทม.รูปใหม่ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค.นี้ เป็นต้นไป



จากนั้น สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ได้เสนอ พระราชสุตาลังการ (สมควร ปิยสีโล ป.ธ. 9) เจ้าอาวาสวัดนิมมานรดี และรองเจ้าคณะภาค 2 คุมพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง และสระบุรี ขึ้นเป็นเจ้าคณะภาค 14 คุม จ.นครปฐม สมุทรสาคร สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี แทนพระพรหมดิลก ที่ได้เป็นเจ้าคณะ กทม. ซึ่งที่ประชุมมหาเถรฯ ได้ลงมติเห็นชอบและให้มีผลตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค.นี้ เป็นต้นไปเช่นกัน

มีรายงานเพิ่มเติมว่า การแต่งตั้งเจ้าคณะ กทม.ค่อนข้างล่าช้า เพราะ พระธรรมสิทธินายก เจ้าคณะ กทม. รูปเดิมเกษียณอายุตั้งแต่เดือน ก.พ.ที่ผ่านมา แต่ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ไม่สามารถพิจารณาผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมได้ทันที เพราะต้องการเจ้าคณะ กทม.ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับสถานการณ์พระพุทธศาสนาปัจจุบันที่กำลังเผชิญหน้ากับภัยรุกราน โดยเฉพาะจากศาสนาอื่นที่เข้ามารุกรานในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการท้าทายความศรัทธาจากยุคสมัยที่เปลี่ยนไป นอกจากนี้ที่ผ่านมายังมีใบปลิวโจมตีพระสงฆ์ที่มีคุณสมบัติที่จะขึ้นมาทำหน้าที่เจ้าคณะ กทม.ทำให้มีข้อจำกัดในการแต่งตั้งเจ้าคณะ กทม.พอสมควร

ทั้งนี้ ในการประชุมมหาเถรฯ ครั้งต่อไปในวันที่ 11 เม.ย.2556 จะมีวาระเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายเจ้าคณะภาค โดยจะมีการโยกย้าย พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโตป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสและเจ้าคณะภาค 2 และยังทำหน้าที่อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ไปเป็นเจ้าคณะภาค 1 ซึ่งคุมพื้นที่ปกครองสำคัญคือจังหวัดกรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ และปทุมธานี แทน พระราชวิสุทธิเวที (สายชล ฐานวุฑฺโฒ ป.ธ.9) เจ้าคณะภาค 1 และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม และเป็นหลานแท้ๆ ของ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร ป.ธ.9) อดีตคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และเจ้าอาวาสวัดชนะสงครามโดยให้ไปเป็นเจ้าคณะภาค 2 เนื่องจาก พระราชวิสุทธิเวที มีอาวุโสค่อนข้างน้อยทำให้ปกครองวัดสำคัญๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลค่อนข้างลำบาก

สำหรับพระพรหมดิลก ปัจจุบันอายุ 68 ปี เป็นลูกศิษย์ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร ป.ธ.9) อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยาวรวิหาร

*************************

เรื่องโดย : ไทยรัฐออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



พระอาจารย์ติช นัท ฮันห์ ลุยจาริกธรรมเมืองไทย

"พระอาจารย์ติช นัท ฮันห์" ปรมาจารย์เซนแห่งโลก เดินทางถึงประเทศไทย พร้อมกำหนดกิจกรรมจาริกธรรมในประเทศไทยตลอดเดือนเมษายน ตามโครงการพุทธวิปัสสนานานาชาติ

พระอาจารย์ติช นัท ฮันห์ พระมหาเถระแห่งพุทธศาสนามหายาน นิกายเซน เดินทางมาถึงประเทศไทยแล้ว พร้อมคณะนักบวชจากหมู่บ้านพลัมนานาชาติ โดยมี พระครูปลัดสุวัฒนวชิรคุณ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ให้การต้อนรับ ณ อาคารรับรองพิเศษ สนามบินสุวรรณภูมิ หลังจากนี้จะมีกิจกรรมจาริกธรรมในประเทศไทยตลอดเดือนเมษายนเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม

พระครูปลัดสุวัฒนวชิรคุณ รองอธิการบดี มจร เปิดเผยว่า “การเดินทางมาจาริกธรรมในประเทศไทยครั้งนี้ เป็นไปตามโครงการพุทธวิปัสสนานานาชาติ ที่ มจร และ หมู่บ้านพลัมนานาชาติ ประเทศฝรั่งเศส ได้ร่วมกันดำเนินโครงการนี้มาอย่างต่อเนื่อง ในฐานะผู้แทนของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและประชาชนชาวไทย รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมฝึกปฏิบัติกับพระมหาเถระองค์สำคัญของโลกและสังฆะหมู่บ้านพลัม ในกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อนำสันติสุขมาสู่ตัวเราและโลกของเรา”

จากนั้น พระอาจารย์ติช นัท ฮันห์ กล่าวตอบมีใจความว่า “เป็นความปีติอย่างยิ่งที่ได้เดินทางมาถึงประเทศไทย และได้มาเยี่ยมเยือนดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา ทุกครั้งที่ได้กลับมาเมืองไทยก็เหมือนกับได้กลับบ้าน การฝึกปฏิบัติทางพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่เพียงแค่การฝึกกราบไหว้ หรือทำบุญเท่านั้น แต่เป็นการฝึกปฏิบัติเพื่อที่จะแปรเปลี่ยนความทุกข์ของเราให้น้อยลง เพื่อที่จะดูแลความโกรธ และความสิ้นหวัง”

“เป็นสิ่งที่ชัดเจนมากว่าสันติสุข และการปรองดองเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ผู้ที่เคยเป็นศัตรูกันมาก่อน ที่มีความโกรธเคืองกันในอดีต สามารถกลับมาคืนดีกัน เรียนรู้ที่จะเข้าใจซึ่งกันและกัน และสามารถทำงานร่วมกันได้ เราอยู่ร่วมประเทศเดียวกัน เราอยู่ร่วมผืนโลกใบเดียวกัน ด้วยความรักที่เรามีต่อประเทศของเรา ต่อโลกของเรา เราสามารถที่จะวางความโกรธของเราลง จับมือกันและปรองดองกัน”

สำหรับกำหนดการจาริกธรรมนั้น นอกจากท่านจะมานำภาวนาดังเช่นที่เคยปฏิบัติแล้ว ในการมาครั้งนี้ท่านติช นัท ฮันห์ ยังได้รับนิมนต์ให้แสดงธรรมอย่างหลากหลายมากขึ้น เช่น การแสดงปาฐกถาธรรม แก่ผู้นำทางการเมืองและสังคม เรื่อง เส้นทางผู้นำกับการสรรค์สร้างความกรุณาและกล้าหาญ ในวันที่ 29 มีนาคม ณ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา

กิจกรรมใหม่อีกกิจกรรมหนึ่งซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย คืองานนิทรรศการ “ภาวนากับลายพู่กัน ศิลปะแห่งสติ” ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 2 – 12 เมษายน โดยผู้เข้าชมงานจะได้ชื่นชมภาพลายพู่กันของท่านรวมทั้งสิ้น 81 ภาพ และในวันที่ 3 เมษายน พระอาจารย์ติช นัท ฮันห์ จะสาธิตการภาวนากับลายพู่กันในพิธีเปิดนิทรรศการในเวลา 17.00 – 21.00 น.


สำหรับกิจกรรมภาวนาแรกในวันที่ 4-8 เมษายน คืองานภาวนา “จริยธรรมประยุกต์” สำหรับครู นักการศึกษาและผู้ทำงานใกล้ชิดกับเยาวชน นำโดยพระอาจารย์ติช นัท ฮันห์ และพระธรรมาจารย์จากสังฆะหมู่บ้านพลัม ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา

กิจกรรมที่เปิดกว้างสำหรับบุคคลทั่วไปซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 9 เมษายน คือ การปาฐกถาธรรม ครั้งสำคัญภายใต้หัวข้อ “เราคือหนึ่งเดียว” โดยพระอาจารย์ติช นัท ฮันห์ เริ่มตั้งแต่เวลา 17.00–21.00 น. ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ สยามพารากอน กรุงเทพ ฯ กิจกรรมนี้เปิดรับผู้สนใจได้เป็นจำนวนมากถึง 8,000 คน จัดขึ้นเป็นพิเศษ สำหรับพุทธศาสนิกชน ที่อาจไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับการเข้าร่วมงานภาวนาเป็นจำนวนหลายๆ วัน เป็นปาฐกถาที่จะนำเราทุกคน ให้ตระหนักรู้และเข้าใจถึงความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันของทุกสรรพสิ่ง และทุกสรรพชีวิตบนผืนโลก โดยกิจกรรมภายในงาน นอกจากจะได้มีโอกาสรับฟังปาฐกถาธรรมอันลึกซึ้งแล้ว ท่านจะได้มีโอกาสชม ดนตรีเพื่อการภาวนา ชุด บทเพลงจากต้นพลัม จากจีวันแบนด์ พร้อมกับการนั่งสมาธิและสวดมนต์ร่วมกับหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ และพระธรรมาจารย์จากสังฆะหมู่บ้านพลัมนานาชาติอีกด้วย

ส่วนงานภาวนาที่เคยจัดมาแล้ว และจะจัดต่อเนื่องในการจาริกธรรมครั้งนี้ คือ งานภาวนาสำหรับครอบครัวระหว่าง 13–17 เมษายน ซึ่งจัดสำหรับครอบครัว เป็นการฝึกการเจริญสติในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ทุกๆ คนสามารถสัมผัสกับความสุขศานติในปัจจุบันขณะ เรียนรู้การฟังอย่างลึกซึ้งและการพูดด้วยวาจาแห่งรัก ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ นอกจากนั้นยังมีการสอนให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การฝึกเจริญสติในแบบที่ไม่รู้สึกว่ากำลังถูกสอน เพราะเป็นการเรียนรู้ผ่านบทเพลง เกม และกิจกรรมสำหรับเด็กๆมากมาย นำโดยพระอาจารย์ติช นัท ฮันห์ และพระธรรมาจารย์จากหมู่บ้านพลัม ณ วังรี รีสอร์ท จ.นครนายก กิจกรรมนี้มีผู้ลงทะเบียนเต็มแล้ว

อีกหนึ่งกิจกรรมที่จัดต่อเนื่องเช่นกันคือ งานภาวนาสำหรับเยาวชน หรือ Wake Up Retreat ในวันที่ 13-17 เมษายน เป็นการฝึกการเจริญสติในชีวิตประจำวัน จัดขึ้นสำหรับคนหนุ่มสาว ที่มีอายุ 18-30 ปี ผู้เข้าภาวนาจะมีโอกาสได้เรียนรู้และฝึกปฏิบัติ เพื่อการตื่นรู้และการเปลี่ยนแปลงจากภายในนำโดยพระอาจารย์ติช นัท ฮันห์ และพระธรรมาจารย์จากสังฆะหมู่บ้านพลัม ณ ระเบียงไพร แวลลีย์ จ.นครนายก กิจกรรมนี้มีผู้ลงทะเบียนเต็มแล้ว

การมาจาริกธรรมครั้งนี้ยังเป็นวาระสำคัญเนื่องจากกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างสถานปฏิบัติธรรม ในวันที่ 28 เมษายน จึงจะมี พิธีทอดผ้าป่าเพื่อระดมทุนสร้างหอปฏิบัติธรรม ณ สถานปฏิบัติธรรมนานาชาติ หมู่บ้านพลัม ประเทศไทย จังหวัดนครราชสีมา เป็นกิจกรรมสุดท้ายในการจาริกธรรมของพระอาจารย์ติช นัท ฮันห์ ก่อนที่ท่านจะเดินทางต่อไปยังประเทศสาธารณรัฐเกาหลี ในวันที่ 30 เมษายน ผู้ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ได้ที่ www.thaiplumvillage.org

*************************

เรื่องโดย : ไทยรัฐออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

พระกริ่งชินบัญชร มหาอุปคุต 91ปี "หลวงปู่คำบุ"


ย้อนหลังกลับไปเมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2555 อันเป็นวันครบรอบ 90 ปี ของ หลวงปู่คำบุ คุตตจิตโต คณะศิษย์ผู้ใกล้ชิด และญาติโยมผู้เลื่อมใส ได้ร่วมกันจัดงานมุทิตาจิตฉลองอายุวัฒนมหามงคลเป็นประจำทุกปี 

และเนื่องในวาระคล้ายวันเกิด สิริอายุครบ 91 ปี หลวงปู่คำบุ วัดกุดชมภู จ.อุบลราชธานี ในปี พ.ศ.2556 นี้ คณะศิษย์หลวงปู่คำบุได้ดำริจัดสร้างวัตถุมงคลขึ้น และขอให้ อาจารย์ชินพร สุขสถิตย์ ผู้เคยจัดสร้างพระกริ่งชินบัญชร และเครื่องรางของขลังจากทั้งสายตะวันออกและสายอีสาน จัดสร้างพระเครื่องวัตถุมงคลรุ่นหนึ่ง เพื่อนำรายได้ไปสร้าง รูปเหมือนหลวงปู่คำบุ กลางสระน้ำภายในวัดกุดชมภู เป็นวัตถุมงคล "พระกริ่งชินบัญชรมหาอุปคุต"

พร้อมกับสร้าง วัตถุมงคลมัจฉานุ บุตรพญาหนุมาน และ เหรียญเจ้าพระคลังสมบัติ หรือ ไฉ่ ซิง เอี้ย ในลักษณะนั่งเฝ้าคลังสมบัติ วัตถุมงคลทั้งหมดนี้ จะนำรายได้จากการเช่าบูชาไปก่อสร้างรูปเหมือนหลวงปู่คำบุขนาดกว้าง 5 เมตร ในวัดกุดชมพู สำหรับพิธีเททองจะมีขึ้นในวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 91 ปี หลวงปู่คำบุ ในวันศุกร์ ที่ 15 ก.พ.2556 เวลา 15.15 น. ประกอบพิธีบวงสรวงบริเวณกลางสระน้ำภายในวัดกุดชมภู และอัญเชิญพระมหาอุปคุตเถระ เพื่อความเป็นสิริมงคล สร้างกุศลให้ตนเองและครอบครัว


อีกทั้งยังได้นิมนต์พระสงฆ์สุปฏิปันโน 4 รูป นั่งปรกในแพกลางสระน้ำ ประกอบด้วย 

1.หลวงปู่ชม โอภาโส วัดสามัคคี จ.หนองคาย ศิษย์เอกรูปสุดท้ายหลวงปู่พิบูลย์
2.หลวงปู่บุญมา ปภากโร วัดถ้ำโพงพาง จ.ชุมพร ผู้ปลุกเสกจนเหรียญกระโดด 
3.หลวงปู่แขก (พระมงคลสุธี) 
4.หลวงพ่อสาย วัดตะเคียนราม 

ขณะเดียวกัน หลวงปู่คำบุ คุตตจิตโต นั่งปรกทิศเหนือ และเป็นประธานจุดเทียนชัย 

จึงเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญ รวมทั้งขอเชิญร่วมพิธีเททองหล่อ พระกริ่งชินบัญชรมหาอุปคุต เหรียญเจ้าพระคลังหลวง และ มัจฉานุ เพื่อสร้างรูปเหมือนหลวงปู่คำบุ 

ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบุญ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่

วัดกุดชมภู ต.กุดชมภู อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี โทร.087-961-2555


