แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มงคลพระ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มงคลพระ แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

โชคดี... ที่มีความทุกข์


มนุษย์
คือ สิ่งมีชีวิตที่มักจะไม่ยอมหยุด เราไม่ยอมหยุดคิด หยุดกิน หยุดใช้ หยุดหา แม้ในบางเวลาที่เราผ่อนคลายร่างกายด้วยการนอนหลับตา เรายังไม่ยอมเลิกราที่จะคิดวิตกกังวล ด้วยเหตุนี้จึงมิใช่เรื่องแปลก ที่หลายคนมักจะรู้สึก “เหนื่อย” ...ยิ่งโต ยิ่งมี ยิ่งผ่านไปนานปีก็ยิ่งเหนื่อย ความอ่อนล้า เครียด ตึง เมื่อย จึงแปรสภาพเป็นกาฝากไม้เลื้อย เกาะกินจิตใจที่แสนจะเหน็ดเหนื่อย ให้สึกกร่อนไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็น “ความทุกข์”

หากแต่ความทุกข์นั้น ใช่ว่าจะไร้ซึ่งประโยชน์เสมอไป ความทุกข์เปรียบเสมือน “ปรอทวัดไข้” ที่ธรรมชาติบรรจงสร้างไว้ภายในใจของเรา ปรอทวัดไข้ใจนี้ จะคอยทำหน้าที่เตือนเราอยู่เสมอ เมื่อใดที่อุณหภูมิแห่งความทุกข์ภายในใจ ถึงขีดที่ธรรมชาติกำหนดไว้ว่าจะต้องดูแลรักษา มันจะส่งสัญญาณคอยเตือนเราว่า หากไม่รีบดูแลรักษา “อาการป่วยจิตขั้นโคม่า” กำลังจะเข้ามาเยี่ยมเยือน

เมื่อร่างกายป่วย “ยา” คือ สิ่งที่ช่วยให้ฟื้นคืนสภาพ แต่เมื่อใดที่ใจป่วย สมาธิ คือ ยาที่ช่วยบำรุงจิตใจ ...น้อยคนนัก ที่จะรู้จักพักใจโดยใช้สมาธิ ...ยิ่งเมื่อยามสุข ยิ่งประมาทในทุกข์ ยิ่งไร้ซึ่งสติ ฉะนั้น เมื่อใดที่ใจของเราเริ่มมีทุกข์ จงใช้วิธีปลุกให้จิตตื่นจากความทุกข์โดยใช้สมาธิ เมื่อเรามีสมาธิ สติจึงมาปัญญาจึงเกิด สรรพคุณแห่ง สมาธิ จะทำหน้าที่คอยไล่ตะเพิด เชื้อโรคร้ายที่ทำให้เกิดความทุกข์ในจิตใจ

บทสรุปนี้ จึงชี้ให้เห็นข้อดีของการมีความทุกข์ หรือ “ปรอทวัดไข้ใจ” ที่จะคอยเตือนเราว่าวันหรือเวลาใด ที่ใจของเราต้องการ “ยาบำรุง” ...เพียงแค่ผ่อนคลาย หลับตา ปล่อยวาง เพื่อสอนใจให้รู้จัก “หยุด” เสียบ้าง สมาธิจะกระจ่าง สงบ ใส และ สว่างภายในจิตของเรา


******************

เรื่อง โดย มงคลพระคาถา
เรียบเรียง โดย ทีมข่าวมงคลพระ



วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558

คณะสงฆ์นครปฐม ติวเข้มเจ้าอาวาส และ ไวยาวัจกร


คณะสงฆ์จังหวัดนครปฐมได้ตื่นตัวขานรับ ร่วมมือกับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม จุดประกายจัดโครงการถวายความรู้เจ้าอาวาส และอบรมไวยาวัจกร เพื่อให้สามารถจัดทำบัญชีรับจ่าย และดูแลรักษาศาสนสมบัติที่ดินธรณีสงฆ์ของวัดได้อย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมสืบต่อไปในอนาคต

