วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

เจ้าอาวาสวัดสระเกศ เคลียร์ชัด ทุกกรณี!!


พระพรหมสุธี (เสนาะ ปัญญาวชิโร) เจ้าอาวาส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เจ้าคณะภาค 12 กรรมการมหาเถระสมาคม ให้สัมภาษณ์พิเศษกับทีมข่าว กรณีมีแถลงการณ์โจมตี หลังได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอวาสวัดสระเกศฯ และ นายชัยธนพล ศรีจิวังษา ผู้ประสานงานองค์กรเครือข่ายภาคประชาชนพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ (อพช.) เข้าร้องเรียนกับกรมสอบสวนพิเศษ กล่าวโทษ และให้ตรวจสอบพฤติกรรมของพระพรหมสุธีว่า มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริต ร่ำรวย มีรถยนต์หรู่ร่วม 20 คัน โดยพระพรหมสุธี กล่าวปฏิเสธในทุกกรณี

"จริงๆอาตมาอยากให้เงียบที่สุด ไม่อยากให้เป็นข่าว อยากปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปเรื่อยๆ ถือว่าไม่ได้เป็นไปตามข่าว แต่เมื่อโยมติดต่อมา อาตมาก็จะเล่าให้ฟัง...ข่าวก็คือข่าว ขอปฏิเสธในทุกกรณี หาว่าอาตมามีเงินเป็น 1000 ล้าน มันเป็นไปไม่ได้ การปล่อยข่าวออกมา เพื่อโยงให้เห็นว่า มีเงินมาก ได้มาจากการโกงเงินวัดหรือเปล่า...ไม่มีหรอกเงินขนาดนั้น เป็นวิธีการสร้างข่าว เพื่อให้เกิดความแตกตื่น" เจ้าอาวาสวัดสระเกศ กล่าว

เมื่อถามว่า เงินสะสมของวัดตั้งแต่สมัยสมเด็จเกี่ยวฯ เป็นเจ้าอาวาส ยังอยู่ครบถ้วนหรือไม่ พระพรหมสุธี กล่าวย้ำว่า อาตมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสแค่ 7 เดือน ยังไม่ได้ใช้เงินสะสมของวัดเลย เงินที่ใช้อยู่เป็นเงินที่ญาติโยมมาทำบุญในช่วงที่อาตมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอวาสแล้ว และตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นว่า จะไม่ใช้เงินสะสมของสมเด็จเกี่ยวฯ

เมื่อถามว่า ใบปลิวที่ออกมาโจมตีเป็นปัญหาความขัดแย้งภายในวัดหรือไม่ โดยเฉพาะเกี่ยวกับตำแหน่งเจ้าอวาส พระพรหมสุธี กล่าวว่า ก็อาจจะมีผู้ประสงค์ไม่ดี แต่ก็เป็นเรื่องของพระ เรื่องของสงฆ์ จะพูดอะไรออกไปก็ต้องระวัง พูดมากไปก็ไม่ดี เพราะคนเราไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์ หรือฆาราวาส ก็มีทั้งคนรัก และคนไม่รัก แต่จะให้ชี้ชัดลงไปว่าใครทำ เราไม่อยากชี้ชัดลงไป แต่ก็รู้ๆกันอยู่ อย่างที่ทุกคนเข้าใจ

ส่วนข้อกล่าวหาเรื่องมีรถหรู่ร่วม 20 คัน พระพรหมสุธี กล่าวว่า ไม่ถึงขนาดนั้น ไม่ถึง 20 คัน แต่มีหลายคัน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นรถยนต์ที่ญาติโยมนำมาถวลายตั้งแต่สมัยเป็นรองเจ้าอาวาส พร้อมกับยกตัวอย่างว่า มีผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์บางฉบับ ก็นำรถมาถวายต่อเนื่องถึง 3 คัน เจ้าของโรงพยาบาลบางแห่ง ก็นำรถมาถวายทุก 3 ปี และคนที่นำรถมาถวายทุกวันนี้ก็ยังอยู่ สามารถที่จะมายืนยันได้ แต่อาตมาไม่อยากเอ่ยชื่อเขา เดี๋ยวจะขยายเรื่องไปอีก และทุกวันนี้รถทุกคันก็ยังอยู่ ใช้งานได้หมดทุกคัน เราก็ซ่อมบำรุงดูแลไปตามสภาพ คันหนึ่งก็ถวายให้หลวงพ่อในวัดไปใช้ เนื่องจากอาพาธต้องไปโรงพยาบาลบ่อย อีกคันก็ไว้รับส่งพระ-เณรในวัด ส่วนอาตมาเองก็มีรถเบนซ์ใช้อยู่คันเดียว ที่เหลือเป็นรถตู้ รถเก๋งบ้าง