*************************

เรื่องโดย : มติสวรรค์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

พระสมเด็จดักคะนน บูรณะ วัดเพลง จ.นนทบุรี

เมื่อปี พ.ศ.2530 พระกรุวัดดักคะนน แตกกรุออกมา จากการที่พระพุทธรูปประธานวัดดักคะนน จ.ชัยนาท ชำรุดเกินกว่าจะซ่อมแซมได้ และมีคนเข้าไปซ่อมจนพบพระกรุดังกล่าว

พระสมเด็จดักคะนน เป็นพิมพ์พระสมเด็จ จัดสร้างโดย หลวงปู่ทองอยู่ ติสสโร วัดดักคะนน จ.ชัยนาท ท่านเป็นสหายธรรมกับ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ชาวเมืองชัยนาท และจังหวัดใกล้เคียง ให้ความเคารพนับถือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จึงมิใช่เรื่องน่าประหลาดใจแต่อย่างใดที่หลวงปู่ศุขได้มอบมวลสารชั้นยอดและมีส่วนร่วมในการจัดสร้าง

ต่อมาหลวงปู่ทองอยู่จัดสร้าง พระสมเด็จดักคะนน สร้างจากผงวิเศษของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังโฆสิตาราม ที่ได้รับมอบจากหลวงปู่ศุข นำมาหล่อเป็นพระสมเด็จดักคะนน ก่อนนำพระสมเด็จที่จัดสร้าง ใส่เรือพายมาจนถึงวัดปากคลองมะขามเฒ่า ถวายให้หลวงปู่ศุขปลุกเสกเป็นกรณีพิเศษ






พระสมเด็จดักคะนนที่จัดสร้างมีทั้งหมด 5 พิมพ์คือ

- พิมพ์ใหญ่
- พิมพ์ทรงเจดีย์
- พิมพ์ฐานแซม
- พิมพ์เจ็ดชั้น
- พิมพ์เก้าชั้น

ชาวบ้านขนานนามว่า มีพระสมเด็จ "อยู่-ศุข" จะอยู่รอดปลอดภัย แคล้วคลาด เมตตามหา นิยม ฯลฯ

หลวงพ่อประสิทธิ์ สิทธิโก หรือ หลวงพ่อประสิทธิ์ เจ้าอาวาสวัดเพลง (อุโบสถสีชมพู) ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี ได้รับมอบพระสมเด็จดักคะนนมาจาก นายนพภรณ์ น้าวัฒนถาวร และครอบครัว นักสะสมพระเครื่อง ถวายให้นำไปมอบให้ผู้ที่ร่วมบริจาคสมทบทุนบูรณะอุโบสถสีชมพู วัดเพลง ที่ชำรุดทรุดโทรมในขณะนี้

พระสมเด็จดักคะนน ด้านหน้าเป็นพระสมเด็จพิมพ์ใหญ่ 3 ชั้น ด้านหลังเป็นรูปเหมือนหลวงพ่ออยู่ นั่งขัดสมาธิ ใต้ฐานเขียนคำว่า "หลวงปู่อยู่ วัดดักคะนน" หลวงพ่อประสิทธิ์กล่าวว่า ได้เข้ามาดูแลและสร้างถาวรวัตถุให้กับทางพระพุทธศาสนา ญาติโยมเห็นถึงความตั้งใจจริง จึงได้ถวายพระสมเด็จเบญจรงค์ ซึ่งถือว่าหาได้ยาก เพื่อให้ญาติโยมได้ร่วมทำบุญเช่าบูชาสมเด็จดักคะนนกับทางวัด เพื่อให้นำปัจจัยจากการเช่าบูชาทั้งหมด ร่วมสมทบทุนบูรณะอุโบสถสีชมพู ให้กลับมาสง่างามต่อไป

ผู้สนใจเช่าบูชา สมเด็จดักคะนน ซึ่งวัดมีจำนวนไม่มาก เช่าบูชาได้ที่วัดเพลง (อุโบสถสีชมพู) ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี โทร.081-666-5998




*************************

เรื่องโดย : มติสวรรค์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



หลวงพ่อเงินมหามงคล บุญใหญ่บูรณะ "วัดคุณพุ่ม"


หนึ่งในวัดที่มีความเกี่ยวพันกับ หลวงพ่อเงิน ก็คือ "วัดคุณพุ่ม" หรือชื่อเดิมว่า "วัดหนองในดง" ตั้งอยู่ที่บ้านหนองในดง ต.บางลาย อ.บึงนาราง จ.พิจิตร สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2463 โดย หลวงพ่อเสือ ลูกศิษย์หลวงพ่อเงิน เดิมเป็นเพิงเล็กๆ ที่หลวงพ่อเงินใช้เป็นที่พักหรือค้างแรมเวลาเดินทาง อยู่ห่างจากวัดท้ายน้ำ ราว 7 กิโลเมตร ซึ่ง ชาวบ้านเห็นว่าหลวงพ่อเงินมาแวะพักบ่อยๆ จึงได้สร้างศาลาที่พักให้เป็นการถาวร

และช่วงปลายอายุ หลวงพ่อเงิน ชาวบ้านหนองในดงได้ร่วมกันสร้างวัดเล็กๆ ขึ้น และหลวงพ่อเงินได้ให้หลวงพ่อเสือลูกศิษย์มาจำพรรษาที่นี่ และพัฒนาเรื่อยมา จนวันที่ 14 มกราคม พ.ศ.2484 จึงได้รับพระราชทานวิสุงคาม สีมา มีเจ้าอาวาสผ่านมาแล้ว 9 รูป ปัจจุบันคือ พระครูพิมลญาณประสิทธิ์ (พระอาจารย์เยาว์)

ศาลาการเปรียญเดิมเป็นไม้หลังเล็กอายุ 70 กว่าปี รวมทั้งพระอุโบสถหลังเก่า กุฏิสงฆ์ ชำรุดทรุดโทรม ผุพังไปตามกาลเวลา และประสบอุทกภัยน้ำท่วมเป็นเวลานานปี ครั้งละนานหลายเดือน เนื่องจากวัดตั้งอยู่ในที่ลุ่มและติดแม่น้ำ ห่างไกลความเจริญ
ต่อมาทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ดำเนินการซ่อมแซมศาลาการเปรียญขึ้นใหม่ และให้ใช้เป็นสถานที่ศึกษาเล่าเรียนของชาวบ้านหนองในดงด้วย และประทานนามว่า "ศาลาการเปรียญคุณพุ่ม"

เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2551 ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงเปลี่ยนชื่อเป็น "วัดคุณพุ่ม" ให้เป็นวัดประจำพระองค์ พร้อมประทานพระ พุทธรูปประจำพระองค์ "พระพุทธไตรย์รัตนโลกนาถ" มาประดิษฐาน ณ วิหารด้วย เพื่อไว้เป็นที่สักการบูชาของประชาชน

ปัจจุบันวัดคุณพุ่มยังต้องบูรณปฏิสังขรณ์อีกมาก ในการนี้จึงมีการจัดสร้างวัตถุมงคล "หลวงพ่อเงิน รุ่นมหามงคล 55" วัดบางคลาน จ.พิจิตร เพื่อนำรายได้สมทบทุนการบูรณปฏิสังขรณ์ โดยนำรูปแบบพระเครื่องยอดนิยมของท่านมาจัดสร้างรวมทั้งหมด 6 แบบ คือ พระบูชาหน้าตัก 9 นิ้ว, 5 นิ้ว, รูปเหมือนปั๊มพิมพ์ลอยองค์, เหรียญจอบไข่ปลาพิมพ์ใหญ่, เหรียญจอบไข่ปลาพิมพ์เล็ก, เหรียญจอบพิมพ์เล็ก และเหรียญขวัญถุง ทุกองค์มีโค้ดและหมายเลขกำกับ สร้างจำนวนจำกัด

ทั้งนี้ ได้ประกอบพิธีบวงสรวงดวงวิญญาณ หลวงพ่อเงิน พุทฺธโชติ และพิธีเททองนำฤกษ์ ณ วัดหิรัญญาราม (วัดบางคลาน) อ.โพทะเล จ.พิจิตร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 ธ.ค. 2555 เวลา 10.09 น. โดยมี นายมนัส โนนุช กรรมการและผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนมูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ ผู้แทนพระองค์ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นประธานในพิธี

สำหรับพิธีมหาพุทธาภิเษกจะมีขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 2 พ.ค. 2556 เวลา 13.09-17.59 น. ณ อุโบสถ วัดหิรัญญาราม (วัดบางคลาน) อ.โพทะเล จ.พิจิตร โดยมี นายมนัส โนนุช กรรมการและผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนมูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ ผู้แทนพระองค์ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นประธานในพิธี และอาราธนาพระเกจิอาจารย์ดังทั่วประเทศ 108 รูป นั่งปรกอธิษฐานจิต

ผู้มีจิตศรัทธาสามารถสั่งจองบูชาได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 
และ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ทุกสาขาทั่วประเทศ 
ตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงวันที่ 20 เม.ย. 2556 โทร.02-521-4257

*************************

เรื่องโดย : มติสวรรค์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

จุดไฟในใจคน : ICU (ไอซียู)

“ห้องไอซียู” รู้กันโดยทั่วไปว่าเป็นห้องของผู้ป่วยหนัก! และไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ทุกคน ต้องมีวาระโอกาสที่จำเป็นจริงๆ คนที่มีโอกาสเข้าไปในห้องนี้ได้ ต้องเกิดจากสาเหตุ 2 วาระด้วยกันคือ

1 เข้าตามวาระอันควร ตามสังขารและอายุขัย ซึ่งทุกคนต้องได้เข้าแน่นอน ถ้าวันนั้นมาถึง
2 เข้าเพราะการไม่รู้จักดูแลตัวเอง เพราะคิดว่า แข็งแรงอยู่ตลอดเวลา

ชีวิตเกิดมาไม่ว่าจะยาก ดี มี จน หรือรวยล้นฟ้า แต่ถ้าไม่ดูแลเอาใจใส่ตัวเองแล้วไซร้ ร่างกายย่อมทรุดโทรมทันตาเห็น ฉะนั้นจึงควรตระหนักสำนึกคิดอยู่เสมอว่า สุขภาพร่างกาย เป็นเรื่องใกล้ตัว ล้วนมีผลต่อบั้นปลายชีวิต และทุกคนล้วนต้องไปรวมมิตรอยู่ที่ห้องไอซียู แทบทั้งสิ้น!!!

หากย้อนกลับไปดูในสมัยปู่ ย่า ตา ยาย ของเรานั้น สถิติการเสียชีวิตจากโรคต่างๆ มีน้อยมาก ถ้าเทียบกับยุคปัจจุบัน มูลเหตุมาจากการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน ทั้งการกิน การอยู่ รวมถึงการใช้ชีวิต ซึ่งในอดีตไม่เหมือนยุคปัจจุบัน ยกตัวอย่างปัจจุบันมีการใช้สีผสมอาหาร ยาฆ่าแมลง ใส่สารกันบูด และสารเคมี ซึ่งมีพิษร้ายต่างๆนานา ทำให้เกิดอันตราย หรือที่เราเรียกกันว่า ตายผ่อนส่ง

ปัจจุบันลูกเด็ก เล็กแดง แทบจะไม่เคย เห็นหน้า ปู่ ย่า ตา ยาย เพราะต่างเสียชีวิตก่อนวัยอันควรแทบทั้งสิ้น แต่สำหรับประเด็นนี้ กลับเป็นสิ่งที่น้อยคนจะคิดได้ มักคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่มีทางเกิดขึ้นกับตัวเอง ซึ่งจากความคิดเหล่านี้ เป็นผลให้ห้องไอซียู ของโรงพยาบาลทุกที่จึงเต็มตลอด ต้องเล่นเส้นเล่นสายวิ่งเต้นแย่งกันเข้า เพื่อความอยู่รอด เสมือนหนึ่งเป็นห้องสูท ห้องสวีท ของโรงแรมระดับห้าดาว ที่ทุกคนอยากให้ญาติพี่น้องที่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วยร่อแร่ใกล้ตายมาใช้บริการ ต่างโหยหาที่จะให้ญาติพี่น้องของตนเข้าไปนอนพักรักษาตัว

จริงๆแล้วห้องไอซียู ไม่ใช่ห้องแห่งความสุข เป็นห้องแห่งความทุกข์ เพราะมันคือห้องแห่งการเปลี่ยนอนาคตของทุกคนที่ได้เข้าไปอยู่ ซึ่งมีทางเลือกสองทางเท่านั้นคือเป็นกับตาย

สำหรับพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล ท่านคือตัวอย่างของการเข้าห้องไอซียู ตามวัยและสังขารที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลา อารมณ์แห่งความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานของหลวงพ่อ อาตมาในฐานะผู้ดูแลท่าน มีความรู้สึกเช่นเดียวกับท่านตลอดเวลา

อาตมาเห็นมาทั้งหมด สัมผัสอยู่ในห้องไอซียู เห็นทุกขณะของความเคลื่อนไหวตลอดทั้งร่างกาย อารมณ์ แววตา ความรู้สึก ท่านเจ็บปวดเราก็เจ็บปวดไม่แพ้ท่าน นับเป็นประสบการณ์ตรงที่อาตมาสัมผัส และนำมาถ่ายทอดเล่าสู่กันฟังให้โยมได้รับรู้ถึงความรู้สึกตรงนั้น ห้วงเวลาแห่งความสำคัญที่จดจำไม่เคยลืมเลือน คือวินาทีแห่งความสูญเสีย ผู้ที่เรารักเคารพนับถือศรัทธาสูงสุดในชีวิต ต้องมีอันดับนิ่งไป หัวใจแทบจะดับนิ่งตามท่านไปด้วย มันเหมือนจะหยุดหายใจตามท่านไป แข้งขามือไม้อ่อนไปหมด สมองเย็นชา อารมณ์สงบนิ่ง ตื่นเต้น ตื้นตันใจ ทำอะไรไม่ถูก พะอืดพะอม กลืนไม่เข้าคายไม่ออก มึนตึ้บไปหมดทั้งหัวสมอง ช่วงนั้นในใจคิดอยู่ตลอดเวลาว่า “เราทำดีที่สุดแล้ว”

และแม้อนาคตจะเป็นสิ่งที่ทุกคนกำหนดไม่ได้ แต่ถ้าตั้งตนอยู่ด้วยความไม่ประมาทแล้วไซร้ ย่อมถึงพร้อมไปด้วยความสุข สำคัญสิ่งที่ควรประพฤติปฏิบัติคือ ควรรู้จักดูแลรักษาสุขภาพของตัวเอง สม่ำเสมอ ถ้าทำได้เฉกเช่นนี้ ก็จะดำเนินชีวิตได้โดยไม่ต้องเข้าห้องเปลี่ยนอนาคต แม้จะเป็นห้องช่วยชีวิต แต่ถ้าให้เลือก ไม่มีใครอยากเข้าแน่นอน