การอบรมครั้งใหญ่นี้กำหนดจัดขึ้นในวันอังคารที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ ณ สถานที่ก่อสร้าง วิหารหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม ร่วมกับคณะสงฆ์ จัดโครงการถวายความรู้เจ้าอาวาสและอบรมไวยาวัจกร จัดขึ้นตั้งแต่เวลา ๐๗.๐๐-๑๖.๐๐ น. โดยนิมนต์พระสงฆ์และเชิญไวยาวัจกรจากวัดในเขตอำเภอเมืองนครปฐม กำแพงแสน ดอนตูม สามพราน นครชัยศรี บางเลน และอำเภอพุทธมณฑล

ในโอกาสดังกล่าวนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม ได้ร่วมกับ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาส วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม จัดทำโครงการถวายความรู้เจ้าอาวาสและอบรมไวยาวัจกรจังหวัดนครปฐมขึ้น ซึ่งปัจจุบันนี้มีเจ้าอาวาสวัดจำนวน ๒๒๐ รูป และไวยาวัจกรวัดจำนวน ๒๒๐ คน

นายวิโรจน์ อุ่นทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม เปิดเผยว่า การจัดโครงการดังกล่าวนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การจัดทำบัญชีรับจ่าย และการดูแลรักษาศาสนสมบัติของวัดเป็นไปอย่างถูกต้อง เนื่องจากเจ้าอาวาสและไวยาวัจกรถือว่ามีหน้าที่และบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการจัดทำบัญชีรับจ่ายของวัด รวมทั้งต้องดูแลทรัพย์สินศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย นอกจากนี้ยังทำให้ไวยาวัจกรได้ทราบบทบาทหน้าที่อันจะนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ตลอดจนเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เรียนรู้ การปฏิบัติหน้าที่ของไวยาวัจกรในแต่ละวัดซึ่งอาจมีความแตกต่างกันออกไป

ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ.๒๕๑๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ ข้อ ๖ ให้เจ้าอาวาสวัด ให้ไวยาวัจกร หรือผู้จัดประโยชน์ของวัดซึ่งเจ้าอาวาสแต่งตั้งทำบัญชีรับจ่ายเงินของวัด และเมื่อสิ้นปีปฏิทินให้ทำบัญชีเงินรับจ่าย และคงเหลือ ทั้งนี้ ให้เจ้าอาวาสตรวจตราดูแล ให้เป็นไปโดยเรียบร้อย จากกฎกระทรวงดังกล่าว เจ้าอาวาสและไวยาวัจกรถือว่ามีหน้าที่และบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในการทำบัญชีรับจ่ายของวัดให้ถูกต้อง อีกทั้งต้องดูแลทรัพย์สิน ศาสนสมบัติของวัด ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

หลวงพี่น้ำฝน กล่าวว่า ปัจจุบันวัดมีบทบาทสำคัญต่อสังคมไทยมาแต่อดีตเป็นเวลายาวนาน ความผูกพันกับวัดเกี่ยวข้องกับบุคคล ชุมชน และสังคมมีความสัมพันธ์กันตั้งแต่ช่วงวัยแรกและช่วงสุดท้ายของชีวิต กิจกรรมภายในวัดมีความหลากหลาย ตั้งแต่เพียงเป็นสถานที่พำนักของพระภิกษุสงฆ์ ให้พุทธศาสนิกชนเข้ามาทำบุญและประกอบศาสนกิจต่างๆ จนถึงการเป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งนันทนาการ ศูนย์กลางการเรียนรู้ การพัฒนา การสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน กิจกรรมที่มีการดำเนินการในวัดมีความหลากหลาย ได้แก่ การทำบุญ ทำทาน ในรูปแบบต่างๆ การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา งานศพ งานบวช งานแต่งงาน งานวันเกิด ฯลฯ การเช่าหาวัตถุมงคล การจัดงานนันทนาการในรูปแบบต่างๆ (งานวัด) เป็นต้น


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

หลวงพ่อโต วัดสาขลา ตำนานแห่งหมู่บ้านสาวกล้า จ.สมุทรปราการ


วัดสาขลา ตั้งอยู่เลขที่ ๑๙ บ้านสาขลานาเกลือ หมู่ ๑๙ ต.นาเกลือ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ เป็นวัดเก่าแก่ซึ่งมีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน โดยสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๓๒๕ สันนิษฐานว่าชาวบ้านช่วยกันสร้างเมื่อคราวที่รบชนะพม่า ...กว่า ๒๓๓ ปี ของวัดแห่งนี้ เต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันได้ถูกพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของ จ.สมุทรปราการ