เช่นเดียวกับข้อกล่าวหาใช้ตำแหน่งเจ้าคณะภาค และกรรมการมหาเถรสมาคมวิ่งเต้นตำแหน่งในวงการสงฆ์ พระพรหมสุธี กล่าวว่า อาตมาเป็นเจ้าคณะภาค 12 จริง และเป็นมานานแล้วด้วย ถ้าอาตมาใช้ตำแหน่งเจ้าคณะภาค 12 หรือใช้ตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมวิ่งเต้นแล้วรับเงิน อาตมาคงอยู่ไม่ได้แล้ว "รับเงินมาแล้วจะมีหลักประกันอะไรว่าจะได้รับตำแหน่งตามนั้น เพราะการพิจารณาตำแหน่งในวงการสงฆ์ต้องผ่านมหาเถรสมาคม ที่มีพระระดับสมเด็จถึง 21 รูปเป็นกรรมการ พระผู้ใหญ่ทั้งนั้น ทุกคนมีสิทธิ์เสนอ มีสิทธิ์ที่จะพูด หรือจะต้องวิ่งเต้นผ่านพระสมเด็จทั้ง 21 รูป

"การพิจารณาตำแหน่งในวงการสงฆ์ อาตมาคิดว่าใสสะอาด 100 เปอร์เซ็น เพราะต้องผ่านการพิจารณาจากมหาเถระ พระชั้นผู้ใหญ่ทั้งนั้น รับเงินมาก็การันตีไม่ได้ว่าจะได้ตำแหน่ง ปิดปากพระสมเด็จทุกรูปไม่ได้หรอก และในวงการสงฆ์เวลาพิจารณาก็ไม่มีการโหวต พูดกันด้วยเหตุด้วยผล ตามความเหมาะสม"

ยังมีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับสีกา เข้าออกในกุฏี พระพรหมสุธี อธิบายว่า ในวงการสงฆ์ การทำลายกัน วิธีการที่ง่ายที่สุด ก็คือสีกา เอาเรื่องสีกาขึ้นมากล่าวหา แต่ทั้งหมดมันอยู่ที่ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน ถ้าอาตมาเป็นอย่างที่กล่าวหา อาตมาอยู่ไม่ได้แล้ว ไปนานแล้ว ลองดูอย่างพระนิกร พระยันตระ ก็อยู่ไม่ได้

ส่วนเรื่องธุรกิจสวนกล้วยไม้ และบ้านจัดสรร พระพรหมสุธี กล่าวว่า เป็นธุรกิจของครอบครัวที่เขาทำมานานกว่า 10 ปีแล้ว เป็นของน้องชาย (เอกวัฒน์ ฝังมุข)

"เป็นธุรกิจของครอบครัว ที่น้องชายเขาทำมากว่า 10 ปีแล้ว ญาติร่วมสายโลหิต ความเป็นพี่เป็นน้องกันก็ต้องมี เขาก็ทำมาหากินกันไปนะ เหมือนโยมเป็นนักข่าว แต่อาจมีพี่ๆน้องๆคนอื่น ทำอีกอาชีพหนึ่ง ต่างคนต่างทำมาหากินกันไป ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ความเป็นพี่เป็นน้องกันก็ต้องมี"

ส่วนข้อกล่าวหาเรื่องเงิน 67 ล้านบาท ที่ใช้ในการจัดงานศพสมเด็จเกี่ยว พระพรหมสุธี กล่าวว่า อาตมาจะอธิบายให้ฟังว่า รัฐบาลให้งบประมาณมาจัดงานศพสมเด็จเกี่ยว 67 ล้านบาท วัดฯก็รับเงินมาเปิดบัญชีแยกไว้ต่างหาก และได้ใช้งบประมาณไปแล้วส่วนหนึ่งในการจัดการงานศพสมเด็จเกี่ยว งบประมาณยังใช้ไม่หมด บางรายการยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ เช่น การจัดสร้างโต๊ะหมู่บูชาถวายวัดต่างๆ ที่สั่งไปทั้งหมด 100 ชุด เพิ่งเสร็จ 20 ชุด งบประมาณจึงยังไม่ได้เบิกจ่าย ยังเก็บไว้อยู่ แต่เงินจะเหลืออยู่เท่าไหร่ ก็ยังไม่ทราบ

"อาตมาคิดว่า เมื่องานเสร็จแล้วจะรายงานไปยังรัฐบาล เพราะเป็นเงินภาษีของประชาชน ถ้ามีเงินเหลือจะถามรัฐบาลว่าจะเอาคืนหรือไม่ ถ้ารัฐบาลไม่เอาคืน ตั้งใจจะตั้งเป็นกองทุนสมเด็จพระพุฒาจารย์ เพื่อใช้ในกิจการพุทธศาสนา หรือทุนการศึกษาของพระสงฆ์"



*************************


เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น