สำหรับการเข้าห้องไอซียู ตามสังขาร คนเราแม้จะรักษาสุขภาพให้ดีอย่างไร แต่ถ้าสังขารซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง มีอันต้องโรยราตามวัย เป็นสิ่งที่ทุกคนควรตระหนัก อย่าได้ยึดติดกับสังขาร แม้จะมีเงิน ร่ำรวย ล้นฟ้า แต่ไม่อาจยึดมั่นถือมั่น ในสังขาร เมื่อถึงเวลา ต้องทำใจ เพราะไม่สามารถกำหนดชะตา ฟ้าลิขิตได้ ทุกอย่าง เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับลง เพียงแต่ว่า จะถึงคราวของใครก่อน ถ้าเรามีสติในการใช้ชีวิต ตั้งตนอยู่ด้วยความไม่ประมาท ไม่ยึดมั่นถือมั่นในทุกสิ่ง ก็จะทำให้จากไป แบบมีคนจดจำในความดี ความมีเมตตา ถึงแม้ห้องไอซียูจะมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่ดีเลิศ มีแพทย์เก่ง แต่เมื่อถึงเวลาก็ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้

สิ่งที่ต้องคิดก็คือ “ปลง” ต้องปลงให้ได้ กับทุกสถานการณ์ คิดไว้ว่าทุกคนเกิดมาก็ต้อง “ตาย” เหมือนกันทุกคน ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้แน่นอน

หากแต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ที่เราสามารถจะรักษาได้ ให้คงอยู่แบบตลอดกาลก็คือ การทำจิตใจ ให้เข้มแข็งและแจ่มใส ซึ่งหมายความถึง การสร้างความดี การรักษาความดี การมองโลกในแง่ดี มีเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แม้ร่างกายจะร่วงโรย และดับลงในที่สุด แต่ความดี ไม่ได้ ดับลงไปด้วย

เพราะฉะนั้น เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ ต้องพึงสร้างกรรมดีเอาไว้ให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้เพราะ ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอาเอง และขอให้ทุกคนพึงระลึกไว้อยู่เสมอว่า ห้องไอซียู ที่เข้าตามวาระ เฉกเช่น พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลนั้น คือท่านเข้าตามวาระแห่งอายุขัย ที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลา และถ้าไม่อยากเข้าห้องนี้ก่อนวัยอันควร ต้องรีบไปตรวจเช็คอย่างน้อยปีละครั้งก็ยังดี และขอให้ยึดหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า “อโรคยา ปรมาลาภา” ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ

ซึ่งจะทำให้พวกเราทุกคนมีสุขภาพที่ดี เฉกเช่น คำเตือนที่ว่า “กันไว้ดีกว่าแก้ แย่แล้วจะแก้ไม่ทัน” และขอให้ทุกคนควรใช้วิจารณญาณ ถ้าคิดว่าดีและเห็นสมควรนำไปประพฤติปฏิบัติ ตั้งสติ เตือนใจ ก็จะเป็นประโยชน์และส่งผลดีเป็นที่สุดแก่ตัวเราเองอย่างแน่นอน... ขอเจริญพร

*************************






วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2556

จุดไฟในใจคน : เกิดแก่เจ็บตาย


ความจริงที่ทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ชีวิตคนเรามีความสัมพันธ์กับ 4 ข้อนี้อย่างต่อเนื่องตามลำดับ เริ่มจากเกิด แล้วก็แก่ จากนั้นก็เจ็บ สุดท้ายก็ตายในที่สุด ทั้ง 4 ข้อนี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เป็นกฎธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งทุกคนที่เกิดมาในโลกใบนี้ ต้องได้สัมผัสเรียนรู้ และมีจิตสำนึกตระหนักถึงความสำคัญในความจริงของแต่ละประเด็นนี้

ที่สำคัญต้องไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต พยายามเรียนรู้ค้นหาความจริงให้ถึงแก่นแท้ของสัจจะธรรม ถ้ารู้ซึ้งและปฏิบัติตามทำนองคลองธรรม ก็จะส่งผลทำให้บั้นปลายชีวิต มีแต่ความสุข ความสบายใจ มีความเจริญรุ่งเรือง และเป็นแบบอย่างที่ดีของคนรุ่นต่อไป

เกิดมาชาติหนึ่งก่อนตายควรมุ่งมั่นทำความดี อันประกอบด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ ขยันหมั่นเพียร มานะอดทน วางแผนชีวิตด้วยความรอบคอบ รู้จักประมาณตน อ่อนน้อมถ่อมตน กตัญญูมีเมตตา รู้จักให้อภัย และพยายามรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดูแลตรวจสอบเช็คสภาพร่างกาย ไปพบแพทย์เป็นประจำ รับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ทำบุญสุนทาน นั่งสมาธิเจริญจิตภาวนา ทำได้เช่นนี้ชีวิตจะมีแต่ความสุข

คนเราเมื่อสุขภาพดี การงานก็ดีตามไปด้วย เพราะสมองแจ่มใส มีสมาธิสมบูรณ์ ร่างกายแข็งแรง สติปัญญาโล่งโปร่งใส คิดอ่านอะไรมีแต่เรื่องดีงาม สร้างสรรค์จรรโลงใจตลอดเวลา ทั้งหมดนี้คือ พื้นฐานชีวิต ที่ดำเนินภายใต้กฎเกณฑ์แห่งสัจจะธรรม อันก่อเกิดขึ้นด้วย สายพานแห่งชีวิตที่ลิขิตให้ต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย

วันเวลาทำให้หลายคนเปลี่ยน โดยเฉพาะร่างกาย ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากเต่งตรึงก็กลายเป็นเหี่ยวย่น สำคัญที่ต้องปลงให้ได้ ทำใจพร้อมรับสภาพการเปลี่ยนแปลง คิดเสียว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอและสัมผัส ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ

จิตใจและร่างกายสำคัญที่สุดสำหรับคนแก่ คนเฒ่า คนชรา มีความจำเป็นต้องถนอมไว้ ความแก่มาพร้อมกับอาการ เจ็บป่วย พอแก่แล้วก็ต้องเจ็บ เพราะการเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นเรื่องธรรมดา ร่างกายคนก็เหมือนกับรถยนต์ ใช้ทุกวัน ขับทุกวัน กระแทกกระทั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมานานหลายปี โชกโชนสมบุกสมบัน ลุยงานมาทุกรูปแบบ พอถึงเวลาถ้าทรุดหรือชำรุดก็ถือว่าไม่ผิดปกติแน่นอน เพราะไม่มีใครไม่เจ็บ และไม่มีใครอยากเจ็บ ทุกคนกลัวความเจ็บป่วย กลัวหมอ กลัวพยาบาล กลัวต้องเข้าโรงพยาบาล กลัวห้องไอ ซี ยู แม้จะมีเงินล้นฟ้า แต่ไม่อาจจะยึดมั่นในสังขารได้ เมื่อมันถึงเวลา เพราะเราไม่สามารถกำหนดชะตา ฟ้าลิขิตได้ แม้ว่าร่างกายจะร่วงโรยและดับลงในที่สุด แต่ความดี ไม่ได้ ดับลงไปด้วย เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ต้องพึงสร้างกรรมดีเอาไว้ให้มากที่สุด เพราะ ความดี ไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง


เมื่อความเจ็บได้ที่ อิ่มตัว สุดท้ายความตายก็มาเยือน และพึงสอนตัวเองไว้เสมอว่าทุกคนต้องตาย ต้องพึงสังวร ต้องเตือนตอกย้ำตัวเองว่า ถึงวันหนึ่งเราก็ต้องตายเช่นกัน

ความตายมีหลายรูปแบบ คนทำดีก็ตายดี คนทำชั่วก็ต้องตาย แต่สำหรับคนที่ทำความดีนั้น เมื่อตายแล้ว จะได้รับการชื่นชม สรรเสริญ ยกย่อง มีคนร้องไห้เสียใจมากมายกับการตายจากไป เมื่อคนดีตาย โลกก็จารึก บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ เล่าขานไม่รู้จบถึงความดี พูดถึงทีไรก็มีแต่ความสุขใจ มีแต่ความปิติยินดีกับสิ่งที่ทำไว้ ผลงานเป็นที่ประจักษ์ คนข้างหลังสามารถดำเนินรอยตามอย่างมีความสุข

สำหรับคนที่ชอบทำเลวทำชั่ว ก็ต้องตายแบบทุกข์ทรมาน เจ็บปวดแสนสาหัส ลำบากยากแค้น ตามกรรมที่สร้างไว้ ต้องอับอายขายขี้หน้า กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่ง พาดหัวบอกกล่าว แฉถึงความเลวทรามต่ำช้า

นี่ขนาดตายแล้วยังถูกประณาม เพราะความชั่วความเลวที่สะสมไว้ นับเป็นการตายที่ไม่มีใครอยากได้ เพราะญาติมิตรก็มีแต่ความอับอายขายขี้หน้า ชาวบ้านกร่นด่าสาปแช่ง เป็นการตายที่ทิ้งความชั่วความทุกข์ไว้ให้คนข้างหลัง

ที่สุดแห่งชีวิต นับเป็นกงล้อแห่งกรรมที่ต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย และสุดท้ายก็ต้องมารวมมิตรกันอยู่ที่เมรุหรือฌาปนสถาน ปลายทางสุดท้าย ที่หลายคนไม่พึงปรารถนา ภาพของญาติพี่น้องที่มารวมตัวกัน รดน้ำศพ ส่งเสียงร้องไห้ระงม เสียงพระสงฆ์สวดพระอภิธรรมศพสำเนียงวิเวกวังเวง ฟังแล้วโหยหวนน่ากลัว ชวนขนหัวลุก และวันสุดท้ายก่อนที่จะนำร่างที่อยู่ในโลงขึ้นสู่เมรุ เสียงพระสงฆ์แสดงธรรมเทศนา ญาติพี่น้องร่วมฟังด้วยใจอาลัยสงบ พระสงฆ์สวดมาติกา บังสกุล สับปะเร่อยกขึ้นสู่เตาเผา เพื่อเตรียมฌาปนกิจ ญาติพี่น้องร่วมกันประชุมเพลิง ณ ฌาปนสถาน

ดอกไม้จันทน์ ถูกไฟจุดเผา ดอกแล้วดอกเล่า ถูกจับวางลงข้างโลง เปลวไฟลุกโชติช่วง เป็นภาพแห่งความเศร้า ที่ติดตราตรึงใจ ญาติพี่น้องกอดคอร่ำไห้ อาลัยครั้งสุดท้าย นับเป็นภาพสะท้อนชีวิต ที่ทุกคนไม่สามารถหลีกพ้นบ่วงกรรมนี้ไปได้ แม้แต่คนเดียว จะให้ยิ่งใหญ่ร่ำรวยล้นฟ้าขนาดไหน ไม่มีใครพรากชีวิตเราไปจากมัจจุราช

เปลวไอความร้อนพวยพุ่งสู่อากาศ แม้ปัจจุบันจะเป็นเมรุไร้มลพิษ แต่ภาพของวิญญาณที่ผุดออกจากปล่องไฟ สะท้อนความนัยไว้หลายอย่างมากมาย ทำให้หวนคิดระลึกถึงเงาอดีตต่างๆมากมายที่ได้ร่วมสร้างกันไว้ทั้งความดีและความเลว เป็นเปลวแห่งจิตสำนึกที่ทำให้ปลงสังเวชในร่างกายที่ไม่จีรัง กลายเป็นเถ้าถ่าน เหลือเพียงกระดูกเท่านั้นที่เป็นเครื่องยืนยันว่าเคยเป็นคน!?!

“ประชุมเพลิง ประชุมความเศร้า ประชุมเพื่อไว้อาลัย กับครั้งสุดท้ายแห่งการมีร่างกาย” ขอเจริญพร

*************************





วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

จุดไฟในใจคน : โง่แต่ซื่อสัตย์

เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน ที่กำลังติดตามอ่านคอลัมน์จุดไฟในใจคนอยู่ในขณะนี้ วันนี้อาตมามีเรื่องสนุกๆมาเล่าสู่กันฟัง แต่ก็มีนัยให้แง่คิดดีๆ นำมาให้พวกเราได้อ่านเป็นอุทาหรณ์สอนใจ เพื่อความเป็นสิริมงคล “เพื่อจุดประกายประเทืองในสติปัญญา” ซึ่งอาตมาเชื่อว่าน่าจะโดนใจใครหลายคน

อาตมาตั้งชื่อเรื่องนี้ไว้ว่า “โง่แต่ซื่อสัตย์” ฟังดูแปลกดี ลองติดตามอ่านกันดู แล้วจะรู้ว่า สะท้อนทุกเหลี่ยมมุมของชีวิต?

เรื่องจริงมีอยู่ว่า อาตมามีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่ง ทำหน้าที่ขับรถให้อาตมา อยู่นานหลายปี ปัจจุบันอายุ 50 กว่าๆ เป็นคนขยันขันแข็ง ทำงานในหน้าที่ไม่ถึงกับดีเลิศ แต่ออกแนวซื่อๆ ถึงโง่เลยก็ว่าได้ เวลาอาตมาให้ขับรถไปตามงานต่างๆ ที่มีกิจนิมนต์ เขาจะไม่เคยจำเส้นทางหรือสถานที่ต่างๆได้เลย แม้แต่ที่เดียว นี่เริ่มฉายแววความจำไม่ดีให้เห็นอย่างเด่นชัดขึ้น

อาตมาต้องคอยบอกทางทุกครั้ง ถ้าไม่บอกเขาก็จะลืม แล้วก็ขับเลยไปทุกครั้ง หรือบางครั้งก็ขับหลงทางไปเรื่อยเปื่อย เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นประจำ!!! ทำให้อาตมาเกิดความรู้สึกเอือมระอา แต่ก็ต้องอดทน เพราะเขาก็ยังมีความดีแฝงอยู่ในตัวตน

นี่คือพฤติกรรมที่เขาเป็นอยู่ ซึ่งอาตมาก็พอจะเข้าใจ ในสติปัญญาที่เขามีอยู่ และตัวเขาเองก็ยอมรับอยู่เสมอว่า “ผมไม่ใช่คนฉลาด ผมทำได้แค่นี้จริงๆ” 

ในมุมมองของอาตมา ที่อยู่กับเขามานาน เห็นถึงความจริงใจ ในสัจจะธรรมที่มีความรับผิดชอบในหน้าที่ เขาเป็นคนรักการขับรถ รักรถ เช็ดรถล้างรถ ทำความสะอาดดูแลรักษารถได้เป็นอย่างดี ในจุดนี้อาตมายกย่องเขามากเป็นพิเศษ และที่ต้องยกย่องอีกอย่างหนึ่ง คือการขับรถดีมีวินัย ไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ นี่คือตัวอย่างที่ดีของคนขับรถโดยทั่วไป

มีอีกอย่างหนึ่ง ที่อาตมามีความรู้สึกว่า คนขับรถของอาตมาคนนี้มีความสมบูรณ์ในตัวตน คือความกตัญญูกตเวที ที่บ่งชี้ว่าเป็นเครื่องหมายของคนดี และควรประกอบด้วยความขยัน ความซื่อสัตย์ ความอดทน และความรู้บุญคุณคน 4 ข้อนี้มีอยู่ครบถ้วน

ปัจจุบันลูกศิษย์คนขับรถคนนี้ ได้ลาออกไปแล้ว เขาไปตามเส้นทางความฝันของเขา แต่ที่วัดของอาตมา ยังมีลูกศิษย์เข้ามาฝากตัวทำงานอีกรายหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะโง่แต่ซื่อสัตย์ เขามีชื่อเล่นว่า “หนุ่ม” เดินทางมาจากจังหวัดราชบุรี อายุ 27 ปี

เขาบอกว่าเขาติดตามอาตมาตั้งแต่สมัยเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน และทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 รายการคิดดีทำดี รายการคิดไม่ออกบอกหลวงพี่น้ำฝน เป็นต้น