ชุมชนบ้านสาขลา เป็นหมู่บ้านตั้งอยู่ริมปากแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ไหลลงสู่ทะเลอ่าวไทย ก่อตั้งขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ต่อมาเมื่อเกิดสงคราม ๙ ทัพในรัชสมัยรัชกาลที่ ๑ ชาวบ้านที่เป็นผู้ชายได้ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร เหลือแต่ผู้หญิงและคนชรา เมื่อทหารพม่าเดินทัพผ่านมา พยายามเข้าตีเพื่อยึดเอาเสบียงอาหาร แต่ชาวบ้านทุกคนได้ร่วมแรงร่วมใจหยิบอาวุธเท่าที่พอจะหาได้ ออกไปต่อสู้กับทหารพม่าอย่างกล้าหาญ และเอาชนะทหารพม่าได้ หมู่บ้านแห่งนี้จึงมีชื่อเรียกว่า “หมู่บ้านสาวกล้า” ตามวีรกรรมอย่างกล้าหาญของผู้หญิงในหมู่บ้านนี้ ก่อนที่จะเพี้ยนมาเป็น “หมู่บ้านสาขลา” เช่นในปัจจุบัน

วิหาร หลวงพ่อโต พระพุทธรูปเก่าแก่ประจำวัด ซึ่งวิหารจะอยู่ติดกับอุโบสถที่ยกสูงขึ้นเมื่อครั้งถูกน้ำท่วม เดินขึ้นไปจะมีชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต่างยืนถือดอกไม้ ธูป เทียน เตรียมสักการะไม่ขาดสาย

ลองเดินเข้าไปในวิหาร อันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่หลายองค์ โดยเฉพาะ หลวงพ่อโต ที่สร้างมาพร้อมกับวัด เป็นพระพุทธรูปศิลปะสมัยอู่ทอง ปางมารวิชัย เป็นที่เคารพบูชาของชาวบ้านสาขลา คนเฒ่าคนแก่แถวนั้นเล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์ของ หลวงพ่อโต ว่า เมื่อคืนวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๒๖ เวลาประมาณ ๒๑.๐๐ น. ได้เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างช่วยกันดับไฟ แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก พายุเพลิงได้ลุกโหมกระหน่ำไม่หยุดหย่อน จนเกินความสามารถของชาวบ้าน

ในขณะนั้นได้เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นมา เมื่อชาวบ้านที่ออกไปหาปูปลาไม่ไกลจากหมู่บ้าน ได้เห็นสิ่งอัศจรรย์ เมื่อ หลวงพ่อโต ยืนเอาจีวรโบกไฟที่กำลังโหมไหม้ จนค่อยๆ ดับลง พร้อมกับได้ยินเสียงสวดมนต์อย่างต่อเนื่อง

พอรุ่งเช้า ชาวบ้านทราบข่าวว่า มีคนเห็นองค์หลวงพ่อโตช่วยดับไฟ ทุกคนจึงแห่ไปดูที่วัด และต้องตกตะลึง บางคนถึงกับร้องไห้ เมื่อเห็นว่าองค์หลวงพ่อโต ดำไปด้วยเขม่าทั้งองค์ ผ้าที่ห่มกรอบไหม้ ใบหน้าของท่านมีร่องรอยเหมือนน้ำตาไหล ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันทำบุญให้ หลวงพ่อโต ทุกวันที่ ๖ มกราคม ของทุกปี จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้าน...ถึงทุกวันนี้


ในส่วนของ อุโบสถ โดยรอบจะมีลูกนิมิตโบราณ ๘ ลูก วางอยู่บนแท่นพญานาค ๗ เศียร ชาวบ้านแถวนั้นเล่าว่า ลูกนิมิตโบราณนี้มีอายุไม่ต่ำกว่า ๑๕๐ ปี ซึ่งได้ขุดพบตอนที่ทางวัดได้ยกอุโบสถให้สูงขึ้น นอกจากนี้ยังขุดพบพระพุทธรูปโบราณอีกเป็นจำนวนมาก

ลักษณะของลูกนิมิตนั้นมีลักษณะไม่กลม แต่จะมีรูปทรงบิดเบี้ยว ซึ่งทางวัดได้เปิดให้ชาวบ้านร่วมปิดทองเพื่อความเป็นสิริมงคลกับตัวเอง

