วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557

หลวงลุงผูก พระเกจิผู้เปรื่องวิชา เปี่ยมด้วยเมตตาแต่คมในฝัก


พระพิพัฒน์วิริยาภรณ์ หรือ หลวงพ่อผูก หรือที่ชาวนครปฐมนิยมเรียกท่านว่า หลวงลุงผูก ท่านเป็นสุดยอดพระนักปฏิบัติที่มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ท่านเกิดเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2462 ตลอดชีวิตของท่านสร้างแต่คุณงามความดี ไม่เคยสร้างความเดือนร้อนให้แก่สังคม ในสมัยหนุ่มท่านได้สร้างคุณประโยชน์แก่ทางราชการไว้เป็นอย่างมาก โดยรับราชการเป็นทหารผ่านศึกในสมัยสงครามอินโดจีน และเมื่อบวชท่านก็ได้สร้างสาธารณะประโยชน์ต่างๆ ไว้เพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนา เช่น ก่อสร้างพระอุโบสถ 3 แห่ง ได้แก่ วัดน้อยเจริญสุข อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม , วัดสุขวราราม อ.ดอนตูม จ.นครปฐม , วัดคีรีวงศ์ อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี สำหรับ วัดพระปฐมเจดีย์ ท่านได้ก่อสร้างเมรุวัดพระปฐมเจดีย์ สร้างศาลาบำเพ็ญกุศล และสร้างกุฏิเสนาสนะสงฆ์

หลังจากที่หลวงลุงพ้นจากราชการทหาร ด้วยจิตใจที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ท่านจึงได้อุปสมบทที่ วัดพระปฐมเจดีย์ เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ.2489 โดยตั้งใจอย่างแนวแน่ว่าจะขอตายในผ้าเหลือง หลวงลุงผูกท่านเป็นพระที่เปี่ยมด้วยเมตตา ท่านจึงเป็นที่นับถือ รักใคร่ ต่อผู้พบเห็นไม่ว่าท่านนั้นจะสูงวัยกว่าหรืออ่อนวัยกว่าก็ตาม ด้วยบุคลิกที่ท่านเป็นคนอารมดี ใจเย็น จึงเป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์ ท่านเป็นศิษย์เอกของ หลวงพ่อบุญธรรม ซึ่งเป็นพระอนุสาวนาจารย์ของท่าน หลวงพ่อบุญธรรมให้ความรักและเมตตาหลวงลุงผูกเป็นอันมาก ดังนั้นวิชาอาคมต่างๆ ของหลวงพ่อบุญธรรมที่สืบทอดมาจาก หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จึงได้ถ่ายทอดให้หลวงลุงผูก จนหมดสิ้น ไม่ว่าการเขียนผง การลงอักขระยันต์สำคัญต่างๆ เช่น ยันต์เกราะเพชร นอกจากนี้หลวงลุงผูกยังได้ไปศึกษาเพิ่มเติมกับ พลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา และ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม อีกด้วย
หลวงลุงผูก ท่านเป็นพระที่คมในฝัก นอบน้อมถ่อมตน ไม่โอ้อวดว่าท่านมีอะไรดี ท่านจะไม่แสดงออก แต่เพรชก็ย่อมเป็นเพชรอยู่วันยังค่ำ ดังนั้นในบรรดาศิษย์ของท่านย่อมทราบดีว่าพระเครื่องของท่านมักแสดงปาฏิหารย์ให้ปรากฎเสมอ โดยเฉพาะชาวตลาดบนและตลาดล่างให้ความเคารพนับถือหลวงลุงผูกและเชื่อมั่นในพระเครื่องของท่านว่าดีทางเมตตามหานิยม โชคลาภและดีทางค้าขาย พระเครื่องของหลวงลุงผูกท่านสร้างแต่ละรุ่นเป็นจำนวนน้อย (หลักร้อยไม่เกินหลักพัน) ดังนั้นพระเครื่องของท่านจึงอยู่ในมือศิษย์ของท่านเท่านั้น ไม่มีโอกาสจะตกมาอยู่ในมือของบุคคลภายนอก อย่างเช่น เหรียญรุ่นแรกปี พ.ศ.๒๕๑๒สร้างจำนวน ๒๕๑๒ เหรียญ เหรียญส่วนใหญ่จะตกอยู่ในมือศิษย์ของท่านเพียงไม่กี่คนเท่านั้น (บางคนบูชาเป็นร้อยเหรียญหรือหลายร้อยเหรียญ) 

หลวงลุงผูกท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่แก่กล้าวิชาอาคมรูปหนึ่ง แม้แต่ หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม ก็ยอมรับนับถือว่าท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่แก่กล้าวิชาอาคม หลวงพ่อแช่มจะกำชับลูกศิษย์ของท่านว่าในพิธีพุทธาภิเษกพระเครื่องพระบูชาของวัดดอนยายหอม ต้องนิมนต์หลวงลุงผูกร่วมปลุกเสกทุกครั้ง นอกจากหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอมจะให้ความนับถือหลวงลุงผูกแล้ว หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ก็ยังให้ความนับถือหลวงลุงผูกเช่นกัน จะเห็นได้จากพิธีพุทธาภิเษกวัดบางพระจะต้องนิมนต์หลวงลุงผูกร่วมพิธีเสมอ 


ในสมัยที่หลวงลุงผูกมีชีวิตอยู่ท่านได้สร้างพระเครื่องพระบูชาหลายรุ่น พระเครื่องของท่านนอกจากท่านจะปลุกเสกเดี่ยวแล้ว ท่านยังได้นำพระเครื่องของท่านไปให้ หลวงพ่อเงินวัดดอนยายหอม และ หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา ปลุกเสกเป็นการส่วนตัวอีกด้วย นอกจากนี้ท่านยังได้นำพระเครื่องของท่านเข้าพิธีพุทธาภิเษกสำคัญๆ ของวัดพระปฐมเจดีย์และวัดอื่นๆ ที่ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปร่วมปลุกด้วย ซึ่งในพิธีดังกล่าวจะนิมนต์พระเกจิอาจารย์ดังๆ มาร่วมปลุกเสกเสมอ

หลวงลุงผูก ท่านเป็นพระที่มีใจเด็ดเดี่ยวตั้งใจจริง ทำอะไรก็ทำจริงจัง การสร้างพระเครื่องของท่านจะสร้างด้วยความตั้งใจ ท่านมักจะกล่าวกับศิษย์ใกล้ชิดเสมอว่า การสร้างพระต้องทำให้ขลัง ดีข้างนอกดีข้างใน จะได้เป็นศิริมงคลแก่ตัวเองเมื่อบูชาติดตัว พระเครื่องของท่านจึงปลุกเสกนานไม่น้อยกว่า ๒ พรรษา และนำไปเข้าพิธีพุทธาภิเษกหลายครั้ง จนมั่นใจในพุทธานุภาพแล้ว จึงนำไปแจกจ่ายให้แก่ศิษย์เพื่อความเป็นศิริมงคล



*************************


เรื่องโดย : ทีมข่าวมงคลพระ
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

เจ้าอาวาสวัดสระเกศ เคลียร์ชัด ทุกกรณี!!


พระพรหมสุธี (เสนาะ ปัญญาวชิโร) เจ้าอาวาส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เจ้าคณะภาค 12 กรรมการมหาเถระสมาคม ให้สัมภาษณ์พิเศษกับทีมข่าว กรณีมีแถลงการณ์โจมตี หลังได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอวาสวัดสระเกศฯ และ นายชัยธนพล ศรีจิวังษา ผู้ประสานงานองค์กรเครือข่ายภาคประชาชนพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ (อพช.) เข้าร้องเรียนกับกรมสอบสวนพิเศษ กล่าวโทษ และให้ตรวจสอบพฤติกรรมของพระพรหมสุธีว่า มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริต ร่ำรวย มีรถยนต์หรู่ร่วม 20 คัน โดยพระพรหมสุธี กล่าวปฏิเสธในทุกกรณี

"จริงๆอาตมาอยากให้เงียบที่สุด ไม่อยากให้เป็นข่าว อยากปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปเรื่อยๆ ถือว่าไม่ได้เป็นไปตามข่าว แต่เมื่อโยมติดต่อมา อาตมาก็จะเล่าให้ฟัง...ข่าวก็คือข่าว ขอปฏิเสธในทุกกรณี หาว่าอาตมามีเงินเป็น 1000 ล้าน มันเป็นไปไม่ได้ การปล่อยข่าวออกมา เพื่อโยงให้เห็นว่า มีเงินมาก ได้มาจากการโกงเงินวัดหรือเปล่า...ไม่มีหรอกเงินขนาดนั้น เป็นวิธีการสร้างข่าว เพื่อให้เกิดความแตกตื่น" เจ้าอาวาสวัดสระเกศ กล่าว

เมื่อถามว่า เงินสะสมของวัดตั้งแต่สมัยสมเด็จเกี่ยวฯ เป็นเจ้าอาวาส ยังอยู่ครบถ้วนหรือไม่ พระพรหมสุธี กล่าวย้ำว่า อาตมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสแค่ 7 เดือน ยังไม่ได้ใช้เงินสะสมของวัดเลย เงินที่ใช้อยู่เป็นเงินที่ญาติโยมมาทำบุญในช่วงที่อาตมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอวาสแล้ว และตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นว่า จะไม่ใช้เงินสะสมของสมเด็จเกี่ยวฯ

เมื่อถามว่า ใบปลิวที่ออกมาโจมตีเป็นปัญหาความขัดแย้งภายในวัดหรือไม่ โดยเฉพาะเกี่ยวกับตำแหน่งเจ้าอวาส พระพรหมสุธี กล่าวว่า ก็อาจจะมีผู้ประสงค์ไม่ดี แต่ก็เป็นเรื่องของพระ เรื่องของสงฆ์ จะพูดอะไรออกไปก็ต้องระวัง พูดมากไปก็ไม่ดี เพราะคนเราไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์ หรือฆาราวาส ก็มีทั้งคนรัก และคนไม่รัก แต่จะให้ชี้ชัดลงไปว่าใครทำ เราไม่อยากชี้ชัดลงไป แต่ก็รู้ๆกันอยู่ อย่างที่ทุกคนเข้าใจ

ส่วนข้อกล่าวหาเรื่องมีรถหรู่ร่วม 20 คัน พระพรหมสุธี กล่าวว่า ไม่ถึงขนาดนั้น ไม่ถึง 20 คัน แต่มีหลายคัน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นรถยนต์ที่ญาติโยมนำมาถวลายตั้งแต่สมัยเป็นรองเจ้าอาวาส พร้อมกับยกตัวอย่างว่า มีผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์บางฉบับ ก็นำรถมาถวายต่อเนื่องถึง 3 คัน เจ้าของโรงพยาบาลบางแห่ง ก็นำรถมาถวายทุก 3 ปี และคนที่นำรถมาถวายทุกวันนี้ก็ยังอยู่ สามารถที่จะมายืนยันได้ แต่อาตมาไม่อยากเอ่ยชื่อเขา เดี๋ยวจะขยายเรื่องไปอีก และทุกวันนี้รถทุกคันก็ยังอยู่ ใช้งานได้หมดทุกคัน เราก็ซ่อมบำรุงดูแลไปตามสภาพ คันหนึ่งก็ถวายให้หลวงพ่อในวัดไปใช้ เนื่องจากอาพาธต้องไปโรงพยาบาลบ่อย อีกคันก็ไว้รับส่งพระ-เณรในวัด ส่วนอาตมาเองก็มีรถเบนซ์ใช้อยู่คันเดียว ที่เหลือเป็นรถตู้ รถเก๋งบ้าง

เช่นเดียวกับข้อกล่าวหาใช้ตำแหน่งเจ้าคณะภาค และกรรมการมหาเถรสมาคมวิ่งเต้นตำแหน่งในวงการสงฆ์ พระพรหมสุธี กล่าวว่า อาตมาเป็นเจ้าคณะภาค 12 จริง และเป็นมานานแล้วด้วย ถ้าอาตมาใช้ตำแหน่งเจ้าคณะภาค 12 หรือใช้ตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมวิ่งเต้นแล้วรับเงิน อาตมาคงอยู่ไม่ได้แล้ว "รับเงินมาแล้วจะมีหลักประกันอะไรว่าจะได้รับตำแหน่งตามนั้น เพราะการพิจารณาตำแหน่งในวงการสงฆ์ต้องผ่านมหาเถรสมาคม ที่มีพระระดับสมเด็จถึง 21 รูปเป็นกรรมการ พระผู้ใหญ่ทั้งนั้น ทุกคนมีสิทธิ์เสนอ มีสิทธิ์ที่จะพูด หรือจะต้องวิ่งเต้นผ่านพระสมเด็จทั้ง 21 รูป

"การพิจารณาตำแหน่งในวงการสงฆ์ อาตมาคิดว่าใสสะอาด 100 เปอร์เซ็น เพราะต้องผ่านการพิจารณาจากมหาเถระ พระชั้นผู้ใหญ่ทั้งนั้น รับเงินมาก็การันตีไม่ได้ว่าจะได้ตำแหน่ง ปิดปากพระสมเด็จทุกรูปไม่ได้หรอก และในวงการสงฆ์เวลาพิจารณาก็ไม่มีการโหวต พูดกันด้วยเหตุด้วยผล ตามความเหมาะสม"

ยังมีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับสีกา เข้าออกในกุฏี พระพรหมสุธี อธิบายว่า ในวงการสงฆ์ การทำลายกัน วิธีการที่ง่ายที่สุด ก็คือสีกา เอาเรื่องสีกาขึ้นมากล่าวหา แต่ทั้งหมดมันอยู่ที่ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน ถ้าอาตมาเป็นอย่างที่กล่าวหา อาตมาอยู่ไม่ได้แล้ว ไปนานแล้ว ลองดูอย่างพระนิกร พระยันตระ ก็อยู่ไม่ได้

ส่วนเรื่องธุรกิจสวนกล้วยไม้ และบ้านจัดสรร พระพรหมสุธี กล่าวว่า เป็นธุรกิจของครอบครัวที่เขาทำมานานกว่า 10 ปีแล้ว เป็นของน้องชาย (เอกวัฒน์ ฝังมุข)

"เป็นธุรกิจของครอบครัว ที่น้องชายเขาทำมากว่า 10 ปีแล้ว ญาติร่วมสายโลหิต ความเป็นพี่เป็นน้องกันก็ต้องมี เขาก็ทำมาหากินกันไปนะ เหมือนโยมเป็นนักข่าว แต่อาจมีพี่ๆน้องๆคนอื่น ทำอีกอาชีพหนึ่ง ต่างคนต่างทำมาหากินกันไป ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ความเป็นพี่เป็นน้องกันก็ต้องมี"

ส่วนข้อกล่าวหาเรื่องเงิน 67 ล้านบาท ที่ใช้ในการจัดงานศพสมเด็จเกี่ยว พระพรหมสุธี กล่าวว่า อาตมาจะอธิบายให้ฟังว่า รัฐบาลให้งบประมาณมาจัดงานศพสมเด็จเกี่ยว 67 ล้านบาท วัดฯก็รับเงินมาเปิดบัญชีแยกไว้ต่างหาก และได้ใช้งบประมาณไปแล้วส่วนหนึ่งในการจัดการงานศพสมเด็จเกี่ยว งบประมาณยังใช้ไม่หมด บางรายการยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ เช่น การจัดสร้างโต๊ะหมู่บูชาถวายวัดต่างๆ ที่สั่งไปทั้งหมด 100 ชุด เพิ่งเสร็จ 20 ชุด งบประมาณจึงยังไม่ได้เบิกจ่าย ยังเก็บไว้อยู่ แต่เงินจะเหลืออยู่เท่าไหร่ ก็ยังไม่ทราบ

"อาตมาคิดว่า เมื่องานเสร็จแล้วจะรายงานไปยังรัฐบาล เพราะเป็นเงินภาษีของประชาชน ถ้ามีเงินเหลือจะถามรัฐบาลว่าจะเอาคืนหรือไม่ ถ้ารัฐบาลไม่เอาคืน ตั้งใจจะตั้งเป็นกองทุนสมเด็จพระพุฒาจารย์ เพื่อใช้ในกิจการพุทธศาสนา หรือทุนการศึกษาของพระสงฆ์"



*************************


เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

มจร และ พศ.ใช้นกพิราบนำขันติธรรม สร้างสันติสุขAEC


มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ร่วมกับ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) จะจัดการประชุมผู้นำศาสนาเพื่อสันติภาพในประชาคมอาเซียน ครั้งที่ 1 เรื่อง ขันติธรรมทางศาสนา ระหว่างวันที่ 24-29 กันยายน พ.ศ.2557 ที่โรงแรมคลาสสิก เคมิโอ จ.พระนครศรีอยุธยา และที่ หอประชุม "มวก ๔๘ พรรษามหาวชิราลงกรณ์" มจร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 ก.ย.นี้เวลา 14.30 น.ที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม โดยการจัดการประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ประกอบด้วย 

1.เพื่อสร้างเวทีให้ผู้นำศาสนาต่างๆ ในประชาคมอาเซียน ได้นำเสนอองค์ความรู้ และหลักการสำคัญเกี่ยวกับขันติธรรมทางศาสนาตามที่ปรากฏในคัมภีร์ และความเชื่อของแต่ละศาสนา

2.เพื่อให้ผู้นำศาสนาในประชาคมอาเซียนได้ร่วมกันถอดบทเรียนเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันอย่างมีขันติธรรมในประชาคมอาเซียนของแต่ละศาสนิกชนในประชาคมอาเซียน

3.เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายระหว่างผู้นำศาสนาในประชาคมอาเซียน ซึ่งจะเอื้อต่อการเรียนรู้การอยู่ร่วมกันบนความแตกต่างหลากหลาย ทางด้านศาสนาสังคมและวัฒนธรรมอย่างมีขันติธรรม และอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

4.เพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติเพื่อผลักดันให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาระดับโลกในอนาคต โดยผ่านการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์กรทางพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ ทั่วภูมิภาค

ล่าสุดคณะกรรมการเตรียมการจัดงานได้จัดทำโลโก้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของงาน เป็นรูป นกพิราบ ที่สื่อถึงสันติภาพ มีตราสัญลักษณ์ของศาสนา 10 ศาสนาที่มีประชาชนในอาเซียนนับคือจัดวางเป็นรูปวงกลหมุนได้และมีตราสัญลักษณ์อาเซียนคือ รวงข้าว อยู่ตรงกลาง โดยสื่อความหมายว่า หลักการทางศาสนาทั้ง 10 ศาสนานี้ โดยเฉพาะหลักขันติธรรมจะนำพาประชาคมอาเซียนให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข อยู่กันอย่างมีสันติภาพในภาวะที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ผู้สนใจในสามารถติดต่อสอบถาม หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 035 248098 โครงการปริญญาโทหลักสูตรสาขาสันติศึกษา มจร หรือเว็บไซต์ http://www.relepac.com/2014/en/ รวมถึงเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/pages/Religious-Leaders-for-Peace-in-ASEAN-Community/603335479779064

ขณะเดียวกันที่ห้องประชุมอาคารสุชีพ ปุญญานุภาพ มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย (มมร.) ศาลายา จ.นครปฐม สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) ในฐานะนายกสภา มมร. กล่าวให้โอวาทในพิธีเปิดการประชุมเตรียมความพร้อมสู่อาเซียน ว่า ในโอกาสที่มมร.เตรียมความพร้อมเพื่อการรับมือความเปลี่ยนแปลงและเผชิญหน้ากับสังคมที่มีวิถีชีวิตที่แตกต่าง นับเป็นสิ่งที่มมร.โดยเฉพาะคณะผู้บริหารจะต้องพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบและระมัดระวัง ต้องอาศัยความร่วมมือกับคณาจารย์ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนนักศึกษาทุกท่านทุกคน ซึ่งจะต้องเดินหน้าไปด้วยกัน ก้าวไปด้วยกันอย่างพร้อมเพรียงด้วยการมีสติและปัญญากำกับเพื่อการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ คือ ความเป็นเลิศด้านวิชาการ สิ่งเหล่านี้ต้องดำเนินไปด้วยความพร้อมเพรียงของเราทั้งหลาย

ด้าน พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธัมฺมสากิโย) รักษาการรองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ มมร. กล่าวว่า ในปี 2558 ประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน 10 ประเทศ จะรวมกันเป็นหนึ่งประชาคม ภายใต้คำขวัญที่ว่า “หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งอัตลักษณ์ หนึ่งประชาคม” โดยมีประชากรทั้งหมดกว่า 600 ล้านคน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 4.6 ล้านตารางกิโลเมตร ก็คือประชากรทั้ง 10 ประเทศ จะสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันภายในภาคพื้นอาเซียนอย่างเป็นอิสระ สามารถที่จะเข้าศึกษาในสถานศึกษา และทำงานในที่ทำการภายในภาคพื้นอาเซียนได้โดยไม่มีข้อจำกัด และเมื่อสภาพของสังคมเปลี่ยนไป จึงจำเป็นที่มมร. จะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่สังคมใหม่นั้นอย่างกลมกลืน และสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงนั้น ให้ดำรงอยู่ในสังคมนั้นอย่างเหมาะสมและมีความสุข

“มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาจะต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่า จะปรับตัวอย่างไรเพื่อการอยู่รอดอย่างมีศักดิ์ศรี และมีเกียรติ ภายใต้สถานการณ์แข่งขันที่จะรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นการจัดประชุมนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมของบุคลากร โดยมีการกำหนดนโยบายและบทบาทที่ชัดเจน วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาหลักสูตร และส่งเสริมด้านวัฒนธรรมของไทยอย่างเหมาะสมภายใต้ความหลากหลายและแตกต่างทางวัฒนธรรมในกลุ่มประเทศประชาคมอาเซียน” พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ กล่าว



*************************


เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ





วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

สิ้นแล้ว!! อดีตพระ "นิกร ธรรมวาที"


อดีตพระนิกร ธรรมวาที
นักเทศน์เสียงทองแห่งยุค มีผู้คนแห่ไปฟังการเทศน์ไม่ขาดสาย เสียชีวิตแล้วด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก หลังทางแพทย์ได้ให้การรักษาเยียวยา เป็นระยะเวลา 5 วัน ก็มาสิ้นลมจากไปอย่างสงบ

วันที่ 12 ก.ย.57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีคณะชาวบ้านสันปง ต.สันทราย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ได้เดินทางมารับศพ นายธรรมรัตน์ ยศคำจู หรือ วงศ์ธรรมชู อายุ 61 ปี หรืออดีต "พระครูใบฎีกานิกร ธรรมวาที" แห่งวัดสันปง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ที่โรงพยาบาลนครพิงค์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

โดยนายธรรมรัตน์ นั้นเข้ารับการรักษาตัวเมื่อวันที่ 7 ก.ย. 57 ด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก ทางแพทย์ได้ให้การรักษาเยียวยา แต่ก็มาสิ้นลมอย่างสงบ เมื่อเวลา 23.05 น. วันที่ 11 ก.ย.57 โดยกลุ่มชาวบ้านได้นำศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้านพัก ที่บ้านสันปง อ.พร้าว โดยอาจจะตั้งศพเป็นเวลา 7 วัน

สำหรับประวัติอดีตพระนิกร ธรรมวาที เป็นเจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ดอยนางแล บ้านสันปง ต.สันทราย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ อดีตพระนักเทศน์เสียงทองแห่งยุค มีผู้คนแห่ไปฟังการเทศน์ไม่ขาดสาย จนถึงขั้นต้องเปิดสำนักปฏิบัติธรรมหลายสิบแห่งทั่วประเทศ

กระทั่งเมื่อปี 2533 พระนิกรได้สร้างความปวดร้าวให้แก่ชาวพุทธ เมื่อแอบมีความสัมพันธ์กับ นางอรปวีณา บุตรขุนทอง จนมีลูกด้วยกัน เป็นข่าวโด่งดังติดต่อกันนับเดือน เพราะพระนิกรพยายามตอบโต้ข่าวว่า มีผู้อิจฉาในชื่อเสียงของตน อีกทั้งบรรดาลูกศิษย์ก็พยายามหาหนทางตอบโต้ข้อกล่าวหาว่า เป็นการกลั่นแกล้งโดยไม่เชื่อว่า พระที่ยึดมั่นในศีลธรรมและเทศน์ได้ไพเราะจะทำตัวเช่นนั้น แม้มีหลักฐานมากมายจนถึงขั้นปาราชิก แต่พระนิกร ยังไม่ยอมสึกออกจากความเป็นพระ จนต้องมีการรวบรวมหลักฐานดำเนินคดี

ในที่สุดศาลสงฆ์ มีมติระบุความผิดพระนิกรว่า เป็น "ปฐมปาราชิก" คือการเสพเมถุนกับอิสตรี ขาดจากความเป็นพระ แม้จะกลับมาบวชใหม่ก็ไม่สามารถดำรงความเป็นสมณเพศได้ เปรียบดังตาลยอดด้วนที่ไม่สามารถเจริญเติบโตและงอกเงยได้อีกต่อไป

จากนั้นก็ได้เก็บตัวเงียบแต่ยังคงนุ่งขาวห่มขาว อยู่บนสำนักปฏิบัติธรรมดอยนางแล และยังมีลูกศิษย์เป็นชาวต่างประเทศมาเยี่ยมเยือนไปมาหาสู่ตลอด จนมีข่าวล้มป่วยลงและเสียชีวิตดังกล่าว


*************************

เรื่องโดย : ไทยรัฐออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ


วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

ด่วน!! หลวงปู่พิม เกจิดังชัยภูมิ ประกาศจะละสังขารคืนนี้!! (9 ก.ย. 57)


หลวงปู่ธนวัฒน์ สิริพิมโพ หรือ หลวงปู่พิม เจ้าอาวาสวัดป่าเวฬุวัน จังหวัดชัยภูมิ พระเกจิชื่อดังภาคอีสาน เตรียมละสังขารคืนนี้ (วันที่ 9 กันยายน 2557) เวลา 21.00 น.ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิด โดยเลือกละสังขารที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างกุฏิภายในวัดด้วยวิธีเข้าไปนอนภาวนาในโลงที่เตรียมไว้ ขณะที่พุทธศาสนิกชน-ศิษย์แห่ทำบุญแน่นวัด

วันนี้ (9 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ วัดป่าเวฬุวัน บ้านท่าเริงรมย์ ต.ทุ่งพระ อ.คอนสา จ.ชัยภูมิ ได้มีพุทธศาสนิกชนและลูกศิษย์จากทั่วประเทศเดินทางมาร่วมทำบุญและปฎิบัติธรรมกันจำนวนมาก หลังจากมีการบอกเล่ากันปากต่อปากว่า หลวงปู่ธนวัฒน์ สิริพิมโพ หรือ "หลวงปู่พิม" เจ้าอาวาสวัดป่าเวฬุวัน อายุ 65 ปีเตรียมละสังขารในคืนวันที่ 9 ก.ย.นี้ เวลา 21.00 น.ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิด โดยเลือกละสังขารที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างกุฏิภายในวัดด้วยวิธีเข้าไปนอนภาวนาในโลงที่เตรียมไว้ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาหลวงปู่พิม มีโรคประจำตัว เช่น กรดไหลย้อน แผลในกระเพาะอาหาร และโรคเก๊าท์ที่ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น อย่างต่อเนื่อง

สำหรับหลวงปู่ธนวัฒน์ สิริพิมโพ หรือ หลวงปู่พิม เจ้าอาวาสวัดป่าเวฬุวัน เกิดเมื่อ พ.ศ.2492 เดิมเป็นชาว จ.เพชรบูรณ์ จากนั้นย้ายภูมิลำเนามาอยู่ที่ จ.ร้อยเอ็ด เมื่อเป็นหนุ่มเดินทางไปขายแรงงาน ขับรถเทลเลอร์ที่ประเทศซาอุดิอารเบีย ระหว่างทำงานอยู่นานกว่า 13 ปี มีความสนใจ เลื่อมใสพระพุทธศาสนา และศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อตัดสินใจเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อปี 2536 จึงเข้าสู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ที่วัดอนงค์คาราม อารามหลวง กรุงเทพมหานคร ศึกษาพระธรรมอยู่ประมาณ 1 ปี จนปี 2537 ตัดสินใจออกเดินธุดงค์ไปทั่วประเทศ กระทั่งปี 2541 มาพบเห็นสถานที่บ้านท่าเริงรมย์ ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ แห่งนี้ซึ่งเชื่อว่าเป็นพุทธภูมิเดิม จึงตัดสินใจสร้างวัดป่าเวฬุวันขึ้นจนถึงปัจจุบัน

หลวงปู่พิม เปิดเผยว่า "อาตมาเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นองค์สุดท้ายยึดปฏิบัติตามแนวคำสอนของหลวงปู่อย่างเคร่งครัด เมื่อปี 2538 เห็นและรู้วันเวลามรณภาพของตัวเอง บอกลูกศิษย์คนใกล้ชิดไว้ โดยไม่ได้ป่าวประกาศให้คนทั่วไปรับรู้ เมื่อถึงเวลาก็จะละสังขารตามกำหนด คือวันที่ 9 ก.ย.57 นี้ เมื่อพระอาทิตย์ตกดินอาตมาห้ามทุกคนเข้ามาในบริเวณกุฎิ เพื่อจะทำสมาธิและนอนในโลงที่เตรียมไว้และจะแยกร่างปลงสังขารในเวลา 21.00 น. ระหว่างนี้ได้สั่งห้ามทุกคนเข้ามาจนกว่าจะครบ 3 วันคือวันที่ 11 ก.ย. 57 เวลาประมาณ 13.00 น.จึงให้ลูกศิษย์เข้ามานำร่างไปไว้ยังสถานที่ประกอบพิธีที่อยู่ใกล้กันเพื่อนำร่างไปเผาในเวลา 21.00 น."

"อาตมารู้วันเวลามานานแล้ว ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเสียใจ การตายเป็นเรื่องธรรมดา เป็นปกติของมนุษย์ สิ่งที่สั่งเสียไว้คือให้ลูกศิษย์ลูกหาได้ยึดถือรักษาศีลตามที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้สอนไว้เท่านั้น ส่วนในวัดพระมหาบัว ปิยวัณโณ จะเป็นเจ้าอาวาสต่อจากอาตมาจะดูแลและสั่งสอนลูกศิษย์ต่อไป ข้อที่สั่งเสียไว้ก่อนตายคืออย่าสร้างวัตถุ เช่น โบสถ์ กำแพงวัด ประตูวัด เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ถือเป็นวัตถุนอกกายที่ไม่มีความจำเป็นกับการรักษาศีล ปฏิบัติธรรม" หลวงปู่พิมกล่าว

ทางด้าน นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่ยังไม่สามารถให้รายละเอียดเรื่องนี้ได้ เพราะยังไม่ทราบรายละเอียด พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดชัยภูมิ ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วและให้รายงานข้อมูลมาที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติด้วย


*************************

เรื่องโดย : manager ออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2557

ร่วมบุญ สร้าง รพ.ชุมชนวัดลาดปลาดุก


วัดลาดปลาดุก ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี วัดตั้งอยู่ริมคลองบางไผ่และคลองลาดปลาดุก ซึ่งเป็นคลองติดต่อกับคลองพิมลราชปัจจุบัน มีถนนแยกจากถนนตลิ่งชัน-สุพรรรบุรี เขาไปถึงวัด ประวัติความเป็นมา ประมาณ พ.ศ.๒๔๕๐ มีราษฎรเข้ามาจับจองบุกเบิกที่ดินบริเวณที่เป็นป่าในที่ลุ่มคลองลางไผ่ถึงหนองเพรางายเกิดเป็นชุมชนขึ้น มีการขุดทางน้ำเพื่อทำการเกษตร มีการคมนาคมทางเรือบริเวณที่ลุ่มแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยปลานานาพันธุ์ โดยเฉพาะปลาดุก แม้ในฤดูแล้งบริเวณนี้ยังคงมีหนองน้ำและปลามาอยู่รวมกันจำนวนมากมาย ชาวบ้านจึงเรียกว่า ลาดปลาดุก เมื่อมีผู้คนมาอยู่กันมากขึ้นประมาณ พ.ศ.๒๔๖๕ ชาวบ้านได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นริมคลองลาดปลาดุกเป็นวัดเล็กๆ อยู่กลางทุ่งนา เนื่องจากวัดตั้งอยู่ริมคลองลาดปลาดุก จึงมีชื่อว่า วัดลาดปลาดุก

ปัจจุบันวัดลาดปลาดุกมีเนื้อที่ ๒๒ ไร่ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๗๓ และต่อมาเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันได้ซื้อที่ด้านทิศตะวันออกเพิ่มอีก ๑๒ ไร่ ใช้เป็นที่อเนกประสงค์ และปลูกป่าไม้สัก, ไม้ตะเคียน เมื่อแรกสร้างวัดนั้นการเดินทางของชาวบ้านมีเพียงทางเรือเท่านั้น ปัจจุบันถนนเข้าสู่วัดหลายสาย ถนนสายหลักคือ ถนนตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี ทำให้วัดลาดปลาดุกติดต่อกับชุมชนอื่นๆ ได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น และได้เปลี่ยนสภาพจากวัดในชุมชนกลางทุ่งนามาเป็นวัดในชุมชนเมืองในปัจจุบันนี้

อุโบสถหลังใหม่สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๗ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่ ๕ ห้องกว้าง ๖ เมตร ยาว ๒๕ เมตร อาคารอุโบสถตั้งอยู่บนฐานไพทีที่มีความสูงแสนเป็นลานประทักษิณที่มีความกว้างเดินได้รอบอุโบสถบนฐานไพทีทำกำแพงแก้วล้อมอุโบสถและตั้งซุ้มเสมา ฐานไพทีเป็นห้องโถงอยู่ใต้อาคารอุโบสถบันไดขึ้นบนลานประทักษิณอุโบสถอยู่ที่ด้านหน้า ด้านหลัง และด้านข้างทั้ง ๒ ด้าน ได้ทำพิธีผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิตเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๒

ปัจจุบันวัดลาดปลาดุก มี พระพิมลศีลาจาร หรือ หลวงพ่อแสวง ปภังกโร เป็นเจ้าอาวาส ท่านเรียนวิชาจากสาย หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน และ สมเด็จพระวันรัตแดง จาก หลวงปู่เผือก วัดโมลี และหลวงพ่อเปลี่ยน วัดละหาร และ หลวงพ่อแสวง ได้ศึกษากับ สมเด็จพระโฆษาจารย์ (เจริญ) วัดเขาบางทราย ด้วย ปัจจุบันท่านอายุ ๗๘ ปี เป็นพระที่สันโดษ มีจิตที่เข้มแข็งได้กรรมฐานเป็นอารมณ์ ชาวบ้านย่านวัดลาดปลาดุกและบางบัวทอง ต่างรู้ว่าท่านเป็นพระที่ดีไม่เป็นสองรองใคร โดยเฉพาะ เหรียญตาโบ้หนังเด้ง นั่นคือเหรียญรุ่นแรกของท่านที่มีประสบการณ์ต่างๆ ที่ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออกบ้าง หรือแคล้วคลาดเรื่องต่างๆ บ้าง จนตอนนี้ทำให้เหรียญรุ่นแรกมีราคาถึงครึ่งหมื่นแล้ว

ในโอกาสที่หลวงพ่อสิริอายุครบ ๘๐ปี ในวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ที่จะถึงนี้ ขอเชิญร่วมบุญมหากุศล สร้างโรงพยาบาลชุมชนกับ หลวงพ่อแสวง ปภังกโร เพื่อให้การก่อสร้างโรงพยาบาลชุมชนบรรลุตามเป้าหมายที่สร้างไว้ในปีนี้ ท่านออกวัตถุมงคลหลายอย่าง อาทิ ล็อกเกต รุ่นแรก แหวนแก้เคล็ด และกำไร แสวงทรัพย์ โดยเฉพาะแหวนแก้เคล็ด รุ่น ยันต์พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ นี้ ทุกๆ วงผ่านพิธีการปลุกเสกจากพระเกจิคณาจารย์ชื่อดังอย่างเข้มขลัง ได้แก่


หลวงพ่อแสวง วัดลาดปลาดุก นนทบุรี เป็นที่นับถืออย่างมาก มีลูกศิษย์มากมายทั้งในพื้นที่และต่างพื้นที่ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ต่างนับถือ เดินทางมากราบสักการะท่านถึงกุฏิ เพื่อความเป็นสิริมงคล ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบุญได้ที่ วัดลาดปลาดุก โทร.๐๘-๕๕๑๖-๓๗๒๓ และ ๐๘-๓๒๔๙-๖๓๐๘



*************************


เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