จากนั้นเขาก็มาหาที่วัด บอกอยากมาอยู่ด้วย มาขอสมัครงาน ขอทำอะไรก็ได้ แล้วแต่หลวงพ่อน้ำฝนจะเมตตา อาตมาก็เลยรับเขาไว้ ให้ทำหน้าที่ล้างห้องน้ำ ห้องส้วม ซึ่งเขาก็ยินดี แรกๆเด็กคนนี้เป็นคนขยัน ตื่นแต่เช้ามืด ออกจากวัดไปบิณฑบาตกับพระทุกช้า ช่วยถือข้าวปลาอาหาร ทำหน้าที่เป็นลูกศิษย์วัด พอกลับมาถึงวัด เขาก็จะกวาดลานวัด ล้างห้องน้ำ ช่วยเหลืองานภายในวัดทุกอย่าง แต่หลังๆมานี่ เริ่มขี้เกียจ แอบอู้งาน เป็นบางครั้งบางคราว ซึ่งเราก็เข้าใจในความเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์แบบของเขา

บางทีก็ช่วยงานที่กุฏิอาตมา ซึ่งต้องยอมรับว่า มีของมีค่ามากมายพอสมควร แต่นายหนุ่มคนนี้ ก็แสดงให้เห็นถึงความไม่โลภมาก ไม่ลักเล็กขโมยน้อย ให้หยิบเงินหยิบทอง ก็ไม่ต้องห่วงว่าเขาหยิบฉวยเอาไป เขาแสดงความซื่อสัตย์ให้เห็น จนเป็นที่ไว้วางใจได้ และที่สำคัญเขามีความกตัญญูกตเวทีสูงมาก เงินเดือนที่ได้ส่วนหนึ่งให้พ่อ เพราะแม่เขาเสียไปแล้ว และอีกส่วนอาตมาให้เขาเปิดบัญชีธนาคาร ฝากไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน และอาตมาได้ทำประกันสังคมไว้ให้เขาอีกด้วย

ส่วนจุดอ่อนนั้น มีบางสิ่งบางอย่างที่ฟ้องถึงความไม่เฉลียวฉลาดของเขา ซึ่งบางครั้ง ยังมีเรื่องของความขี้เกียจเข้ามาเกี่ยวข้อง มีอู้งานบ้าง ซึ่งก็อะลุ่มอล่วยกันไป เพราะเด็กที่มาทำงานอยู่ในวัดไผ่ล้อม และมูลนิธิหลวงพ่อพูล ทุกคน ล้วนมาจากร้อยพ่อพันแม่ อาตมาก็ต้องมานั่งอบรมสั่งสอน บางคนทำตัวเหมือนคอมพิวเตอร์ ต้องคอยป้อนข้อมูล Update อยู่ตลอด เวลาใช้งานก็ต้องกด Enter เป็นอย่างนี้อยู่หลายคน คือหัวสมองเขาไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น และคงไปทำงานที่ไหนไม่ได้จริงๆ อาตมาก็ต้องรับไว้ดูแล บางคนก็ต้องคอยถามพ่อแม่ที่นำมาฝาก ว่ามีโรคภัยไข้เจ็บอะไรหรือไม่ ถ้ามีก็ให้เอายามาด้วย และถ้ายาหมดต้องไปหาหมอ วันเวลาไหนต้องแจ้งมาให้ทราบด้วย

เด็กทั้งหมดนี้ มีจุดเด่นคือ ความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งถือเป็นความโชคดีของพวกเขา ที่เบื้องบนยังเมตตา ให้ความเป็นคน “คิดดี ทำดี” เป็นของขวัญให้พวกเขาติดกายมา แต่เรื่องความโง่นั้น ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ สอนสั่งกันได้ ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เพราะไม่มีพิษมีภัยอะไร??? แค่คอยระวังเรื่องความขี้เกียจเท่านั้น

ทุกวันนี้หลายคนมีความรู้ความสามารถ ทางมูลนิธิหลวงพ่อพูล มีเจ้าหน้าที่รุ่นพี่คอยสอนให้วิชาความรู้ เรื่องการซ่อมคอมพิวเตอร์ สอนเล่นดนตรี สอนมิกเซอร์ สอนเรื่องการใช้เครื่องเสียง ฝึกจากการเป็นเด็กคอนวอย ฝึกล้างรถ ดูแลซ่อมรถเบื้องต้น เรียนเป็นช่างไฟฟ้า ช่างไม้ พนักงานขับรถ เป็นต้น

ทุกคนที่มาอยู่วัดไผ่ล้อม ภายใต้มูลนิธิหลวงพ่อพูล ถ้าผ่านสถานที่แห่งนี้ไปได้แล้ว ทุกคนมีวิชาความรู้ติดตัวไปทุกคน สามารถนำไปประกอบอาชีพได้อย่างบริบูรณ์ ประสบความสำเร็จในชีวิตไปแล้วก็มากมายหลายคน ส่วนใหญ่ที่มาอยู่วัดไผ่ล้อม ไม่มีใครอยากออกไปอยู่ที่อื่น นอกจากมีความจำเป็นจริงๆ บางคนเข้าซึ้งถึงรสพระธรรม ขอบวชเรียนเป็นพระเป็นเณร จำพรรษาอยู่วัดไผ่ล้อมก็หลายรูปเช่นเดียวกัน

นี่คือความสำเร็จที่มูลนิธิหลวงพ่อพูล ซึ่งมีบุคลากรหลายฝ่าย เสียสละอุทิศตนเข้ามาทำงาน ทุกคนล้วนมีจุดเด่นโดยเฉพาะความซื่อสัตย์ ขยัน อดทน และรู้บุญคุณคน รวมไปถึงการรู้เท่าทัน ลดละ ต่อความโลภ ความโกธร และความหลง เพราะสุดท้ายทุกคนล้วนหนีไม่พ้น การเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างแน่นอน อาตมามักจะสอนเสมอให้เด็กๆ เหล่านี้พึงสังวร เพราะถึงพวกเขาจะโง่อย่างไร ถ้าซื่อสัตย์แล้วไซร้ย่อมดีกว่า ฉลาดแล้วโกง

“คนโง่แต่ซื่อสัตย์” ถ้าขี้เกียจ ไม่มีความรับชอบ ชีวิตก็คงไม่เจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน... ขอเจริญพร

*************************




วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

จุดไฟในใจคน : บุญไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องทำเอง

คำโบราณกล่าวไว้ว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" หรือตนต้องพึ่งตน นั้นสำคัญที่สุด ในยุคนี้อย่าหวังให้ใครมาช่วยเหลือ โดยไม่หวังผลตอบแทน แม้แต่ญาติสนิทมิตรสหาย บางทีพี่น้องด้วยกันแท้ๆ ยังพึ่งไม่ได้... นี่ก็คือความจริง ที่ปรากฏในสังคมปัจจุบัน

ฉะนั้นถ้ามีโอกาสควรเร่งสะสมบุญ เพราะบุญไม่ใช่ของที่จะมาซื้อขายกันได้ง่ายๆ การสร้างบุญเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด “บุญนั้นคือแก่นแท้ในทางพระพุทธศาสนา”

“การทำบุญ” 
ทำให้เราเกิดความสบายใจ ทำแล้วเกิดประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม เกิดประโยชน์โดยตรงต่อผู้ที่ได้รับ และบุญนั้นไม่มีขาย ถ้าอยากได้ทุกคนต้องเร่งทำเอาเอง และที่สำคัญผู้คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า การทำบุญต้องใช้เงินทองเป็นตัวชี้นำ

แต่ในความเป็นจริงแล้ว เกิดจากแรงศรัทธา ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเพียงอย่างเดียว เราสามารถใช้การกระทำที่เป็นการแสดงออก ถึงการทำบุญได้เช่นกัน เพราะบุญคู่กับการกระทำทั้งทางกายและจิตใจ ต้องคิดดี ทำดี ทำสม่ำเสมอ โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ส่วนผลที่ได้รับกลับมานั้นแน่นอนที่สุดคือความสบายใจ



ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเห็นคนแก่คนเฒ่า ร่างกายไม่แข็งแรง อายุขัยโรยราไปตามวัย เมื่อท่านรอจะเดินข้ามถนนด้วยท่าทางงกๆ เงิ่นๆ เมื่อเราเห็นก็ควรแสดงน้ำใจ โดยเข้าไปช่วยเหลือพยุงท่าน...พาเดินข้ามถนน การกระทำเช่นนี้ถือเป็นสิ่งที่ดีมากๆ ใครเห็นก็ชื่นชม และที่สำคัญควรทำด้วยจิตใจที่เคารพและเมตตา แสดงออกถึงความเป็นคนมีน้ำใจดี

สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมในเบื้องต้นคือ คนแก่ก็จะให้ศีลให้พร ขอบอกขอบใจ อวยพรให้มีความเจริญรุ่งเรือง เช่น “ไอ้หนูเอ้ยขอให้มีความสุขความเจริญนะลูก ขอให้ร่ำรวย ขอให้การงานก้าวหน้า ขอให้ร่างกาย แข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วย”

เท่านี้บุญก็จะเกิดขึ้นในทันที!!! เพราะถือว่าผู้หลักผู้ใหญ่ได้ให้พร ถือเป็นพรอันประเสริฐ เราในฐานะผู้รับพรนั้นก็จะมีแต่ความสุขความเจริญยิ่งๆขึ้นไป

ประเด็นนี้เห็นผลชัดเจนว่า บุญนี้ปรากฏขึ้นโดยไม่ต้องใช้เงินหรือปัจจัยแม้แต่บาทเดียว การตั้งใจแม้เพียงการกระทำเท่านั้นก็จะสัมฤทธิ์ผลทันตาเห็น ที่สำคัญต้องทำจากจิตใจที่บริสุทธิ์ ซึ่งเกิดจากส่วนลึกจากข้างในเป็นอันดับแรก...ใจที่ดีเกิดจากการหมั่นทำ หมั่นสร้างให้เคยชิน ทำให้เป็นนิสัย ทำให้เป็นสันดานที่ดี ทำให้เกิดเป็นความเคยชินก็จะเกิดประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมอย่างมหาศาล

การสร้างบุญนั้นอย่าไปยึดติดหรือหลงงมงายและอย่าหวังผล โดยหวังให้บุญกุศลนั้นกลับคืนมา อย่าทำโดยหวังได้สิ่งตอบแทน อย่าหวังลมๆแล้งๆ และอย่างมงายกับสิ่งที่เรายังไม่เคยเห็น หรือสัมผัส โลกเราทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ตกต่ำตามสภาพจิตใจ...คนส่วนใหญ่มักถูกหลอกให้ทำบุญ ทั้งๆที่ไม่เคยรู้เลยว่า บุญจริงๆนั้นมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร แต่ก็หลงใหลได้ปลื้มไปกับบุญจอมปลอม…โดยเชื่อว่าทำบุญแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ ไม่ตกนรก จะเจริญก้าวหน้า อยู่ดีมีสุข นี่คือความหวัง มิใช่บุญที่แท้จริง

บุญแท้ๆ นั้นควรเกิดจากการกระทำ อย่างเช่น เราไปปล่อยนกปล่อยปลา ก็ถือเป็นการให้อิสระกับสัตว์เหล่านั้น หรือถ้าคิดย้อนมาที่ตัวเรา ถ้าใครนำเราไปขัง นำไปทรมาน เราก็ไม่ชอบ ไม่มีความสุข มีแต่ความกังวลใจและไม่มีใครชอบเช่นกัน เพราะทำให้ทุกข์ทรมาน ขาดอิสรภาพ เกิดความลำบากยากแค้นทั้งทางกายและจิตใจ 

ฉันใดก็ฉันนั้นสัตว์เมื่อโดนกักขัง หน่วงเหนี่ยว หรือทำให้ทรมาน ย่อมมีแต่ความเศร้าหมอง เจ็บปวด ร้าวราน แต่ถ้าเรานำสัตว์ไปปล่อยให้อยู่ตามธรรมชาติ ชีวิตเขาก็จะมีความสุขตามที่ต้องการ และที่สำคัญเราในฐานะคนปล่อยเขาให้เป็นอิสระ ก็จะเกิดความสุขใจ จิตใจสบาย มีแต่ความอิ่มเอม มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส อย่างที่หลายคนชอบพูดว่า หน้าตาอิ่มบุญนั่นเอง

นี่เป็นหลักคิด หลักปฏิบัติง่ายๆ ที่ไม่แฝงอะไรให้ซับซ้อน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ควรเกิดขึ้นกับทุกครอบครัว และควรเริ่มจากที่บ้าน ถ้าบ้านดี ครอบครัวดี ชีวิตประจำวันดี ครอบครัวก็มีความสุข อย่างเช่น ในบ้านของเราถ้ามีคนแก่ มีผู้สูงอายุ มีพ่อแม่ปู่ย่าตายาย เราก็ควรให้การดูแลปรนนิบัติรับใช้ท่านด้วยความเต็มใจ เพราะท่านอายุมากแล้ว ร่างกายย่อมไม่แข็งแรง ด้วยอ่อนแอไปตามวัย เราในฐานะที่ยังหนุ่มสาว ร่างกายแข็งแรงมีกำลังวังชามากกว่า ควรช่วยเหลือดูแล ป้อนข้าวป้อนน้ำให้อาหารท่าน โดยไม่แสดงความรังเกียจ เพราะตอนเด็กๆ ท่านก็เคยดูแลเราในลักษณะนี้เช่นกัน

ฉะนั้นควรดูแลเลี้ยงดูพ่อแม่ปู่ย่าตายายด้วยความเคารพ แสดงความกตัญญูด้วยความจริงใจ ชีวิตจะเกิดความสุข มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง อานิสงส์ของ “กำลังใจ กำลังบุญ” จะบังเกิดขึ้นได้นั้น ต้องทำด้วยความเต็มใจเป็นสำคัญ ปัญหาสังคมทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่ มักโดนหลอกให้เชื่อในเรื่องของการทำบุญกันมาก ถูกให้ทำโดยไม่เต็มใจและหลงไปกับการกระทำแบบผิดๆ

หลายคนเสียเงินเสียทองแต่ไม่เกิดประโยชน์อะไร??? แทนที่จะได้ความสบายใจ กลับได้ความทุกข์กลับไป ยิ่งคนที่มีจิตใจอ่อนแออยู่แล้ว เมื่อมีปัญหาชีวิตก็มักจะเกิดอาการสับสน และเมื่อถูกหลอกให้ไปทำบุญแบบผิดๆ อย่างเช่นการทรงเจ้าเข้าผี ก็ยิ่งทำให้แย่ไปกันใหญ่ พาให้ทุกข์หนักเพิ่มขึ้น ครอบครัวเสียหาย ผัวเมียทะเลาะกัน บางบ้านจนอยู่แล้วกลับทำให้จนหนักยิ่งขึ้น เพราะถูกหลอกให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร

ฉะนั้นการทำบุญนั้น ควรทำด้วยความเต็มใจ ทำอย่างถูกต้อง ถูกที่ถูกทาง โดยการช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก ช่วยเหลือดูแลคนเฒ่าคนแก่ เลี้ยงดูพ่อแม่ ปล่อยนกปล่อยปลา ช่วยเหลือสัตว์ให้เป็นอิสรภาพ และประพฤติปฏิบัติทำแต่สิ่งที่ดี คิดแต่สิ่งที่ดี ซึ่งนับเป็นวิธีการง่ายๆ โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปทำที่ไหน เริ่มทำที่บ้าน ทำกับคนในครอบครัวทำกับ พ่อแม่ อานิสงส์นี้จะบังเกิดเป็นรูปธรรม แค่นี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับคำว่า “บุญ”