วิหาร ในขณะที่กำลังยกวิหารให้สูงขึ้น ได้ขุดพบพระพุทธรูปที่มีลักษณะหันหลังชนกัน องค์หนึ่งปางประทานพร อีกองค์หนึ่งปางห้ามสมุทร

เมื่อชาวบ้านได้ขุดและอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นมา ปรากฏว่า ด้านล่างเป็นบ่อน้ำขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ที่ทำให้ชาวบ้านต้องตกตะลึง ก็คือ เป็นบ่อน้ำจืด ซึ่งในบริเวณพื้นที่ตรงนั้นจะติดกับทะเล ทำให้พื้นดินเป็นน้ำเค็มทั้งหมด สร้างความอัศจรรย์ใจให้แก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง ปัจจุบันบ่อน้ำนั้นก็ยังคงเป็นบ่อน้ำจืดอยู่เช่นเคย

พระพุทธรูปที่ขุดพบใต้วิหาร ซึ่งตรงกับฐานองค์หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปศิลา ด้านบนเศียรเป็นฐานของหลวงพ่อโต ซึ่งเป็นอิฐก้อนใหญ่ที่นิยมใช้ในอดีต โดยมีเกร็ดความรู้ว่า นั่นก็คือ วิธีการเชื่อมอิฐสมัยอดีต ซึ่งใช้น้ำผึ้งผสมกับอ้อย เหมือนเป็นกาว ให้อิฐติดกันได้ดี ถือเป็นภูมิปัญญามาแต่ครั้งโบราณ

พระปรางค์เอียง ตั้งอยู่บริเวณหน้าวัด ริมคลองสาขลา ถือเป็นสัญลักษณ์เฉพาะของวัดแห่งนี้ คนเฒ่าคนแก่แถวนั้นเล่าให้ฟังว่า ในอดีตการทำสิ่งปลูกสร้างจะไม่ใช้วิธีลงเสาเข็มเหมือนปัจจุบัน แต่จะใช้วิธีวางท่อนซุงหรือท่อนไม้ไขว้กันไปมา ตรงบริเวณการสร้างพระปรางค์ก็เช่นกัน แต่บริเวณนั้นอยู่ใกล้กับริมคลอง คนสมัยก่อนจึงได้วางท่อนไม้บริเวณริมคลองไว้มาก เพราะกลัวว่าเวลาผ่านไปอาจจะถูกน้ำกัดเซาะขึ้นมาถึงฐานพระปรางค์ได้ จึงวางท่อนไม้ไว้มากกว่าอีกด้านหนึ่งที่ไม่ติดคลอง แต่เวลาเนิ่นนานทางฝั่งคลองพื้นที่ยังคงเดิม แต่ฝั่งพื้นดินกลับทรุดลง จึงทำให้พระปรางค์เอียงนั่นเอง

ปัจจุบัน พระปรางค์ยังคงอยู่แบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าไปชมหลายๆ คน อาจจะสงสัยว่าทำไมพระปรางค์ถึงไม่สูงนัก นั่นก็เพราะได้มีการถมดินบริเวณฐานพระปรางค์ขึ้นมากว่าเดิมถึง ๒ เมตร จึงทำให้รู้สึกว่าพระปรางค์ไม่สูง แต่แท้จริงแล้วใต้ดินลึกลงไปยังคงมีฐานพระปรางค์อยู่นั่นเอง

ในวันอาทิตย์ที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ทางวัดจะประกอบพิธีหล่อพระพุทธรูป ปางห้ามสมุทร เพื่อประดิษฐานประจำทิศทั้ง ๔ บนซุ้มพระปรางค์ นับเป็นครั้งแรกที่มีการหล่อพระในวัดสาขลา พร้อมทั้งหล่อรูป “สาวกล้า” เพื่อประดิษฐานบนอนุสาวรีย์ โอกาสนี้ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมงานบุญครั้งนี้ด้วย

วัดสาขลา ได้องค์อุโบสถให้สูงขึ้น เนื่องจากปัญหาน้ำท่วมในช่วงน้ำหลาก ใต้อุโบสถจึงสามารถลอดไปมาได้ ในแต่ละวันจะมีพุทธศาสนิกชนไปลอดอุโบสถเสมอ โดยเชื่อว่าจะช่วยเสริมสิริมงคล ๙ ประการ คือ

มงคลที่ ๑ ลอดประตูพระราหู มงคลที่ ๒ ปิดทองลูกนิมิตโบราณ มงคลที่ ๓ บูชาพระบัวเข็ม กราบรูปเหมือนพระเกจิอาจารย์ชื่อดังจำนวนมาก มงคลที่ ๔ โยนเหรียญทำบุญพระสังกัจจายน์ มงคลที่ ๕ บูชาพระพุทธรูปที่ขุดพบ มงคลที่ ๖ พระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกขกิริยา มงคลที่ ๗ ปิดทองพระพุทธรูปศิลา มงคลที่ ๘ ปิดทองใต้ฐานองค์หลวงพ่อโต และมงคลที่ ๙ ลอดท้องช้าง พรายมหาลาภ


ปัจจุบัน วัดสาขลา ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ กทม.โดยมี พระปลัดสันทาน ธมฺมสนฺทโน (อยู่ไสว) เป็นเจ้าอาวาส สอบถามข้อมูลการเดินทาง และกิจการงานบุญต่างๆได้ที่ โทร.๐๘-๕๙๐๗-๑๔๓๑, ๐๘-๑๖๓๒-๘๒๗๑


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

หลวงพ่อชื่น วัดในปราบ มรณภาพ ปิดตำนาน ผาลพลิกแผ่นดินพลิกชีวิต

พระครูมงคลสมณกิจ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า พ่อท่านชื่น อินทปัญโญ หรือ หลวงพ่อชื่น วัดในปราบ พระอริยสงฆ์แห่งวัดในปราบ ต.บ้านเสด็จ อ.เคียนซา จ.สุราษฎร์ธานี กลายเป็นอีกหนึ่งตำนานเจ้าตำรับ "ผาลพลิกแผ่นดิน พลิกชีวิต" ท่านมรณภาพอย่างสงบเมื่อวันพุธที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๘ เวลา ๑๔.๓๕ น. สิริอายุรวม ๙๒ ปี

"นายชื่น แก้วศรีมล" เป็นชื่อและสกุลเดิมของพ่อท่านชื่น อินทปัญโญ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๗ บิดาของท่านเป็นที่รู้จักกันในนาม อาจารย์ล่อง ผู้รักษาคนไข้ทางด้านอาคม หรือไสยศาสตร์ในสมัยนั้น เมื่ออายุครบ ๗ ขวบ ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดศิลา จ.นครศรีธรรมราช เรียนจบชั้น ป.๔ หลังจากเรียนจบ บิดาของท่านได้นำท่านไปฝากเป็นศิษย์หลวงพ่อคล้าย วาจาสิทธิ์ วัดสวนขัน จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งหลวงพ่อคล้ายมีฐานะเป็นตาของนายชื่น

ครั้งหนึ่งพ่อท่านคล้ายได้สรงน้ำในขณะที่นายชื่นซักสบงให้พ่อท่านคล้ายอยู่ พ่อท่านคล้ายได้ตักน้ำขันที่สามนำมารดศีรษะและนำมือรับน้ำใต้คาง แล้วส่งให้นายชื่นดื่ม เมื่อดื่มน้ำนั้นแล้วพ่อท่านคล้ายได้เริ่มถ่ายทอดวิชาต่างๆ และท่านได้เล่าเรียนวิชาอาคมจากพ่อท่านคล้าย เช่น วิชาทำนายดวงชะตา ขับไล่ภูตผีปีศาจ การขับไล่คุณไสยต่างๆ อีกมากมายจากพ่อท่านคล้าย และเล่าเรียนวิชาอาคมที่ตกทอดจากตระกูลของบิดาท่าน ซึ่งได้ถ่ายทอดให้จนครบอายุครบ ๑๘ ปี บิดาเสียชีวิตจึงกลับมาบ้านทำงานเลี้ยงดูผู้เป็นมารดา

ขณะอายุ ๕๕ ปี พ่อท่านชื่นได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดไม้เรียง ต.ไม้เรียง อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๒๒ โดยมีพระครูญาณวรากร เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “อินฺทปญฺโญ” พอถึงปี ๒๕๓๒ ท่านได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่ที่พักสงฆ์ที่ชาวบ้านจัดไว้ให้ในหมู่บ้านในปราบ และเริ่มสร้างวัดขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ชื่อว่า วัดในปราบ โดยมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า วัดเจริญประชาธรรม