นี่คือตัวอย่างของการทำบุญ ซึ่งจริงๆ แล้วยังมีอีกมากมายที่ทุกคน สามารถเลือกทำได้ ทุกวาระโอกาส บุญทำได้ตลอดเวลา ไม่เลือกเวลาและสถานที่ 

ท้ายสุดนี้ขอให้ทุกคนหมั่นสร้างความดี อะไรที่เราคิดว่าทำดีแล้ว ก็จะก่อเกิดเป็นบุญขึ้นมาและจะพาให้เรามีแต่ความสุขทั้งกายและจิตใจ สมกับคำว่า “บุญไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง”

การทำบุญที่ดีนั้น ควรทำให้ใจสบาย และต้องใช้วิจารณญาณบวกกับความพยายามอยู่บ้าง เสมือนหนึ่งการ “ฝนทั่งให้เป็นเข็ม” ที่ต้องอาศัยความมุมานะ ตั้งอกตั้งใจ วางกรอบชีวิตให้ดีอย่างมีระบบระเบียบแบบแผน มีวินัย ชีวิตก็จะมีแต่ความสุขสมหวัง อันเป็นอานิสงส์ผลบุญที่ทำด้วยใจที่มานะ เพราะความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน

*************************





จุดไฟในใจคน : อิจฉาริษยา

มนุษย์ ล้วนมีความอิจฉาริษยา สะสมอยู่ในใจแต่จะน้อยหรือมากนั้น ขึ้นอยู่กับสติปัญญา สิ่งที่เป็นสัจจธรรม ก็คือมนุษย์มีความอิจฉาริษยาทุกคน เมื่อแสดงออกบ่อย ๆ ก็เข้าข่ายเป็นนิสัยสันดาน อิจฉา เป็นความรู้สึกที่ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี กลัวดีเด่นเกินหน้า หรือเท่ากับตนจึงทนไม่ได้ ริษยา เป็นนิสัยที่เวลาเห็นคนอื่นได้ดีแล้วทนไม่ได้ เกิดลักษณะ อาฆาต คิดแค้น เพราะไม่อยากให้ใครได้ดี และมักใช้คำสองคำนี้รวมกัน คือ อิจฉาริษยา

ลักษณะของความอิจฉาริษยาในชีวิตประจำวันมีมากมาย เช่น เพื่อนอิจฉาเพื่อน ได้ข่าวว่าเพื่อนปลูกบ้านใหม่ เมื่อไปเห็นแล้วว่าบ้านเพื่อนสวยงาม เกิดความอิจฉาริษยาว่าทำไมเขามีบ้านสวยงามกว่าบ้านตน ทนไม่ได้ จะไม่ยอมไปบ้านเพื่อนอีกเลย และหาทางว่าเขาไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้

พี่น้องอิจฉากัน ถ้าพ่อแม่เลี้ยงดูไม่ดีมีอคติ ลำเอียงให้เห็น จะทำให้ลูกกลายเป็นคนมีลักษณะขี้อิจฉาทันที

คนที่มีนิสัยขี้อิจฉาริษยามีมากขึ้น ปัจจุบันในสังคมทุกวันนี้ ใครที่ทำความดีถูกชมเชยมากๆก็ถูกอิจฉาและหมั่นไส้ได้ง่าย บางคนเห็นเพื่อนได้ดี ถูกชมเชยมากๆ เลยเลิกคบเพื่อนไปเลยก็มี

ความอิจฉาริษยาเป็นเรื่องของความก้าวร้าว สันดานดิบ ที่ทำให้มนุษย์อยู่รวมกันได้ยาก ซึ่งตรงข้ามกับคุณธรรม ที่ทําให้มนุษย์อยู่รวมกันได้ดี คือความรัก ความเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ซึ่งนับวันจะไม่มีคนสั่งสอน และคนมักจะไม่สนใจทำตาม

ทำให้ทุกวันนี้เราต้องอยู่ในสังคมของคนที่มีนิสัยอิจฉาริษยามากขึ้น ทั้งมนุษย์ปุถุชนทั่วไปหรือแม้นักบวชก็ยังมี เฉกเช่นอารมณ์ต่างๆเหล่านี้

" น่าอิจฉาจังเลยนะ...คนอะไรก็ไม่รู้เกิดมาสวยก็สวย รวยก็รวย "

" คนอะไรทำไมโชคดีอย่างเนี้ย ได้ขึ้นเงินเดือนแถมยังได้เลื่อนตำแหน่งอีกต่างหาก น่าอิจฉาจัง "

ประโยคเหล่านี้ เราคงจะได้ยินกันบ่อย ๆ ในแต่ละวัน บางครั้งตัวเราเองเสียด้วยซ้ำที่พูด มีความรู้สึกอิจฉาต่อผู้อื่น บ่อยครั้งที่หลายคนรู้สึกอิจฉาวูบขึ้นมา เมื่อมีเพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้องทำบางสิ่งบางอย่างสำเร็จ

ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากประสบความสำเร็จแบบผู้อื่น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความอิจฉาทั้งสิ้น ความรู้สึกนี้ถ้าเกิดขึ้นกับใคร จะทำให้รู้จิตใจไม่เป็นสุข ไม่สบายใจ ร้อนรุ่ม อาจทำให้ความสัมพันธ์ หรือความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้ต้องมีอันเป็นไป ในบางครั้งความอิจฉาเกิดขึ้นชั่วครู่ชั่วยาม แล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ในบางครั้งอยู่กับตัวเรายาวนาน สลัดเท่าไหร่ไม่หลุดซักที เหมือนกับการที่เข้าไปติดกับสัตว์ร้าย ยากที่จะหนีรอดออกมาได้


ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรได้มาฟรี เมื่อได้ มาก็ต้องเสียบางอย่างไป เพื่อแลกเปลี่ยนกัน อย่างเช่น เพื่อนได้เงินเดือนขึ้น เนื่องจากทำงานเกินเวลาแทบทุกวัน จนเป็นที่อิจฉา แต่อย่าลืมว่า เขาก็จะมีเวลาในการพักผ่อนหลังเลิกงานน้อยลง ในขณะที่คุณอาจใช้เวลาตรงนี้ เพื่อทำสิ่งต่าง ๆ ได้ จงตระหนักว่าความสำเร็จยังคงรอคอยคุณอยู่ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราอิจฉาในความสำเร็จของใครสักคน อาจเป็นเพราะคุณรู้สึกว่าถูกแย่งชิงโอกาสนั้นไป ในทางกลับกัน เมื่อคนอื่นประสบความสำเร็จ ทำให้รู้สึกว่าตัวเอง ได้พลาดโอกาสดี ๆ ไป รู้สึกว่าโดนทอดทิ้ง โอกาสที่จะได้ขึ้นเงินเดือนอาจหมดไป แต่อย่าลืมว่าโอกาสไม่ได้มีเพียงแค่ครั้งเดียว ในชีวิตการทำงาน ควรพอใจในสิ่งที่ตนเป็น เพราะสิ่งที่เป็นหรือมีอยู่ อาจจะเป็นที่อิจฉาของผู้อื่น โดยที่อาจจะไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยก็เป็นได้ เพื่อนของคุณอาจจะทำงานเกินเวลาไป พร้อมกับแอบอิจฉาคุณอยู่ในใจ ที่คุณได้กลับบ้าน ไปดูหนัง พักผ่อน ในขณะที่เขายังต้องทำงานอยู่เลย

เมื่อความอิจฉาแปรเปลี่ยนเป็นยาชูกำลังสำหรับชีวิต ความอิจฉาจึงไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเสมอไป คุณจะต้องรู้จักวิธีการควบคุม และนำไปใช้กับชีวิตของคุณเองให้เหมาะสม ทำอย่างไรจึงจะทำให้ความอิจฉามีประโยชน์ และเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิต

ต้องรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของความอิจฉาซึ่งเป็นความรู้สึกปกติของคนทุกคนที่เกิดขึ้นได้ แต่แทนที่จะมานั่งทุกข์ใจ แค้นใจ คุณควรที่จะลองค้นหาดูสิว่า ที่แท้จริงแล้วนั้นคุณต้องการอะไรกันแน่ คุณรู้สึกอิจฉาผู้อื่นเพราะอะไร และจะเป็นการดีถ้าคุณจะมองข้ามมันไปซะ ไม่ไปกลัดกลุ้มและกังวลใจกับมันอีก ซึ่งนั่นจะทำให้คุณรู้สึกสบายใจขึ้น แปรเปลี่ยนให้เป็นพลัง เป็นการยากที่คนเราจะสามารถเอาชนะความอิจฉา ได้ด้วยตัวเราเอง และมองข้ามมันไป อย่างไรก็ตามจงแปรเปลี่ยนความอิจฉา ให้กลายเป็นพลังผลักดันให้มีกำลังใจในการต่อสู้ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายหรือความสำเร็จที่ต้องการ ยิ่งคุณให้ความสนใจกับเป้าหมายของตัวคุณเองมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้คุณกำจัดความอิจฉาออกไปได้เร็วขึ้นเท่านั้น

หลากหลายในความคิด คนเราแต่ละคนต่างให้คำจำกัดความ ของความสุขแตกต่างกันไป

บางคนอาจหมายถึงการมีเงินทอง บางคนอาจจะเป็นความสวยงามยิ่งสวยยิ่งมีความสุข หรือบางคนอาจจะอยู่ที่ความสำเร็จในชีวิต หลายคนตั้งเป้าหมาย และมุ่งที่จะประสบความสำเร็จ ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว จึงทำให้รู้สึกผิดหวังเมื่อมันไม่สมบูรณ์แบบ หรือรู้สึกเสียใจอย่างรุนแรง เมื่อพบว่ามีผู้อื่นได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ เราจึงควรมองโลกให้กว้าง สร้างความหลากหลายในความคิด และในเป้าหมายของความสำเร็จ ไม่ใช่ว่าจะมองเพียงจุดใดจุดหนึ่งเท่านั้น

ในชีวิตของคนเราสามารถพบความสำเร็จได้หลายทาง ไม่จำเป็นที่จะต้องไปอิจฉาความสำเร็จของใคร ความอิจฉาเป็นสิ่งที่มีทั้งคุณและโทษในตัวของมันเอง ถ้ารู้จักใช้ก็จะกลายเป็นแรงสนับสนุน และสร้างกำลังใจที่ดี ในการดำเนินชีวิตทางหนึ่งเช่นกัน

ความอิจฉานั้นเกิดขึ้นได้ชัดเจนทั้งทางสีหน้าอารมณ์และคำพูด โดยมันจะผุดขึ้นทันทีด้วยอาการ เมื่อมองเห็นคนที่ร่ำรวยกว่า หรือมั่งมีทรัพย์มากกว่า

จิตจะเริ่ม “เกิดความคิด” ตั้งคำถามว่าทำไมเขาจึงมีมากกว่าเรา ทำไมเราจึงมีน้อยกว่าเขา เกิดอาการเปรียบเทียบ เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เกิดความไม่พอใจและออกอาการแค้นเคือง มีความรู้สึกตำหนิติเตียนตนเองที่ไม่มีความสามารถพอ แล้วก็โทษเวรกรรม โทษวาสนา โทษโคตรเหง้าวงตระกูลที่ไม่ยอมสร้างสะสมไว้ ทำให้ตนต้องมามีน้อยกว่าคนอื่นๆ ในวันนี้

ความอิจฉาริษยาสามารถสร้างแรงบันดาลใจทางโทสะได้ ส่งเสริมให้เกิดการประชดประชันถากถางด่าทอได้ในที่สุด และ ความอิจฉาทำให้คนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้และบางครั้งก็ถึงแก่การขาดสตินั่นเอง!! ขอเจริญพร

*************************







  

จุดไฟในใจคน : กตัญญู


กตัญญู รู้คุณท่าน เป็นฐานราก

มีค่ามาก กว่าทุกสิ่ง อย่าทิ้งขว้าง

ทำให้คน ได้เป็นคน ค้นพบทาง

ช่วยสรรค์สร้าง มรรคผล เป็นคนดี

กตัญญู ต่อผู้ได้ ให้กำเนิด

จักประเสริฐ ยิ่งนัก เสริมศักดิ์ศรี

ตอบแทนท่าน ที่กล่อมเกลี้ยง เลี้ยงชีวี

พระคุณนี้ มีแต่ปลื้ม ยากลืมเลือน

กตัญญู ต่อครูบา อาจารย์ท่าน

วิชาการ สั่งสอนให้ หาใดเหมือน

อุ้มชูช่วย ด้วยรัก คอยตักเตือน

ไม่เปรอะเปื้อน ลุ่มหลง เดินตรงทาง

กตัญญู ต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์

ปฏิบัติ ตนให้เห็น เป็นตัวอย่าง

อันความชั่ว ทั่วถ้วน ควรละวาง

หันมาสร้าง แต่กรรมดี มิเสื่อมคลาย

กตัญญู ผู้มีคุณ อุดหนุนท่าน

เป็นรากฐาน อันยิ่งใหญ่ ไม่เสียหาย

กตัญญู กตเวที ที่บรรยาย

เป็นเครื่องหมาย ของคนดี ที่โลกชม

*************************

คนเราทุกคนเมื่อเกิดมาแล้ว ต้องมีความ กตัญญูกตเวที เป็นที่ตั้ง เพราะความกตัญญูเป็นสิ่งที่มีคุณค่า มีความประเสริฐสูงสุดในชีวิตมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ทุกชั้นวรรณะ ไม่ว่าจะยากดีมีจน ทุกคนสามารถสร้างสรรค์ด้วยความกตัญญูได้ตลอดเวลา โดยไม่เลือกสถานที่ ทำได้ในทุกโอกาส ทุกเวลา ล้วนเป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้น!!!


“ความกตัญญูกตเวที” มีหลักใหญ่ใจความและองค์ประกอบสำคัญอยู่ 4 ข้อด้วยกันคือ ความขยัน ความซื่อสัตย์ ความอดทน และการรู้บุญคุณคน

การเริ่มต้นของความกตัญญูนั้น ควรเริ่มจากเด็กๆ เยาวชนของเราก่อนเป็นอันดับแรก โดยสิ่งที่ควรปลูกฝังในข้อที่ 1 คือ ความขยัน ทุกคนต้องเริ่มจากการขยันในการทำงาน ขยันในการเรียนรู้ โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาหาความรู้ เพราะความรู้คือปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้อนาคตดำเนินไปในทิศทางที่ดี และควรหมั่นเพียรมุ่งมั่น ด้วยความบริสุทธิ์ใจ มิใช่ขยันเพียงเพื่อเอาหน้า หรือให้ใครได้รับรู้เพียงเปลือกกระพี้เท่านั้น!!!

ขยันในที่นี้ต้องเกิดจากความตั้งใจจริง เมื่อตั้งใจจริงย่อมหมายถึงความกตัญญู ที่ไม่เสแสร้ง แกล้งทำ เป็นการบ่งบอกให้รู้ถึงธาตุแท้ของใจที่ใฝ่ดี และรักดีนั่นเอง!!!

ข้อที่ 2 คือ ความซื่อสัตย์ ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามีความซื่อสัตย์สุจริต ย่อมมีแต่คนสรรเสริญ ที่สำคัญต้องมุ่งกระทำโดยปราศจากกลโกงหรือเล่ห์เหลี่ยม

การงานทุกสิ่งจะเจริญก้าวหน้า มีความปรารถนาดี ไม่หลอกลวงต้มตุ๋นผู้อื่น งานในวิชาชีพดำเนินไปอย่างไร้ข้อกังขา สามารถตรวจสอบได้ ประเทศชาติบ้านเมืองหรือในองค์กร ก็จะราบรื่น ไม่มีข้อสะดุดสงสัยให้ต้องกังวลใจ ทำให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ เพราะเมื่อซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน ก็ได้ชื่อว่ามีความกตัญญูรู้คุณต่อหน้าที่การงาน โดยเฉพาะในสิ่งที่ได้รับการมอบหมาย ทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้องโปร่งใส ไร้มลทิน นี่คือความซื่อสัตย์อันก่อเกิดจากความกตัญญูรู้คุณอย่างแท้จริงนั่นเอง

ข้อที่ 3 คือ ความอดทน เมื่อมีความขยัน มีความซื่อสัตย์ ก็ต้องรู้จักอดทน เพราะความอดทนถือเป็นหัวใจสำคัญของความกตัญญู เพราะการจะทำความดีนั้น ต้องใช้เวลา และต้องเจอกับอุปสรรคปัญหาต่างๆมากมาย แม้เหนื่อยยากเพียงไร ถ้าใจมีความอดทน สิ่งที่ว่าหนักหรือยากที่สุด ก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย เพราะใจและกายของเรามีความอดทน

ข้อที่ 4 คือ การรู้บุญคุณคน นั้น ถือเป็นข้อสุดท้ายที่รวมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ เพราะการรู้บุญคุณคน ต้องประกอบไปด้วย ความขยัน ความซื่อสัตย์ ความอดทน นี่คือสิ่งที่ต้องมีอยู่ในหัวใจ ต้องช่วยกันอบรมบ่มนิสัยเด็กๆเยาวชนให้เข้าใจและรู้ซึ้งถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้

และให้จำไว้เลยว่าบุคคลที่สมควรแสดงความกตัญญูก่อนเป็นอันดับแรกก็คือ พ่อ แม่ เพราะไม่มีใครในโลกนี้เกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่ ลูกทุกคนต้องมีแม่เป็นผู้ให้กำเนิดด้วยกันทั้งสิ้น

“ลูกทุกคนเกิดขึ้นมา เป็นตัวตนได้ทุกวันนี้ ก็เพราะมีพ่อแม่”

สิ่งที่ลูกๆทุกคนควรประพฤติปฏิบัติต่อพ่อแม่ ก็คือ เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ควรช่วยเหลือกิจการงานของท่าน ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่ ควรเอาใจใส่ดูแล ขอให้ทำด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่ทำแบบขอไปที หรือทำเพียงเพื่อเอาหน้า หวังเพียงคำชื่นชม หรือคำสรรเสริญเยินยอจากผู้อื่นเพียงเท่านั้น

ลูกทุกคนต้องดูแลพ่อแม่ ด้วยสติปัญญาที่มีแต่ความปรารถนาดี มีความเคารพในบุพการีอย่างแท้จริง การเลี้ยงดูท่านเมื่อยามเฒ่าชรา ปรนนิบัติรักษา หุงหาอาหารการกิน ดูแลเรื่องที่อยู่หลับนอนของท่านให้สะดวกสบาย และเอาใจใส่ช่วยเหลือเมื่อท่านเจ็บป่วย นี่คือประเด็นสำคัญ เพราะถ้าท่านชราแล้ว ย่อมต้องการ การดูแล เมื่อเรี่ยวแรงหมดไป อีกทั้งมีโรคภัยไข้เจ็บมาเยือน พ่อแม่จะหันหน้าไปพึ่งใคร ถ้าไม่ใช่ลูกของตนเอง!!!

ให้ลูกๆ คิดไว้เสมอว่า ยามเราเด็ก ท่านก็เลี้ยงดูเรา เมื่อท่านแก่ เราก็ต้องเลี้ยงดูท่าน เพราะคนแก่ก็เหมือนเด็ก ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ลูกทุกคนต้องมองมุมกลับ อย่าคิดเพียง ให้ผ่านพ้นไปวันๆ ต้องสร้างขวัญและกำลังใจให้ท่านสม่ำเสมอ เพราะคนแก่ไม่มีอะไรดีเท่ากับการสร้างกำลังใจให้ท่าน สร้างความสุขให้ท่าน วันเวลาเมื่อเหลือน้อยลงแล้ว ทุกคนต้องตาย แต่การตายด้วยความสุขใจนั้น เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ทุกคนปรารถนา

ฉะนั้นลูกที่ดี จึงต้องมีความกตัญญูรู้คุณต่อ พ่อแม่ ผู้ให้กำเนิด เพราะถ้าเราไม่มีพ่อแม่ เราก็ไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้ ลูกทุกคนต้องพึงสังวรและจดจำ ต้องคอยเตือนตนอยู่เสมอว่า ในหนึ่งชีวิตของเราที่เกิดขึ้นมาได้นั้น มีพ่อมีแม่ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น!?!

พ่อแม่ คือผู้ที่มีพระคุณสูงสุดในชีวิตของลูกทุกคน ลูกที่ดีต้องตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ เลี้ยงดูท่าน ในยามที่ท่านแก่ชรา ปลายทางของชีวิตคงไม่มีอะไรดีเท่ากับการได้อยู่ใกล้ชิดลูกหลาน ถ้าได้ลูกหลานดี ท่านก็นอนตายตาหลับ

เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็ควรจัดพิธีศพให้ท่าน และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านอย่างสม่ำเสมอ และในความเป็นจริงแม้เราจะตอบแทนพระคุณท่านถึงเพียงนี้แล้ว ก็ยังนับว่าเล็กน้อยมาก ถ้าเทียบกับพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่ท่านมีต่อเรา

ความกตัญญูที่เรามีต่อพ่อแม่ สิ่งที่เห็นผลชัดเจนก็คือ ทำให้ชีวิตครอบครัวมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง กลายเป็นคนที่มีความอดทน มีสติรอบคอบ มีเหตุมีผล ทำให้พ้นจากทุกข์ภัย ลูกที่มีความกตัญญู ก็จะมีแต่โชคดี ทำกิจการงานใดมีลาภผลทวีคูณอย่างน่าอัศจรรย์!!!!

สิ่งที่เห็นผลชัดเจน คือได้รับการยกย่องสรรเสริญจากสังคม ใครพบเห็นก็จะเมตตาอุ้มชู เพราะการกระทำความดีต่อพ่อแม่นั้น ย่อมส่งผลสะท้อนภายในพริบตา เป็นความชัดเจนในเรื่องของกระทำ ที่มิได้หวังผลตอบแทน เป็นอานิสงส์ที่เกิดจากใจ ส่งผลให้พอมีลูก ก็จะได้ลูกที่ดี ครอบครัวที่มีแต่ความสุข อบอุ่น เกิดกำลังใจ และสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนรุ่นหลังได้ถือปฏิบัติตามอีกด้วย

บุคคลสำคัญคนต่อมาที่สมควรตอบแทนบุญคุณท่านเป็นอย่างยิ่งคือ ครูบาอาจารย์ เพราะท่านคือผู้ที่อบรมบ่มวิชา ให้ความรู้สั่งสอน เขียน อ่าน เพื่อให้รู้เท่าทันโลก เท่าทันคน สามารถนำวิชาความรู้ไปประกอบอาชีพได้สำเร็จ สามารถเลี้ยงตนเองและครอบครัว ได้อย่างตลอดรอดฝั่ง ครูคือผู้สร้างความฝัน สร้างอนาคต สร้างตำนานให้แก่ศิษย์ทุกคน

ครู คือผู้ที่มีพระคุณรองลงมาจากพ่อแม่

ครู คือผู้ที่สานต่อจากพ่อแม่ ในด้านการอบรมสั่งสอน เพาะบ่มให้เป็นคนดี

และลูกศิษย์ที่ดี ก็ควรนึกถึงครูบาอาจารย์ ไปเยี่ยมไปหา ดูแลปรนนิบัติบ้างถ้ามีโอกาส ถ้ามีโอกาสตอบแทนบุญคุณท่าน ไม่ว่าจะเป็นทางใดก็แล้วแต่ล้วนเป็นสิ่งที่ดีงามทั้งสิ้น หรืออย่างน้อยควรเริ่มต้นจากการตั้งใจเรียน อยู่ในห้องเรียนก็ควรเชื่อฟังท่าน เพราะสิ่งที่ท่านสอนสั่งเรานั้น ล้วนเป็นวิชาความรู้ที่ดีและมีประโยชน์ต่ออนาคตของเราทั้งสิ้น

ความกตัญญูที่ศิษย์ ควรมีต่อครูบาอาจารย์นั้น ทำได้หลากหลายกรณีด้วยกัน โดยเฉพาะการประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดี ไม่เกเร เป็นคนดีของสังคม สร้างคุณประโยชน์ด้วยความเสียสละ

เมื่อเรารู้จักตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ครูบาอาจารย์แล้ว มีอีกสิ่งหนึ่งที่ถือว่าสำคัญไม่แพ้สิ่งอื่นใดคือ ประเทศชาติ คนเราเมื่อเกิดขึ้นมาพอเติบใหญ่มีการมีงานทำ สิ่งที่ควรปฏิบัติคือ ต้องเสียภาษีให้กับรัฐบาล เพราะนี่คือหน้าที่ของพลเมืองดี ที่ควรมีต่อประเทศชาติ การเป็นพลเมืองดี ไม่ทำผิดกฎหมาย อุทิศตนสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ ต่อสังคมชุมชนท้องถิ่น ช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อม รักษาความสะอาดบ้านเรือน ก็ถือว่าเป็นการกตัญญูต่อประเทศชาติได้แล้วเช่นกัน

ทุกวันนี้คนเราชอบเลี่ยงภาษี ชอบทำผิดกฎหมายบ้านเมือง นี่คือจิตสำนึกของความกตัญญูที่ไม่มีอยู่ในหัวใจ ยังไม่ถ่องแท้ในความรักชาติ การรู้จักหน้าที่ถือเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าชาติอยู่รอด เราก็อยู่รอด ถ้าชาติเจริญ เราก็ย่อมเจริญไปด้วย นี่คือหลักคิดง่ายๆของความกตัญญูที่ควรมีต่อประเทศชาติ

และอีกหนึ่งความกตัญญูที่อยู่คู่กับคนไทยมานานแสนนาน คือ ความกตัญญูต่อพระพุทธศาสนา

ในฐานะที่พวกเราเป็นคนไทย เป็นชาวพุทธโดยกำเนิด ควรแสดงความนับถือศรัทธา ตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรม โดยเฉพาะศีล 5 ควรปฏิบัติให้ได้ ถึงแม้จะไม่ครบ แต่ก็ควรทำให้ได้มากที่สุด

หัวใจสำคัญของศาสนาทุกศาสนา ล้วนสอนให้ทุกคนเป็นคนดี มีความตั้งมั่นในการทำความดีที่อยู่ในกรอบของศีลธรรมความเชื่อ ที่เห็นผลจากการกระทำทั้งสิ้น!!!

สุดท้ายมหามงคลสูงสุดแก่ชีวิตทุกคน คือ ความกตัญญูต่อองค์พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งทุกพระองค์ล้วนมีพระมหากรุณาทุกคนต่อพวกเราเป็นอย่างมาก

สิ่งที่พสกนิกรสมควรปฏิบัติคือ การแสดงความจงรักภักดี ต่อพระองค์ท่าน จะด้วยทางใดก็ตาม ล้วนมีคุณค่าและประเสริฐสุด ความกตัญญูต่อพระมหากษัตริย์ หรือในหลวงของเรานั้น มีความหมาย เป็นมงคลสูงสุดแก่ชีวิต และมีประโยชน์ต่อชีวิตของพวกเราเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องของความรู้รักสมัครสามัคคี

“คนไทยที่รักเคารพเทิดทูนในหลวง ต้องมีความสมานฉันท์” มิใช่ทำเพียงแต่ปาก หรือเพียงคำพูดเท่านั้น ต้องลงปฏิบัติอย่างจริงจัง และมุ่งทำให้สัมฤทธิ์ผล เพราะความรักใคร่ปองดองของคนในชาตินั้น มีความสำคัญสูงสุดต่อประเทศของเรา คนไทยถ้าไม่รักประเทศชาติเสียแล้ว จะให้ใครมารักมาสนใจ พวกเราต้องเตือนใจไว้เสมอว่า พวกเราต้องเป็นคนดีที่รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยความสัตย์จริง

ด้วยการนำกระแสพระราชดำรัสมาประพฤติปฏิบัติให้ได้ โดยเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดี ในการดำรงชีวิตของคนไทยเป็นอย่างมาก และเหมาะสมกับประเทศไทยของเรา นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

“ความกตัญญู คือเครื่องหมายของคนดี”

เป็นภาพตัวอย่างของความดี ที่ทุกคนสามารถทำได้ ไม่ใช่เรื่องยากแต่ประการใด เพียงขอให้ใจมุ่งมั่น รู้จักผิดชอบชั่วดี เข้าถึงแก่นแท้ของความเสียสละ ไม่ยึดประโยชน์ส่วนตน!!!

“โดยอุทิศแรงกายแรงใจในการช่วยเหลือผู้คน นี่ก็ถือเป็นความกตัญญู”

การดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกันนั้น ต้องทำอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเราคิดที่จะสงสารหรือเมตตาใคร จะทำด้วยสติปัญญา หรือกำลังทรัพย์ก็ตาม นั่นย่อมถือเป็นการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีไว้ในสังคม

การดูแลเอาใจใส่ด้วยความเมตตา นั่นก็คือความกตัญญู แม้จะดูไม่มากมาย แต่ก็เป็นเครื่องหมายแห่งการให้ใจ ที่แลกด้วยน้ำใสใจจริง ไม่อิงผลประโยชน์ ไม่หวัง ไม่มุ่งให้ต้องมาตอบแทน เป็นการทำทุกอย่าง ทุกเรื่องอย่างเข้าถึงจิตใจผู้อื่น

“ผลพวงจากจุดนี้ย่อมเกิดเป็นความสุขใจ ทั้งผู้ให้และผู้รับค่อนข้างชัดเจน”

การเป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนนั้นคือความกตัญญู ที่รู้ด้วยตัวเราเอง โดยไม่ต้องให้ใครมาสรรเสริญเยินยอ เป็นการรังสรรค์ที่เกิดมาจากจิตสำนึก โดยไม่ต้องการชื่อเสียง ไม่ต้องการประกาศให้ใครได้รับรู้ แต่รู้ด้วยตัวของเราเอง เป็นการสอนตัวเองด้วยธาตุแท้แห่งใจที่มุ่งมั่นกระทำแต่สิ่งที่ดีงาม

“ผลสะท้อนจากจุดนี้ คือความสบายใจที่ได้กตัญญู”

สรุปคือ หัวใจสำคัญของความกตัญญู เป็นบ่อเกิดทำให้คนเป็นคนดี มีความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน ไม่คิดทำร้ายใคร ซื่อสัตย์สุจริต ขยันหมั่นเพียร อดทนจริงใจ

ถ้าประพฤติปฏิบัติอย่างต่อเนื่องแล้ว ชีวิตก็จะมีแต่ความสุข มีกำลังใจที่ดี เป็นคนที่มีคุณภาพที่ดีต่อสังคม และเมื่อเรามีความกตัญญูแล้ว ก็ควรรู้ซึ้งถึงความพอดี ในการดำเนินชีวิต ถ้าชีวิตมีความพอดี วิถีแห่งอนาคตย่อมสดใส ชีวิตของทุกคนย่อมเดินหน้าสู่ความสำเร็จสมประสงค์ ในการประกอบอาชีพการงาน อีกทั้งยังเป็นการสานต่ออนาคตให้เจริญรุ่งเรืองได้ดีตลอดไปอีกด้วย

*************************



จุดไฟในใจคน : ความโลภ


ในโลกแห่งความเป็นจริงมีทั้งคนดีและคนชั่วปะปนกัน และที่ขาดไม่ได้ในจิตใจมนุษย์คือ “ความโลภ” ส่วนจะโลภน้อย โลภมาก ขึ้นอยู่กับจิตใจของคน เพราะความโลภ คือความอยากได้ของคนอื่น ที่ไม่ใช่ของตน

คนที่ไม่มีความจริงใจ ไม่มีน้ำใจ ทำให้เกิดมีความโลภขึ้นมา

เมื่อ “ความโลภ” เข้ามาครอบงำจิตใจ ย่อมเกิดความอยากได้ ใคร่มี อยากได้ของคนอื่นมาเป็นเจ้าของ อยากได้มาครอบครองเป็นของตน ขอให้พึงระลึกไว้เสมอว่า “จงพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่”

เมื่อความโลภเข้าครอบงำชีวิตของคนเราแล้ว ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ก็เริ่มหายไป กลายเป็นความรู้สึกอยากได้ของคนอื่นอยู่ร่ำไป อยากได้ตลอดชีวิต อยากร่ำรวย อยากมั่งมีจนวันตาย!!