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ หลวงพ่อมีอาการอาพาธมานานแล้วได้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเคียนซามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดหลวงพ่อมีอาการไอ เหนื่อยหอบ และมีเสมหะมาก แพทย์ระบุปอดติดเชื้อ ต้องนำส่งเข้ารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ก่อนที่จะมรณภาพอย่างสงบ โดยได้ประกอบพีธีสรงน้ำศพวันที่ ๒๕ มิถุนายนที่ผ่านมา

ส่วนกำหนดการสวดพระอภิธรรมกี่คืนคณะกรรมการวัดกำลังหารือ หลังจากครบกำหนดแล้วจะเก็บสรีระของท่านไว้ในพระมหาเจดีย์ ซึ่งหลวงพ่อชื่นท่านได้สร้างไว้ล่วงหน้าเสร็จมาหลายปีแล้ว

ตำนานแห่งเจ้าตำรับ "ผาลพลิกแผ่นดิน พลิกชีวิต"

วัตถุมงคลที่ขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งของท่าน คือ ผาลไถนา โดยท่านได้ใช้ผาลไถนาส่วนที่เป็นเหล็กอายุกว่า ๑๐๐ ปีนำมาตัดเป็นชิ้นๆ ขนาดและรูปร่างต่างๆ กันไปแล้วแต่หลวงพ่อจะจารมือลงไปว่าเป็นยันต์อะไร บางครั้งก็ยันต์นะ บางครั้งก็ยันต์นะพุทธคุณของผาลไถ เมตตามหานิยม โชคลาภ ทำมาค้าขายเจริญรุ่งเรือง แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี มีประสบการณ์กล่าวขานมาแล้วมากมาย

ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๕ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒ ว่าด้วยเรื่อง "ภิกษุอาพาธด้วยโรคต่างๆ" โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธถูกยาแฝด ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ดื่มน้ำที่เขาละลายจากดินรอยไถซึ่งติดผาล"

ตรงคำว่า "ดินติดผาลไถ" นี้ก็ได้แก่ ดินที่ติดอยู่ที่ผาลไถที่ชาวนาเขาใช้ไถนานั่นแหละ ถ้าได้ดินติดผาลไถที่เป็นแบบโบราณคือ ไถที่เป็นไม้หรือเหล็ก และใช้เทียมกับควายหรือวัว แล้วก็มีคนจับเดินตามแบบนี้ก็ดี และก่อนจะดื่มน้ำดินผาลไถ ก็อธิษฐานด้วยว่า "ขออำนาจพุทธ-ธรรม-สงฆ์ จงบันดาลบุญข้าให้มาอยู่ที่น้ำดินผาลไถนี้ จงมีฤทธิ์อำนาจล้างอาคมยาแฝดในกายข้าให้มลายไป" เรื่องดื่มน้ำนี้ก็ดื่มไปเรื่อยๆ ทั้งดื่มทั้งอธิษฐานไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้น

ส่วนที่มาของผาลไถนั้นท่านเคยคิดจะสร้างพระเครื่องแต่ด้วยทุนทรัพย์ที่มีไม่มาก ชาวบ้านจึงช่วยกันหาโลหะเก่าๆ มามอบให้ท่าน ส่วนใหญ่เป็นเหล็กและทองเหลือง แต่เมื่อท่านแลเห็นผาลที่ถูกกองเศษเหล็กทับอยู่ท่านจึงดำริว่า "รู้แล้วของดีไม่ต้องไปหาไกล อยู่นี่นี่เอง" ว่าแล้วท่านจึงหยิบผาลไถออกมาแล้วให้ชาวบ้านช่วยกันหามาอีก ก็ได้มาจำนวนหนึ่ง ท่านนำมาปลุกเสกแล้วก็จาร แจกให้ผู้ที่มาทำบุญ แต่แล้วผาลก็หมดลง ท่านจึงนำผาลที่เหลือนำมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ได้โขเลยคราวนี้ แต่ก็หมดลงอีกเพราะผู้ที่ทราบข่าวเรื่องผาลในการนำไปใช้ใช้ดีมากๆ

คติการใช้ผาลเป็นวัตถุอาถรรพณ์นั้น ส่วนใหญ่เป็นคนในภาคใต้ โดยจะใช้ผาลในการประกอบพิธีต่างๆ เมื่อหมดอายุใช้งาน หรือมีผาลเก่าๆ ก็จะเอาขึ้นหิ้งบูชา บางรายถึงกับใส่ไว้ในโอ่งน้ำเพื่อป้องกันอาถรรพณ์ ขณะเดียวกันการทำพิธีถอนอาถรรพณ์พื้นดิน เมื่อเสร็จพิธีสวดถอนก็จะเอาผาลพลิกธรณีทั้ง ๘ ทิศ นอกจากนี้แล้วในการถอนหรือย้ายตำหนิบนร่างกาย (ไฝ-ปาน) จะใช้ผาลในการประกอบพิธีถึงจะได้ผลดีที่สุด

เหรียญรุ่นแรกและรุ่นสุดท้าย

หลวงพ่อชื่น ถือเป็นตำนานแห่งผู้สร้างเครื่องรางผาลไถอันโด่งดัง เมตตาให้คติว่า วัตถุจากธรรมชาติและเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ที่เราใช้ในชีวิตปกติประจำวันหลายชนิดมีอาถรรพณ์อยู่ในตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องปลุกเสกสามารถนำไปใช้ได้เลย อย่างกรณีผาลไถนา ซึ่งใช้ประโยชน์สำหรับไถพลิกพื้นดิน และเป็นของใช้ชนิดเดียวในโลกที่สามารถพลิกแผ่นดินได้ เมื่อไถลงไปในดินแล้วก็สามารถผ่านตลอดโดยไม่มีอะไรติดขัด คนจึงเกิดความเชื่อ ผาลเป็นวัตถุอาถรรพณ์ที่สามารถพลิกสิ่งร้ายๆ ให้กลายเป็นดี ทำอะไรก็ผ่านตลอดเช่นเดียวกับผาลไถ

ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือพ่อท่านชื่นอย่างมาก เพราะพ่อท่านชื่นได้ใช้วิชาอาคมที่ร่ำเรียนมาช่วยสงเคราะห์ชาวบ้านรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยดีตลอดมา

ทั้งนี้เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๘ พ่อท่านชื่นได้จัดสร้างวัตถุมงคลขึ้นมาเป็นรุ่นแรกของท่าน ชาวบ้านได้บูชาเหรียญรูปเหมือนท่านไปห้อยคอ ต่างมีประสบการณ์มากมาย จนเป็นที่ร่ำลือกล่าวขานในด้านของความอยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาดปลอดภัย เมตตามหานิยม เป็นเลิศ ชื่อเสียงกิตติคุณของท่านเป็นที่รู้จักกันทั่วภาคใต้ แม้แต่ชาวมาเลเซียยังเดินทางมาบูชาวัตถุมงคลและขอพรจากท่านอย่างไม่ขาดสาย

อย่างไรก็ตามในการก่อสร้างศาลาการเปรียญและเมรุ ใช้เงินประมาณ ๓ ล้านบาท คณะกรรมการจึงจัดสร้างหลวงพ่อชื่น รุ่น หลังผาลไถ โดยมีชนวนจากผาลไถนาโบราณ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายลำพังหัวผาลโบราณก็ถือว่าหายากแล้ว กรรมวิธีลอมละลายผาลก็ยากไม่น้อยกว่ากัน เพราะหัวผาลส่วนใหญ่เป็นเหล็กคุณภาพสูงแข็งกว่าเหล็กทั่วไป

หลวงพ่อชื่น รุ่น หลังผาลไถ มีการจัดสร้างชุดกรรมการใหญ่ และชุดกรรมการเล็กสร้าง ๙ ชุด ประกอบด้วย พระ ๙ องค์ ได้แก่ พระบูชาหลวงพ่อชื่นหล่อเป็นรูปผาลไถเนื้อนวะหน้าตัก ๙ นิ้ว และ ๕ นิ้ว เนื้อทองคำ (ชุดใหญ่หนักกว่า ๒ บาท ชุดเล็ก ๖ สลึง) เนื้อเงิน เนี้อนวะ เนื้อทองแดง เนื้อฝาบาตร เนื้อเงินยวง และเนื้อผาลไถ


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