สิ่งที่จะช่วยแก้ไขความโลภได้ดีที่สุดคือ “การให้” เพราะการให้เป็นสิ่งที่ดี ผู้ให้ย่อมบังเกิดความสบายใจ “ผู้รับ” ก็มีความสุข เกิดพลังสร้างสรรค์ขึ้นเป็นกำลังใจ

ทั้งนี้ต้องดำรงไว้ด้วยคติเตือนใจ อย่าให้เพราะความโลภ และอย่ารับด้วยความโลภ คำว่า โลภ ค่อนข้างรุนแรง ในแง่ความรู้สึกของคนทั่วไป แต่ละไม่ได้  ส่วนใหญ่ “ความโลภ” มักแฝงอยู่ในตัวตนของทุกคน

ตัวอย่างความโลภมีให้เห็นมากมาย เช่นในนิทานเรื่องหมาป่ากับเงา ที่หมาป่าไปขโมยเนื้อของชาวบ้าน และก็วิ่งไปถึงสะพาน เมื่อมองลงไปในน้ำ เห็นว่าเนื้อที่อยู่ในน้ำนั้น มีขนาดใหญ่กว่าเนื้อที่คาบอยู่ จึงปล่อยเนื้อที่คาบอยู่ในปากนั้นทิ้งเสีย เพื่อจะเอาเนื้อที่เห็นในน้ำ ด้วยความที่หมาป่าโลภจึงทำให้ไม่ได้กินอะไรเลย อดอย่างหมดท่าที่สุด นี่คือตัวอย่างของความโลภที่เห็นชัดเจน

ถ้าถามว่า ทำไมทุกคนต้องโลภ คำตอบง่ายๆ ก็เพราะทุกคนมีความอยากได้อยากมีนั่นเอง!

ทุกวันนี้ความโลภมีให้เห็นทุกเหลี่ยมมุมของชีวิตคน ฝังอยู่ในตัวและจิตใจของทุกคน ทุกเพศทุกวัย แต่จะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการห้ามใจ อย่างที่เห็นชัดในสังคมไทย เวลามีการแจกของตามหน้าห้าง บางคนก็รับมาชิ้นเดียวตามที่เขาแจก แต่บางคนวนมารับหลายรอบ เพราะความอยากที่จะได้อีก

นี่คือความโลภระดับพื้นฐาน โลภระดับต้นๆ ที่กำลังเริ่มพัฒนาไปสู่ความโลภที่มากขึ้น


จริงๆแล้วความโลภไม่เข้าใครออกใคร เพราะความโลภตัวเดียวทำให้คนทำอะไรได้ทุกอย่าง และสามารถทำในสิ่งที่ไม่ดีลงไปได้เพราะความโลภ เมื่อความโลภเดินเข้ามาในใจ ความสำนึกดีเริ่มเดินหนีจากไป กลายเป็นความอยาก คล้ายกับความฝันลมๆแล้งๆที่ถูกจินตนาการขึ้นมาภายในจิตใจ และจากการที่เคยเป็นคนดีในสายตาของคนอื่น เมื่อความโลภเข้ามาครอบงำ ก็กลายเป็นคนไม่ดีในสายตาของผู้อื่นได้เช่นกัน

ถ้าไม่อยากเป็นคนไม่ดีในสายตาคนอื่น ก็จงทำตัวให้ดี ต้องขจัด ความโลภออกไป ให้ได้โดยเด็ดขาด ถ้าทำได้ชีวิตก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ เพราะความสุขที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่ข้าวของ เงินทอง หรือทรัพย์สมบัติอะไรทั้งสิ้น

ในทางพระพุทธศาสนา ความโลภ คือ ความอยากมาก จนเกินความพอเหมาะพอควร ไม่เดินสายกลาง จึงทำให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจมากกว่าระดับปกติ นับเป็นความอยากอย่างรุนแรง ทำให้จิตใจดิ้นรนด้วยความทะยานอยาก เรียกว่า "ตัณหา".และความโลภที่เห็นชัดเจนมากที่สุดคือ ความโลภที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องของตัณหา และกามารมณ์ ทุกวันนี้คนเราอยากเสพกาม จนเกินความพอเหมาะพอควร เนื่องเพราะการรับรู้ข้อมูลที่เข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส จะเป็นทางใดทางหนึ่งหรือหลาย ๆ ทางก็ได้ เช่น มีความอยากมากที่จะเห็นสิ่งที่สวยงามทางตา ฟังเสียงที่ไพเราะทางหู ดมกลิ่นที่หอมทางจมูก ลิ้มรสที่อร่อยทางลิ้น สัมผัสของที่นุ่มนวลทางกาย เป็นต้น

ความดิ้นรนทะยานอยากที่จะเสพกามอย่างรุนแรง เรียกว่า กามตัณหา

ส่วนอีกตัวอย่างความโลภคือประเภทแบบอยากได้ อยากมี อยากเป็น คือ การมีความอยากมากที่จะได้ จะมี จะเป็น จนเกินความพอเหมาะพอควร เช่น อยากจะได้ลาภมาก อยากจะมีทรัพย์สมบัติมาก อยากเป็นคนมีอายุยืนมาก เป็นต้น

นับเป็นความดิ้นรนทะยานอยากที่จะได้ จะมี จะเป็นอย่างรุนแรง

ความโลภเฉกเช่นนี้เป็นไปตามที่ตนมีความปรารถนา ถึงขั้นเบียดเบียนตนเอง หรือผู้อื่น หรือสิ่งแวดล้อม สุดท้ายก็ทำให้เกิดความทุกข์

คนไทยทุกวันนี้ ส่วนใหญ่มีแต่ความฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย คนไทยที่ว่านี้อยู่ในตัวเมืองที่เจริญและคนจำพวกนี้มีแต่ความลุ่มหลงเป็นนิสัย ชอบจัดงานใหญ่โต ฉลองยศ ฉลองตำแหน่ง เลี้ยงรุ่น งานคืนสู่เหย้า ที่สำคัญงานประเภทนี้มีอยู่ทุกวัน

จนกลายเป็นความเชื่อที่สืบเนื่องมานานเป็นประเพณี ถูกสร้างขึ้นเป็นค่านิยม โดยเฉพาะเรื่องของหน้าตา เกียรติยศ ชื่อเสียง ต้องการให้สังคมยอมรับ เชื่อถือ และคนประเภทนี้ เมื่อเกิดความผันแปรอันเป็นกฎธรรมดา เช่น เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ความเศร้าหมองก็จับหัวใจ มีความทุกขเวทนาในอารมณ์ จนสุดจะทนทานได้

เมื่อหัวโขนหลุดลอยไป ผู้คนที่เคยแวดล้อม เคยสรวลเสเฮฮา เคยยกยอปอปั้นประจบสอพลอ ก็ทยอยหลบหน้าหายไป ผู้ที่เคยให้ความเคารพนับถือ เคยสรรเสริญเยินยอ สุดท้ายก็หายไปในที่สุด ไม่ปรากฏให้เห็นดังที่เป็นมา บุคคลเช่นนี้มีมากมายในเมืองไทย มีทุกระดับชั้น


ยกตัวอย่างนิทานอุทาหรณ์ เรื่องราวของนาย ก. ซึ่งนับเป็นบุคคลที่เคยมีอำนาจวาสนา ประกอบกับฐานะการเงินอยู่ในขั้นสูง เป็นเจ้าของกิจการใหญ่โตมาแล้วหลายแห่ง และมีทีท่าจะขยายงานออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะความไม่รู้จักพอ

ความต้องการครั้งหลังสุดของนาย ก. คือเจ้าของกิจการที่ใหญ่สุดในประเทศไทย และสมบูรณ์แบบที่สุด เมื่อท่านตั้งใจจะเอาอะไรแล้ว นาย ก.ต้องเอาให้ได้ จะพยายามทุ่มเทเงินทองวิ่งเต้นเป็นการใหญ่ ชื่อเสียงของนาย ก. มีอยู่ในข่าวสังคมชั้นสูงเกือบทุกสัปดาห์ ประเดี๋ยวให้เงินการกุศลงานโน้น ประเดี๋ยวให้เงินการกุศลงานนี้ ประเดี๋ยวจัดงานรุ่นนักเรียนเก่า ประเดี๋ยวได้รับเลือกเป็นประธานงานต่างๆ เป็นต้น

ที่สำคัญชั่วโมงนี้นาย ก. กำลังมีชื่อเสียงสูงสุด และได้รับความนิยมจากสังคมเป็นอย่างยิ่ง พอชื่อเสียงได้ระดับเป็นที่พอใจ นาย ก. ก็เข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ ที่พอจะมีอำนาจเนรมิตให้ได้งานที่ปรารถนามาช้านาน

ความมีชื่อเสียงเกียรติยศที่เลื่องลือในวงสังคมทั่วไป ผสมกับเงินที่มีจำนวนหลายร้อยล้าน ผู้หลักผู้ใหญ่ก็อนุมัติให้ได้งานชิ้นนั้นสมแก่ความต้องการ

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง ดังพระพุทธพจน์ดำรัสไว้ เมื่อสองพันกว่าปีโดยไม่เปลี่ยนแปลง สัจธรรมเป็นของเที่ยงแท้ในทุกยุคทุกสมัย สิ่งที่ นาย ก. ทุ่มเงินไปมากมายมหาศาล จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พินาศฉิบหายในเวลาต่อมา

เพราะความโลภหวังจะอุดมสมบูรณ์ สุดท้ายก็พลาด ชื่อเสียงในระดับสังคมชั้นสูงของ นาย ก. เริ่มจางลงไป ผู้คนที่เคยไปมาหาสู่ด้วยกิริยานอบน้อม เคารพนับถือ เชื่อฟังคำพูดทุกคำทุกประโยค ทุกคนหายเงียบไป

เพื่อนพ้องที่เคยสบถสาบานยืนยันว่า จะสนับสนุน นาย ก. ในทุกกรณี หายหน้าไปหมด “ความเกิด ความดับ” กำลังคืบคลานเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และในที่สุด งานก็ล่ม เงินจำนวนนับร้อย ๆ ล้าน กลายเป็นผงธุลีดิน ภรรยาของ นาย ก. ที่เคยมีหน้ามีตาในงานสังคมแทบจะทุกงาน ออกไปเก็บตัวในต่างจังหวัด และหายเงียบเข้ากลีบเมฆจนทุกบัดนี้

สุดท้าย นาย ก. ก็ล้มและพลาด สะดุดขาตัวเอง เพราะความโลภ นอกจากจะหมดตัวแล้ว ผู้ค้ำประกันก็พลอยเสียหาย กระทบกระเทือนไปด้วยไม่น้อย

อุทาหรณ์ของนิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่าชีวิตของบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งเคยรุ่งเรืองในครั้งหนึ่ง ถึงกาลวิบัติเพราะความหลงใหลในสิ่งที่ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย

เพราะเหตุนี้ ความหลงในลาภ ยศ สุข สรรเสริญ โดยไม่คำนึงถึงทางตรงกันข้าม คือ เสื่อมยศ เสื่อมลาภ นินทา และความทุกข์ เป็นสาเหตุให้มนุษย์คนหนึ่ง ต้องมีอันจมดิ่งลง อย่างไม่มีวันที่จะโผล่ขึ้นมาอีกเลย ด้วยประการฉะนี้

ฉะนั้นสิ่งที่อยากจะขอฝากเตือนก็คือ ถ้าตราบใดที่พวกเราไม่รู้จักคำว่า “พอ” แล้วล่ะก็ พวกเราทั้งหมดจะต้องประสบความทุกข์อย่างแสนสาหัส ดังตัวอย่างที่ยกมาเล่าให้ฟังนี้ อย่างแน่นอนและหลีกเลี่ยงไม่ได้!?!

ความโลภ นั้นดับง่ายกว่า ความโกรธ ความหลง

โลภ โกรธ หลง ล้วนเป็นภัยแก่มนุษย์ ไม่น้อยไปกว่ากันเท่าใด โดยเฉพาะถ้าผู้ใดมีความประมาท ผู้นั้นก็ย่อมจะถึงแก่ความตายทั้งเป็นด้วยกันทั้งสิ้น!!

หัวใจสำคัญนั้นเกิดจาก “ความปรารถนาหาสิ่งใด พอไม่ได้ดังปรารถนา ก็เป็นทุกข์”

*************************




จุดไฟในใจคน : นินทา

ในทุกแวดวงของสังคม คงไม่มีใครหนีพ้น เรื่องของการถูกนินทา “การนินทา” โดยปราศจากความเป็นจริงนั้น แฝงไว้ด้วยคำพูดที่ถากถาง “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น” รวมไปถึงการใส่ร้ายป้ายสี เป็นการพูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ทำให้ผู้อื่นเสียหาย

การนินทามีอยู่ 2 แบบ ด้วยกันคือ การนินทาแบบสร้างสรรค์ กับนินทาแบบใส่ร้ายป้ายสี

สำหรับการนินทาแบบสร้างสรรค์นั้น ถือว่ามีประโยชน์ เสมือนหนึ่งเป็นคำชม แต่ไม่ได้ไปพูดไปบอกแบบตรงๆ พูดกันในหมู่เพื่อนฝูง เป็นการสรรเสริญในแง่มุมที่ดี มีสาระ ใครได้ฟังได้ยินแล้ว รู้สึกชื่นใจ ทำให้มีความสุข

ยกตัวอย่างเช่น “ผู้ชายคนนี้นิสัยดีจริงๆ ชอบช่วยเหลือคน ทำอะไรก็ไม่หวังผลตอบแทน เป็นคนดีที่น่ายกย่อง ขยันทำงานทั้งต่อหน้าและลับหลัง”

“ดูยัยคนนี้สิ สวยจริงๆ แก้มนี่ใสนิ้ง หุ่นดี้ดี น่าให้ไปเป็นดารา”

นี่คือตัวอย่างของการนินทาแบบสร้างสรรค์ ที่ไม่จำเป็นต้องนินทาลับหลัง นี่ถ้าเจ้าตัวได้ยินต่อหน้า ก็คงหน้าบาน เป็นจานเชิงอย่างแน่นอน

ส่วนนินทาแบบให้ร้ายป้ายสีนั้น ล้วนเกิดจากความอิจฉาริษยาตาร้อนนั่นเอง!!! มีสาเหตุมาจาก เมื่อเห็นคนอื่นเขาทำดี ก็เกิดอาการอิจฉา ยกตัวอย่าง “อาตมาก็ถูกนินทาให้ร้ายป้ายสีอยู่เป็นประจำ บ้างก็ว่าร่ำรวย มีเงินมีทองมากมายเป็นร้อยล้าน มีบ้านหลังใหญ่หลังโต สร้างไว้หลายที่ทั้งต่างประเทศและในประเทศ บ้างก็ว่าเตรียมตัวจะหนีสึก พร้อมกับเตรียมโยกย้ายถ่ายเทเงินไปแล้วมากมาย” นี่คือความเจ็บปวดของคนที่ถูกนินทาให้ร้าย ทั้งที่เรื่องทั้งหมดไม่เป็นความจริง เป็นเรื่องที่ถูกสร้างขึ้นมาทั้งสิ้น

จนทุกวันนี้หลายครั้งที่โดนเรื่องพวกนี้ อาตมาต้องเจ็บปวด บางครั้งน้ำตาถึงกับไหลออกมา นี่คือความจริง!!!

แต่อาตมาก็มีความเชื่ออยู่ว่า “หนทางพิสูจน์ กาลเวลาพิสูจน์คน” คนเราทำดี ย่อมได้ดี และเพื่อเป็นการพิสูจน์ให้รู้ว่าสิ่งที่เขานินทาไว้นั้นไม่เป็นความจริง เราต้องเอาความดีเข้าสู้

ฉะนั้นจึงขอฝากเตือนไว้ว่า อย่าเป็นคนที่ชอบนินทาคนอื่น เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่ดี มีแต่จะเกิดเรื่องราวขึ้นมา สร้างความแตกแยก สร้างความหายนะให้เกิดขึ้นในหมู่คณะและสังคม

เพราะการนินทาว่าร้ายกันนั้น ถ้าทำจนชินจะติดเป็นนิสัย แก้ไขได้ยาก ทำให้ผู้อื่นเสียหาย และเป็นที่มาแห่งการทะเลาะวิวาท!!!

ในโลกของเราทุกวันนี้ ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับการถูกนินทา

การนินทาไม่เคยสงบนิ่ง เพราะระบบคิดและปากที่แกว่งหาเสี้ยน ยังคงใช้การได้ดีเสมอกับเรื่องของชาวบ้าน ซึ่งไม่ใช่เรื่อง ของตนเอง !?!

การพูดจาส่อเสียด เหน็บแนมแกมประชดประชัน การต่อความยาวสาวความยืด การว่ากล่าวให้ร้าย ใส่สีตีไข่ เพิ่มเติมเรื่องเล็ก ให้เป็นเรื่องใหญ่ นี่คือนิสัยคนไทยขนานแท้ดั้งเดิม

ถ้าสังเกตให้ดีบางคนชื่นชอบ มีความสุขใจ มีความสนุกสนานกับการได้ ซุบซิบนินทา

มีอีกหนึ่งตัวอย่างที่จะเล่าให้ฟัง เช่น คนที่เราไม่เคยรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่ก็ชอบนินทา ไปหาว่าเขาเป็นเจ้าพ่อ เป็นนักเลงหัวไม้ คนพวกนี้ไปได้ยินได้ฟังมา แบบฟังเขาเล่ามา แล้วก็มาเล่าต่อ โดยบอกว่า นายคนนี้ นายคนนั้นเป็นนักเลงใหญ่ เป็นคนไม่ดี เป็นผู้มีอิทธิพล เป็นนักเลงเกเร เป็นนักเล่นการพนันตัวยง ทั้งที่ผู้พูด ไม่เคยรู้จักตัวตนที่แท้จริงถึงคนที่กล่าวถึงแม้แต่น้อย บางคน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาเป็นเช่นไร บ้านอยู่ที่ไหน อายุเท่าไหร่? คนพวกนี้ไปพูดเล่า สาธยายเป็นเรื่องราว เสมือนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงเดียวกันกับเขา 

บางคนมาที่วัด เล่าถึงใครหลายๆคนเป็นฉากๆ เล่าแบบนิทาน คล้ายนิยาย คุยโม้เหมือนดูหนังภาพยนตร์เรื่องใหญ่ เล่าสนุกสนานมาก ฟังแล้วน่าตื่นเต้น ใส่อารมณ์สุดๆ

เมื่อถามไปว่า คุณเป็นเพื่อนกับเขาหรือ รู้จักเขาตั้งแต่ชาติไหนหรือ? บ้านอยู่ใกล้กันหรือเปล่า มีอะไรเกลียดกันเป็นการส่วนตัวหรือไม่! ทำไมรู้เรื่องของเขาละเอียดถี่ถ้วนดีหรือเกิน!! และสิ่งที่เขาทำมีแต่เรื่องไม่ดีทั้งนั้นเลยหรือ?  มันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่คนเรานั้นในชีวิต ไม่เคยทำ ความดีบ้างเลย นี่คือสิ่งที่ได้ตั้งคำถามกลับไปถึงท่านที่กำลังเล่าเรื่องราวของคนที่ไม่รู้จักเลย โดยเน้นเล่าในทางลบ ให้ฟังอย่างเมามันส์

สุดท้ายคำตอบที่ได้คือ มีคนเล่าให้ฟังครับ ก็เลยถามไปว่า คนที่เล่าให้ฟังเขาเป็นใคร บ้านอยู่ที่ไหน เขาคนนั้นตอบว่า เล่าให้ฟังนานแล้ว ปัจจุบันคนที่เล่าไม่รู้อยู่ที่ไหน

เมื่อถามว่าชื่ออะไร เขาตอบไม่ได้ เขาบอกว่าลืมไปแล้ว?

ก็เลยพูดสอนไปว่า การที่เราจะพูดถึงบุคคลที่สามในทางลบนั้น ควรใช้สติปัญญา ยั้งคิดติดเบรกปากไว้เสียบ้างก็น่าจะดี และควรให้ความยุติธรรมกับเขาบ้าง เพราะเขาไม่มีโอกาสโต้เถียงพูดแก้ตัว เพราะถ้ามัน ไม่เป็นความจริง

อย่ามั่วนิ่ม อย่าพูดเอามันส์ เรื่องดีของเขามีต้องเยอะแยะมากมาย คุณรู้หรือไม่ ต้องผมนี่สิรู้จริง อย่างลูกศิษย์ของผมหลายๆคน ท่านผู้นี้ก็ส่งเสียให้เรียนหนังสือสูงๆ มีอยู่เกือบทั่วประเทศ จบไปแล้วมากมาย ทำงานเกือบทุกสาขาอาชีพ ขนาดไปเจอที่เมืองนอก ก็เป็นเด็กนักเรียนที่ส่งเสียให้ร่ำเรียนทั้งนั้น

ยกตัวอย่าง หลายคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทุกวันนี้ ท่านก็ส่งเสียให้ร่ำเรียนมาตั้งแต่เด็กๆ


นี่แค่เพียงตัวอย่างหนึ่งเดียวที่เขารังสรรค์ไว้ ไม่รวมถึงการช่วยเหลือคนยากคนจน ส่งเสริมเรื่องการกีฬา ต่อต้านยาเสพติด ทำบุญช่วยวัดวาอาราม ส่งเสริมพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่อง

ฉะนั้นการจะนินทาว่ากล่าวใครนั้น ควรรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาเสียก่อน ใช้จิตสำนึก ใช้วิจารณญาณ ไตร่ตรองให้ถ่องแท้ ที่สำคัญควรมีสมาธิให้มากที่สุด

“ทุกวันนี้การนินทา เสมือนเป็นปัจจัยที่ห้าของชีวิตมนุษย์”

นิยมนินทากันเป็นประเพณีทำกันเป็นวัฒนธรรมยอดแย่ แฉกันจนกลายเป็นเรื่องปกติ เข้าข่ายชินชา นินทาอย่างชั่วจนชิน แล้วก็ทำเหมือนว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ฉันขาดไม่ได้แล้วในชาตินี้

การนินทา มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระ ไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่ จะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ดังกลอนที่กล่าวไว้ว่า “การนินทากาเลเหมือนเทน้ำ” การเทน้ำออกจากแก้ว เมื่อเทออกไปแล้วไม่สามารถเก็บคืนได้ ก็เหมือนกับการนินทาออกไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้นั่นเอง!

ที่สำคัญต้องใช้หลักคิด ใช้สมองกลั่นกรอง วิเคราะห์ว่ามันดีหรือเลวปานใด แยกแยะในแต่ละส่วนให้เกิดความถูกต้องดีงาม

หัวใจสำคัญ การที่จะนินทาผู้อื่น ควรย้อนกับไปมองตัวเองเสียก่อน ว่าตัวคุณเองดีมากแค่ไหน ถึงเที่ยวไปว่าร้าย หรือติฉินนินทาผู้อื่นเขา แล้วควรคิดว่า ถ้ามีผู้อื่นมานินทาเราบ้าง เราจะรู้สึกเช่นไร เราก็คงจะไม่ชอบนักหรอกที่มีคนมานินทา หรือมายุ่งเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องภายในครอบครัวของเรา

คนพวกนี้ปากไม่นิ่ง ใจไม่ตรง ปากอยู่ไม่สุข ปากมันจะดิ้นอยู่ตลอดเวลา เพราะเป็นสันดานมันอยู่เฉยไม่ได้ ขอให้ได้พูด ขอให้ได้นินทาว่ากล่าวสักหน่อยเถอะ อารมณ์ก็จะดี หัวเราะเยาะเย้ย ถากถาง ฮือฮาคึกคัก มีแต่ความสุขใจ ที่ทำให้ชาวบ้านเขาได้ทุกข์ใจ

คนเราทุกวันนี้ไม่ว่าจะพูดดี หรือร้าย มันก็พูดทั้งนั้น หรืออาจจะเรียกได้ว่าปากมันคัน ต้องนินทา ให้มัน ถึงหายคันซักหน่อย จะได้นอนหลับสบาย ตายอย่างมีความสุข

ทุกสังคมไม่ว่ายากดีมีจนไม่เว้นแม้แต่พวกสังคมไฮซ้อไฮโซ ที่ต่อหน้าก็พากันชื่นชม ยกยอปอปั้น เสกสรรปั้นแต่ง จนน่าเกลียด เกินงาม เกินขอบเขต

ในสังคมจอมปลอม สังคมที่นิยมการหลอกลวง เวลาออกงานก็ชมว่าแต่งตัวสวยดี ชื่นชมจนกลายเป็นเรื่องไร้สาระ แต่พอคล้อยหลังไปไม่ถึงนาที ก็นินทาสารพัด ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องครอบครัว ก็ดูเอาเถิดว่าพวกชอบนินทา มันหยุดปากไม่ได้จริงๆ ต้องยอมรับกับความซับซ้อนของจิตมนุษย์ว่าแน่นอนขนาดไหนกับวิสัยคนไทยที่พิสมัยแต่การนินทา เป็นอาชีพ “เรื่องของคนอื่นรู้หมดทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องของตนเอง” เรื่องนี้แปลกแต่จริง

ไม่ใช่แค่เฉพาะพวกสังคมไฮโซเท่านั้นที่ชอบนินทา สังคมไหนๆ ก็มีนินทาด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่าคนที่ถูกนินทาจะรู้ตัวหรือเปล่า แต่ส่วนใหญ่พวกที่นินทาชาวบ้าน จะแอบนินทาลับหลัง ไม่ให้เจ้าตัวรู้ พวกนี้ไม่ชอบทำอะไรต่อหน้า เพราะไม่กล้าสู้ความจริง เป็นพวกขี้ขลาดตาขาว เป็นคนขี้อิจฉา เพราะว่าเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเองไม่ได้ เป็นต้องนำคนอื่นมาวิจารณ์ ถึงแม้เขาจะดีเพียงใด บุคคลพวกนี้ก็พยายามที่จะเอาข้อเสียในจุดเล็กๆ มานินทาจนได้ ก็เพราะความอิจฉาที่กลัวว่าคนอื่นจะดีกว่าตัวเอง

สุดท้ายขอฝากข้อคิดให้ใช้สมองไตร่ตรองกันให้ดีๆเถิดว่า การที่นินทาผู้อื่นนั้น ทำให้เขาได้รับความเดือดร้อน เป็นสิ่งที่ดี หรือไม่ดี และควรทำหรือไม่ควรทำ ก่อนที่เราจะนินทาว่ากล่าวผู้อื่น ขอให้มองย้อนกลับไปมองตัวเองให้ดีเสียก่อนว่าตัวเราเองมีดีมากน้อยแค่ไหน และเคยทำในสิ่งที่ได้นินทาผู้อื่นบ้างหรือไม่?

ขอให้ใช้สมองคิดไตร่ตรองให้ดี ก่อนที่จะเที่ยวไปให้ร้ายผู้อื่น ให้ลองคิด ย้อนกลับไปถามตัวเองเสียก่อนว่า ถ้าเราเป็นผู้ถูกนินทาแบบนั้นบ้าง จะมีความรู้สึกเช่นไร

เชื่อได้เลยว่าก็คงไม่ชอบให้ตัวเองถูกนินทาอย่างแน่นอน”

ดังนั้นทางที่ดีควรเลิกที่จะนินทาผู้อื่นได้แล้วตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เอาเวลาที่นินทาผู้อื่นไปพูด ในเรื่องสร้างสรรค์ ทำให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ต่อครอบครัว และชีวิตประจำวัน ขยันพูดขยันทำงานให้มันได้เงินได้ทองจะดีกว่า

ขอย้ำว่าการพูดนินทาถ้าเลิกได้เสียตั้งแต่วันนี้ ก็จะส่งผลดีทั้งกับตัวเองและผู้อื่น

ที่สำคัญจะเกิดผลดีกับตัวเองก็คือ เราจะได้ไม่ต้องระแวงว่าสิ่งที่เรานินทาไปแล้ว เจ้าตัวเขาจะรู้หรือไม่ และผู้ร่วมนินทาจะเอาคำพูดของเราไปเปิดเผยต่อหรือไม่

ที่สำคัญสุดการที่เราไม่นินทาคนอื่น จะทำให้คนที่อยู่รอบข้างมองว่าเราเป็นคนดี ไม่ใช่คนที่มีนิสัย ขี้นินทา และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนกับคำพูดของเรา สามารถส่งผลทำให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข และให้จำไว้เลยว่า การนินทา ที่แท้จริง ก็เกิดมาจาก “การปั้นน้ำเป็นตัว” นั่นเอง!!! นับเป็นการสร้างเรื่อง ที่เกิดจากความไม่จริง และในความไม่จริงนี้ ส่งผลทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เป็นอันตรายต่อสังคมเป็นอย่างยิ่ง

*************************

เรื่องโดย : พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน)