วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

สมเด็จพระสังฆราชลาว อาพาธหนัก!!


หลวงปู่พระมหาผ่อง สะมาเลิก อายุ 101 ปี พระอริยสงฆ์สองแผ่นดินและสองฝั่งโขง พระสงฆ์ไทยที่ไปเป็นประธานสงฆ์ลาว อาพาธ ขณะที่ชาวพุทธและชาวโพธิคยาฯ พร้อมใจกันขอพรจากพระพุทธองค์ ให้หายอาพาธโดยเร็ว

วันที่ 27 ก.ย. 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 และนายเกษม มูลจันทร์ รองเลขาธิการ ได้เป็นตัวแทนของสถานบันโพธิคยา เดินทางไปเยี่ยมพระอาจารย์ใหญ่ ดร.พระมหาผ่อง สะมาเลิก อายุ 101 ปี เจ้าอาวาสวัดองค์ตื้อมหาวิหาร ประธานศูนย์กลางองค์การพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว (สมเด็จพระสังฆราชลาว) ที่วัดองค์ตื้อมหาวิหาร ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หลังได้รับแจ้งว่า หลวงปู่ผ่อง ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของสถาบันโพธิคยาฯ มีอาการอาพาธค่อนข้างรุนแรง

เมื่อไปถึงพบหลวงปู่ นอนซมอยู่บนที่นอนซึ่งปูราบอยู่กับพื้นภายในกุฏิ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและทีมแพทย์ของลาว เฝ้าดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด ขณะที่สมาชิกของสถาบันโพธิคยาฯ รวมถึงชาวพุทธที่ทราบข่าว ต่างพากันสวดมนต์ขอพรจากพระพุทธองค์ให้หลวงปู่ผ่องหายจากอาการอาพาธโดยเร็ว

หลังจากเข้าเยี่ยมอาการ นายสุภชัย ได้พยายามพูดคุยเพื่อนิมนต์หลวงปู่ผ่อง ให้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเนื่องจากหลวงปู่ผ่อง เป็นพระที่มีจิตใจเข้มแข็ง สมถะ ไม่ประสงค์จะรบกวนใคร อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นายสุภชัย และทีมแพทย์ของลาวพร้อมเครือญาติได้ร้องขอ หลวงปู่ผ่องจึงยอมเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลมโหสถ ในกรุงเวียงจันทน์

ขณะที่ นายสุภชัย กล่าวว่า หลวงปู่เป็นพระนักปฏิบัติที่สามารถกล่าวได้ว่า หลวงปู่เป็นพระอริยสงฆ์สองแผ่นดิน โดยล่าสุด ที่ตอบรับนิมนต์ไปเป็นประธานเปิดการประชุมเสวนาพุทธพลิกสุวรรณภูมิ ที่ จ.เสียมเรียบ กัมพูชา หลวงปู่ผ่องก็เริ่มมีอาการอาพาธแล้ว แม้ทีมแพทย์จะร้องขอแต่หลวงปู่ผ่องตอบเพียงแค่ว่า "ต้องไป" โดยช่วงระหว่างที่อยู่ที่เสียมเรียบ หลวงปู่ผ่อง ต้องเข้ารับการรักษาตัวอย่างกะทันหันกลางดึกมาแล้วครั้งหนึ่ง ล่าสุด หลวงปู่ผ่องได้อยู่ในการดูแลของทีมแพทย์เรียบร้อยแล้ว และอาการเริ่มทรงตัวดีขึ้น

*************************

เรื่องโดย : ไทยรัฐออนไลน์
เรียบเรียงโดย : ทีมข่าวมงคลพระ


วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

โชคดี... ที่มีความทุกข์


มนุษย์
คือ สิ่งมีชีวิตที่มักจะไม่ยอมหยุด เราไม่ยอมหยุดคิด หยุดกิน หยุดใช้ หยุดหา แม้ในบางเวลาที่เราผ่อนคลายร่างกายด้วยการนอนหลับตา เรายังไม่ยอมเลิกราที่จะคิดวิตกกังวล ด้วยเหตุนี้จึงมิใช่เรื่องแปลก ที่หลายคนมักจะรู้สึก “เหนื่อย” ...ยิ่งโต ยิ่งมี ยิ่งผ่านไปนานปีก็ยิ่งเหนื่อย ความอ่อนล้า เครียด ตึง เมื่อย จึงแปรสภาพเป็นกาฝากไม้เลื้อย เกาะกินจิตใจที่แสนจะเหน็ดเหนื่อย ให้สึกกร่อนไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็น “ความทุกข์”

หากแต่ความทุกข์นั้น ใช่ว่าจะไร้ซึ่งประโยชน์เสมอไป ความทุกข์เปรียบเสมือน “ปรอทวัดไข้” ที่ธรรมชาติบรรจงสร้างไว้ภายในใจของเรา ปรอทวัดไข้ใจนี้ จะคอยทำหน้าที่เตือนเราอยู่เสมอ เมื่อใดที่อุณหภูมิแห่งความทุกข์ภายในใจ ถึงขีดที่ธรรมชาติกำหนดไว้ว่าจะต้องดูแลรักษา มันจะส่งสัญญาณคอยเตือนเราว่า หากไม่รีบดูแลรักษา “อาการป่วยจิตขั้นโคม่า” กำลังจะเข้ามาเยี่ยมเยือน

เมื่อร่างกายป่วย “ยา” คือ สิ่งที่ช่วยให้ฟื้นคืนสภาพ แต่เมื่อใดที่ใจป่วย สมาธิ คือ ยาที่ช่วยบำรุงจิตใจ ...น้อยคนนัก ที่จะรู้จักพักใจโดยใช้สมาธิ ...ยิ่งเมื่อยามสุข ยิ่งประมาทในทุกข์ ยิ่งไร้ซึ่งสติ ฉะนั้น เมื่อใดที่ใจของเราเริ่มมีทุกข์ จงใช้วิธีปลุกให้จิตตื่นจากความทุกข์โดยใช้สมาธิ เมื่อเรามีสมาธิ สติจึงมาปัญญาจึงเกิด สรรพคุณแห่ง สมาธิ จะทำหน้าที่คอยไล่ตะเพิด เชื้อโรคร้ายที่ทำให้เกิดความทุกข์ในจิตใจ

บทสรุปนี้ จึงชี้ให้เห็นข้อดีของการมีความทุกข์ หรือ “ปรอทวัดไข้ใจ” ที่จะคอยเตือนเราว่าวันหรือเวลาใด ที่ใจของเราต้องการ “ยาบำรุง” ...เพียงแค่ผ่อนคลาย หลับตา ปล่อยวาง เพื่อสอนใจให้รู้จัก “หยุด” เสียบ้าง สมาธิจะกระจ่าง สงบ ใส และ สว่างภายในจิตของเรา


******************

เรื่อง โดย มงคลพระคาถา
เรียบเรียง โดย ทีมข่าวมงคลพระ



วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558

คณะสงฆ์นครปฐม ติวเข้มเจ้าอาวาส และ ไวยาวัจกร


คณะสงฆ์จังหวัดนครปฐมได้ตื่นตัวขานรับ ร่วมมือกับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม จุดประกายจัดโครงการถวายความรู้เจ้าอาวาส และอบรมไวยาวัจกร เพื่อให้สามารถจัดทำบัญชีรับจ่าย และดูแลรักษาศาสนสมบัติที่ดินธรณีสงฆ์ของวัดได้อย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมสืบต่อไปในอนาคต

การอบรมครั้งใหญ่นี้กำหนดจัดขึ้นในวันอังคารที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ ณ สถานที่ก่อสร้าง วิหารหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม ร่วมกับคณะสงฆ์ จัดโครงการถวายความรู้เจ้าอาวาสและอบรมไวยาวัจกร จัดขึ้นตั้งแต่เวลา ๐๗.๐๐-๑๖.๐๐ น. โดยนิมนต์พระสงฆ์และเชิญไวยาวัจกรจากวัดในเขตอำเภอเมืองนครปฐม กำแพงแสน ดอนตูม สามพราน นครชัยศรี บางเลน และอำเภอพุทธมณฑล

ในโอกาสดังกล่าวนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม ได้ร่วมกับ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาส วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม จัดทำโครงการถวายความรู้เจ้าอาวาสและอบรมไวยาวัจกรจังหวัดนครปฐมขึ้น ซึ่งปัจจุบันนี้มีเจ้าอาวาสวัดจำนวน ๒๒๐ รูป และไวยาวัจกรวัดจำนวน ๒๒๐ คน

นายวิโรจน์ อุ่นทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม เปิดเผยว่า การจัดโครงการดังกล่าวนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การจัดทำบัญชีรับจ่าย และการดูแลรักษาศาสนสมบัติของวัดเป็นไปอย่างถูกต้อง เนื่องจากเจ้าอาวาสและไวยาวัจกรถือว่ามีหน้าที่และบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการจัดทำบัญชีรับจ่ายของวัด รวมทั้งต้องดูแลทรัพย์สินศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย นอกจากนี้ยังทำให้ไวยาวัจกรได้ทราบบทบาทหน้าที่อันจะนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ตลอดจนเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เรียนรู้ การปฏิบัติหน้าที่ของไวยาวัจกรในแต่ละวัดซึ่งอาจมีความแตกต่างกันออกไป

ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ.๒๕๑๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ ข้อ ๖ ให้เจ้าอาวาสวัด ให้ไวยาวัจกร หรือผู้จัดประโยชน์ของวัดซึ่งเจ้าอาวาสแต่งตั้งทำบัญชีรับจ่ายเงินของวัด และเมื่อสิ้นปีปฏิทินให้ทำบัญชีเงินรับจ่าย และคงเหลือ ทั้งนี้ ให้เจ้าอาวาสตรวจตราดูแล ให้เป็นไปโดยเรียบร้อย จากกฎกระทรวงดังกล่าว เจ้าอาวาสและไวยาวัจกรถือว่ามีหน้าที่และบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในการทำบัญชีรับจ่ายของวัดให้ถูกต้อง อีกทั้งต้องดูแลทรัพย์สิน ศาสนสมบัติของวัด ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

หลวงพี่น้ำฝน กล่าวว่า ปัจจุบันวัดมีบทบาทสำคัญต่อสังคมไทยมาแต่อดีตเป็นเวลายาวนาน ความผูกพันกับวัดเกี่ยวข้องกับบุคคล ชุมชน และสังคมมีความสัมพันธ์กันตั้งแต่ช่วงวัยแรกและช่วงสุดท้ายของชีวิต กิจกรรมภายในวัดมีความหลากหลาย ตั้งแต่เพียงเป็นสถานที่พำนักของพระภิกษุสงฆ์ ให้พุทธศาสนิกชนเข้ามาทำบุญและประกอบศาสนกิจต่างๆ จนถึงการเป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งนันทนาการ ศูนย์กลางการเรียนรู้ การพัฒนา การสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน กิจกรรมที่มีการดำเนินการในวัดมีความหลากหลาย ได้แก่ การทำบุญ ทำทาน ในรูปแบบต่างๆ การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา งานศพ งานบวช งานแต่งงาน งานวันเกิด ฯลฯ การเช่าหาวัตถุมงคล การจัดงานนันทนาการในรูปแบบต่างๆ (งานวัด) เป็นต้น


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ร่วมบุญ เปลี่ยนผ้าครอง หลวงพ่อพูล เทพเจ้าแห่งวัดไผ่ล้อม นครปฐม


พระมงคลสิทธิการ หรือ หลวงพ่อพูล อัตตะรักโข พระอมตะเถราจารย์แห่ง วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่มีประชาชนให้ความเคารพศรัทธาทั่วประเทศ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ด้วยความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย เสมอต้นเสมอปลาย ให้ความเมตตาต่อศิษยานุศิษย์ทุกชั้นวรรณะ หลวงพ่อพูลท่านได้เคยสร้างคุณประโยชน์ไว้มากมายในบวรพุทธศาสนา เป็นที่ประจักษ์อย่างเป็นรูปธรรม ถาวรวัตถุทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นจากความตั้งใจ จรรโลงไว้เพื่อคุณงามความดี มีหลักยึดพระธรรมในการรังสรรค์ด้วยความเสียสละ เพื่อสังคมส่วนรวมอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๔๘ ตรงกับวันวิสาขบูชา ท่านได้ละสังขารอย่างสงบ จวบจนวันนี้ครบ ๑๐๑ ปีชาตกาล สรีระของท่านไม่เน่าเปื่อย คงสภาพเดิมทุกประการ พุทธศาสนิกชนจากทั่วสารทิศต่างแห่แหนเดินทางมากราบสักการะสังขารของท่านมิขาดสาย ทำให้ทุกวันนี้บนศาลาการเปรียญ ที่ประดิษฐานสังขารของท่านมีประชาชนจำนวนมากเดินทางมากราบสังขารหลวงพ่อแน่นขนัดทุกวัน เพื่อสร้างขวัญกำลังใจในการดำเนินชีวิต เพื่อความเป็นสิริมงคลในหน้าที่การงาน ค้าขายดีมีกำไร ไม่เจ็บไม่จน กินอิ่มนอนอุ่น ตลอดไป

พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน ทายาทศิษย์เอกแห่งองค์หลวงพ่อพูล ผู้ดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิหลวงพ่อพูล และเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ได้กล่าวว่า ในระหว่างที่หลวงพ่อพูลยังมีชีวิตอยู่นั้น มีชาวบ้านมาให้ท่านเจิมแป้งนะเมตตามหามงคล นับเป็นความเมตตาของหลวงพ่อพูลที่มีต่อลูกศิษย์ลูกหาทั่วไปอย่างมาก โดยเชื่อว่าการเจิมแป้งที่เสกโดยพระเกจิอาจารย์นั้น ถือเป็นการเสริมบารมี และส่งผลให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในชีวิต มีโชค มีลาภ ร่ำรวยมหาศาล ไม่เจ็บ ไม่จน กินอิ่ม นอนอุ่นตลอดกาล จากนั้นญาติโยมเหล่านี้จะเดินทางกลับมาให้เจิมอีก เพราะต่างสำเร็จสมหวังในสิ่งที่ปรารถนา นี่คือที่มาแห่งการเจิมแป้งนะเมตตามหามงคล ตำรับหลวงพ่อพูลที่เป็นอมตะมายาวนานจวบจนปัจจุบันนี้


อย่างไรก็ตามใน วันอาทิตย์ที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๘ นี้ หลวงพี่น้ำฝน จะเปิดโอกาสให้ญาติโยมศิษยานุศิษย์ ได้สัมผัสหลวงพ่ออย่างใกล้ชิด โดยจัดให้มีพิธีถวายสักการะสรีระพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล สวดพระพุทธมนต์ ประกอบพิธีสรงน้ำเช็ดตัวเปลี่ยนผ้าครองที่สังขารหลวงพ่อพูล ตั้งแต่เวลา ๑๗.๐๐ น.เป็นต้นไป ณ ศาลาปุริมานุสรณ์ (ศาลาการเปรียญ) วัดไผ่ล้อม

สำหรับพิธีลงกระหม่อม โดยในระหว่างเวลาดังกล่าวนี้ หลวงพี่น้ำฝน ท่านเปิดโอกาสให้ญาติโยมพุทธศาสนิกชน เข้ากราบสักการะสังขารหลวงพ่ออย่างใกล้ชิด ด้วยการก้มกราบน้อมศีรษะจรดแตะไปที่ปลายเท้าหลวงพ่อ เพื่อความเป็นสิริมงคล กับครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้สัมผัสพระอริยสงฆ์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม โทร.๐๘-๕๔๑๕-๖๔๖๔ และ ๐๖-๑๗๘๒-๖๔๖๒ หรือ ที่ www.watpailom.org


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



หลวงพ่อโต วัดสาขลา ตำนานแห่งหมู่บ้านสาวกล้า จ.สมุทรปราการ


วัดสาขลา ตั้งอยู่เลขที่ ๑๙ บ้านสาขลานาเกลือ หมู่ ๑๙ ต.นาเกลือ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ เป็นวัดเก่าแก่ซึ่งมีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน โดยสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๓๒๕ สันนิษฐานว่าชาวบ้านช่วยกันสร้างเมื่อคราวที่รบชนะพม่า ...กว่า ๒๓๓ ปี ของวัดแห่งนี้ เต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันได้ถูกพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของ จ.สมุทรปราการ

ชุมชนบ้านสาขลา เป็นหมู่บ้านตั้งอยู่ริมปากแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ไหลลงสู่ทะเลอ่าวไทย ก่อตั้งขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ต่อมาเมื่อเกิดสงคราม ๙ ทัพในรัชสมัยรัชกาลที่ ๑ ชาวบ้านที่เป็นผู้ชายได้ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร เหลือแต่ผู้หญิงและคนชรา เมื่อทหารพม่าเดินทัพผ่านมา พยายามเข้าตีเพื่อยึดเอาเสบียงอาหาร แต่ชาวบ้านทุกคนได้ร่วมแรงร่วมใจหยิบอาวุธเท่าที่พอจะหาได้ ออกไปต่อสู้กับทหารพม่าอย่างกล้าหาญ และเอาชนะทหารพม่าได้ หมู่บ้านแห่งนี้จึงมีชื่อเรียกว่า “หมู่บ้านสาวกล้า” ตามวีรกรรมอย่างกล้าหาญของผู้หญิงในหมู่บ้านนี้ ก่อนที่จะเพี้ยนมาเป็น “หมู่บ้านสาขลา” เช่นในปัจจุบัน

วิหาร หลวงพ่อโต พระพุทธรูปเก่าแก่ประจำวัด ซึ่งวิหารจะอยู่ติดกับอุโบสถที่ยกสูงขึ้นเมื่อครั้งถูกน้ำท่วม เดินขึ้นไปจะมีชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต่างยืนถือดอกไม้ ธูป เทียน เตรียมสักการะไม่ขาดสาย

ลองเดินเข้าไปในวิหาร อันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่หลายองค์ โดยเฉพาะ หลวงพ่อโต ที่สร้างมาพร้อมกับวัด เป็นพระพุทธรูปศิลปะสมัยอู่ทอง ปางมารวิชัย เป็นที่เคารพบูชาของชาวบ้านสาขลา คนเฒ่าคนแก่แถวนั้นเล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์ของ หลวงพ่อโต ว่า เมื่อคืนวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๒๖ เวลาประมาณ ๒๑.๐๐ น. ได้เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างช่วยกันดับไฟ แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก พายุเพลิงได้ลุกโหมกระหน่ำไม่หยุดหย่อน จนเกินความสามารถของชาวบ้าน

ในขณะนั้นได้เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นมา เมื่อชาวบ้านที่ออกไปหาปูปลาไม่ไกลจากหมู่บ้าน ได้เห็นสิ่งอัศจรรย์ เมื่อ หลวงพ่อโต ยืนเอาจีวรโบกไฟที่กำลังโหมไหม้ จนค่อยๆ ดับลง พร้อมกับได้ยินเสียงสวดมนต์อย่างต่อเนื่อง

พอรุ่งเช้า ชาวบ้านทราบข่าวว่า มีคนเห็นองค์หลวงพ่อโตช่วยดับไฟ ทุกคนจึงแห่ไปดูที่วัด และต้องตกตะลึง บางคนถึงกับร้องไห้ เมื่อเห็นว่าองค์หลวงพ่อโต ดำไปด้วยเขม่าทั้งองค์ ผ้าที่ห่มกรอบไหม้ ใบหน้าของท่านมีร่องรอยเหมือนน้ำตาไหล ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันทำบุญให้ หลวงพ่อโต ทุกวันที่ ๖ มกราคม ของทุกปี จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้าน...ถึงทุกวันนี้


ในส่วนของ อุโบสถ โดยรอบจะมีลูกนิมิตโบราณ ๘ ลูก วางอยู่บนแท่นพญานาค ๗ เศียร ชาวบ้านแถวนั้นเล่าว่า ลูกนิมิตโบราณนี้มีอายุไม่ต่ำกว่า ๑๕๐ ปี ซึ่งได้ขุดพบตอนที่ทางวัดได้ยกอุโบสถให้สูงขึ้น นอกจากนี้ยังขุดพบพระพุทธรูปโบราณอีกเป็นจำนวนมาก

ลักษณะของลูกนิมิตนั้นมีลักษณะไม่กลม แต่จะมีรูปทรงบิดเบี้ยว ซึ่งทางวัดได้เปิดให้ชาวบ้านร่วมปิดทองเพื่อความเป็นสิริมงคลกับตัวเอง

วิหาร ในขณะที่กำลังยกวิหารให้สูงขึ้น ได้ขุดพบพระพุทธรูปที่มีลักษณะหันหลังชนกัน องค์หนึ่งปางประทานพร อีกองค์หนึ่งปางห้ามสมุทร

เมื่อชาวบ้านได้ขุดและอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นมา ปรากฏว่า ด้านล่างเป็นบ่อน้ำขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ที่ทำให้ชาวบ้านต้องตกตะลึง ก็คือ เป็นบ่อน้ำจืด ซึ่งในบริเวณพื้นที่ตรงนั้นจะติดกับทะเล ทำให้พื้นดินเป็นน้ำเค็มทั้งหมด สร้างความอัศจรรย์ใจให้แก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง ปัจจุบันบ่อน้ำนั้นก็ยังคงเป็นบ่อน้ำจืดอยู่เช่นเคย

พระพุทธรูปที่ขุดพบใต้วิหาร ซึ่งตรงกับฐานองค์หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปศิลา ด้านบนเศียรเป็นฐานของหลวงพ่อโต ซึ่งเป็นอิฐก้อนใหญ่ที่นิยมใช้ในอดีต โดยมีเกร็ดความรู้ว่า นั่นก็คือ วิธีการเชื่อมอิฐสมัยอดีต ซึ่งใช้น้ำผึ้งผสมกับอ้อย เหมือนเป็นกาว ให้อิฐติดกันได้ดี ถือเป็นภูมิปัญญามาแต่ครั้งโบราณ

พระปรางค์เอียง ตั้งอยู่บริเวณหน้าวัด ริมคลองสาขลา ถือเป็นสัญลักษณ์เฉพาะของวัดแห่งนี้ คนเฒ่าคนแก่แถวนั้นเล่าให้ฟังว่า ในอดีตการทำสิ่งปลูกสร้างจะไม่ใช้วิธีลงเสาเข็มเหมือนปัจจุบัน แต่จะใช้วิธีวางท่อนซุงหรือท่อนไม้ไขว้กันไปมา ตรงบริเวณการสร้างพระปรางค์ก็เช่นกัน แต่บริเวณนั้นอยู่ใกล้กับริมคลอง คนสมัยก่อนจึงได้วางท่อนไม้บริเวณริมคลองไว้มาก เพราะกลัวว่าเวลาผ่านไปอาจจะถูกน้ำกัดเซาะขึ้นมาถึงฐานพระปรางค์ได้ จึงวางท่อนไม้ไว้มากกว่าอีกด้านหนึ่งที่ไม่ติดคลอง แต่เวลาเนิ่นนานทางฝั่งคลองพื้นที่ยังคงเดิม แต่ฝั่งพื้นดินกลับทรุดลง จึงทำให้พระปรางค์เอียงนั่นเอง

ปัจจุบัน พระปรางค์ยังคงอยู่แบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าไปชมหลายๆ คน อาจจะสงสัยว่าทำไมพระปรางค์ถึงไม่สูงนัก นั่นก็เพราะได้มีการถมดินบริเวณฐานพระปรางค์ขึ้นมากว่าเดิมถึง ๒ เมตร จึงทำให้รู้สึกว่าพระปรางค์ไม่สูง แต่แท้จริงแล้วใต้ดินลึกลงไปยังคงมีฐานพระปรางค์อยู่นั่นเอง

ในวันอาทิตย์ที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ทางวัดจะประกอบพิธีหล่อพระพุทธรูป ปางห้ามสมุทร เพื่อประดิษฐานประจำทิศทั้ง ๔ บนซุ้มพระปรางค์ นับเป็นครั้งแรกที่มีการหล่อพระในวัดสาขลา พร้อมทั้งหล่อรูป “สาวกล้า” เพื่อประดิษฐานบนอนุสาวรีย์ โอกาสนี้ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมงานบุญครั้งนี้ด้วย

วัดสาขลา ได้องค์อุโบสถให้สูงขึ้น เนื่องจากปัญหาน้ำท่วมในช่วงน้ำหลาก ใต้อุโบสถจึงสามารถลอดไปมาได้ ในแต่ละวันจะมีพุทธศาสนิกชนไปลอดอุโบสถเสมอ โดยเชื่อว่าจะช่วยเสริมสิริมงคล ๙ ประการ คือ

มงคลที่ ๑ ลอดประตูพระราหู มงคลที่ ๒ ปิดทองลูกนิมิตโบราณ มงคลที่ ๓ บูชาพระบัวเข็ม กราบรูปเหมือนพระเกจิอาจารย์ชื่อดังจำนวนมาก มงคลที่ ๔ โยนเหรียญทำบุญพระสังกัจจายน์ มงคลที่ ๕ บูชาพระพุทธรูปที่ขุดพบ มงคลที่ ๖ พระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกขกิริยา มงคลที่ ๗ ปิดทองพระพุทธรูปศิลา มงคลที่ ๘ ปิดทองใต้ฐานองค์หลวงพ่อโต และมงคลที่ ๙ ลอดท้องช้าง พรายมหาลาภ


ปัจจุบัน วัดสาขลา ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ กทม.โดยมี พระปลัดสันทาน ธมฺมสนฺทโน (อยู่ไสว) เป็นเจ้าอาวาส สอบถามข้อมูลการเดินทาง และกิจการงานบุญต่างๆได้ที่ โทร.๐๘-๕๙๐๗-๑๔๓๑, ๐๘-๑๖๓๒-๘๒๗๑


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

หลวงพ่อชื่น วัดในปราบ มรณภาพ ปิดตำนาน ผาลพลิกแผ่นดินพลิกชีวิต

พระครูมงคลสมณกิจ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า พ่อท่านชื่น อินทปัญโญ หรือ หลวงพ่อชื่น วัดในปราบ พระอริยสงฆ์แห่งวัดในปราบ ต.บ้านเสด็จ อ.เคียนซา จ.สุราษฎร์ธานี กลายเป็นอีกหนึ่งตำนานเจ้าตำรับ "ผาลพลิกแผ่นดิน พลิกชีวิต" ท่านมรณภาพอย่างสงบเมื่อวันพุธที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๘ เวลา ๑๔.๓๕ น. สิริอายุรวม ๙๒ ปี

"นายชื่น แก้วศรีมล" เป็นชื่อและสกุลเดิมของพ่อท่านชื่น อินทปัญโญ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๗ บิดาของท่านเป็นที่รู้จักกันในนาม อาจารย์ล่อง ผู้รักษาคนไข้ทางด้านอาคม หรือไสยศาสตร์ในสมัยนั้น เมื่ออายุครบ ๗ ขวบ ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดศิลา จ.นครศรีธรรมราช เรียนจบชั้น ป.๔ หลังจากเรียนจบ บิดาของท่านได้นำท่านไปฝากเป็นศิษย์หลวงพ่อคล้าย วาจาสิทธิ์ วัดสวนขัน จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งหลวงพ่อคล้ายมีฐานะเป็นตาของนายชื่น

ครั้งหนึ่งพ่อท่านคล้ายได้สรงน้ำในขณะที่นายชื่นซักสบงให้พ่อท่านคล้ายอยู่ พ่อท่านคล้ายได้ตักน้ำขันที่สามนำมารดศีรษะและนำมือรับน้ำใต้คาง แล้วส่งให้นายชื่นดื่ม เมื่อดื่มน้ำนั้นแล้วพ่อท่านคล้ายได้เริ่มถ่ายทอดวิชาต่างๆ และท่านได้เล่าเรียนวิชาอาคมจากพ่อท่านคล้าย เช่น วิชาทำนายดวงชะตา ขับไล่ภูตผีปีศาจ การขับไล่คุณไสยต่างๆ อีกมากมายจากพ่อท่านคล้าย และเล่าเรียนวิชาอาคมที่ตกทอดจากตระกูลของบิดาท่าน ซึ่งได้ถ่ายทอดให้จนครบอายุครบ ๑๘ ปี บิดาเสียชีวิตจึงกลับมาบ้านทำงานเลี้ยงดูผู้เป็นมารดา

ขณะอายุ ๕๕ ปี พ่อท่านชื่นได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดไม้เรียง ต.ไม้เรียง อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๒๒ โดยมีพระครูญาณวรากร เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “อินฺทปญฺโญ” พอถึงปี ๒๕๓๒ ท่านได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่ที่พักสงฆ์ที่ชาวบ้านจัดไว้ให้ในหมู่บ้านในปราบ และเริ่มสร้างวัดขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ชื่อว่า วัดในปราบ โดยมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า วัดเจริญประชาธรรม

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ หลวงพ่อมีอาการอาพาธมานานแล้วได้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเคียนซามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดหลวงพ่อมีอาการไอ เหนื่อยหอบ และมีเสมหะมาก แพทย์ระบุปอดติดเชื้อ ต้องนำส่งเข้ารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ก่อนที่จะมรณภาพอย่างสงบ โดยได้ประกอบพีธีสรงน้ำศพวันที่ ๒๕ มิถุนายนที่ผ่านมา

ส่วนกำหนดการสวดพระอภิธรรมกี่คืนคณะกรรมการวัดกำลังหารือ หลังจากครบกำหนดแล้วจะเก็บสรีระของท่านไว้ในพระมหาเจดีย์ ซึ่งหลวงพ่อชื่นท่านได้สร้างไว้ล่วงหน้าเสร็จมาหลายปีแล้ว

ตำนานแห่งเจ้าตำรับ "ผาลพลิกแผ่นดิน พลิกชีวิต"

วัตถุมงคลที่ขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งของท่าน คือ ผาลไถนา โดยท่านได้ใช้ผาลไถนาส่วนที่เป็นเหล็กอายุกว่า ๑๐๐ ปีนำมาตัดเป็นชิ้นๆ ขนาดและรูปร่างต่างๆ กันไปแล้วแต่หลวงพ่อจะจารมือลงไปว่าเป็นยันต์อะไร บางครั้งก็ยันต์นะ บางครั้งก็ยันต์นะพุทธคุณของผาลไถ เมตตามหานิยม โชคลาภ ทำมาค้าขายเจริญรุ่งเรือง แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี มีประสบการณ์กล่าวขานมาแล้วมากมาย

ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๕ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒ ว่าด้วยเรื่อง "ภิกษุอาพาธด้วยโรคต่างๆ" โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธถูกยาแฝด ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ดื่มน้ำที่เขาละลายจากดินรอยไถซึ่งติดผาล"

ตรงคำว่า "ดินติดผาลไถ" นี้ก็ได้แก่ ดินที่ติดอยู่ที่ผาลไถที่ชาวนาเขาใช้ไถนานั่นแหละ ถ้าได้ดินติดผาลไถที่เป็นแบบโบราณคือ ไถที่เป็นไม้หรือเหล็ก และใช้เทียมกับควายหรือวัว แล้วก็มีคนจับเดินตามแบบนี้ก็ดี และก่อนจะดื่มน้ำดินผาลไถ ก็อธิษฐานด้วยว่า "ขออำนาจพุทธ-ธรรม-สงฆ์ จงบันดาลบุญข้าให้มาอยู่ที่น้ำดินผาลไถนี้ จงมีฤทธิ์อำนาจล้างอาคมยาแฝดในกายข้าให้มลายไป" เรื่องดื่มน้ำนี้ก็ดื่มไปเรื่อยๆ ทั้งดื่มทั้งอธิษฐานไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้น

ส่วนที่มาของผาลไถนั้นท่านเคยคิดจะสร้างพระเครื่องแต่ด้วยทุนทรัพย์ที่มีไม่มาก ชาวบ้านจึงช่วยกันหาโลหะเก่าๆ มามอบให้ท่าน ส่วนใหญ่เป็นเหล็กและทองเหลือง แต่เมื่อท่านแลเห็นผาลที่ถูกกองเศษเหล็กทับอยู่ท่านจึงดำริว่า "รู้แล้วของดีไม่ต้องไปหาไกล อยู่นี่นี่เอง" ว่าแล้วท่านจึงหยิบผาลไถออกมาแล้วให้ชาวบ้านช่วยกันหามาอีก ก็ได้มาจำนวนหนึ่ง ท่านนำมาปลุกเสกแล้วก็จาร แจกให้ผู้ที่มาทำบุญ แต่แล้วผาลก็หมดลง ท่านจึงนำผาลที่เหลือนำมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ได้โขเลยคราวนี้ แต่ก็หมดลงอีกเพราะผู้ที่ทราบข่าวเรื่องผาลในการนำไปใช้ใช้ดีมากๆ

คติการใช้ผาลเป็นวัตถุอาถรรพณ์นั้น ส่วนใหญ่เป็นคนในภาคใต้ โดยจะใช้ผาลในการประกอบพิธีต่างๆ เมื่อหมดอายุใช้งาน หรือมีผาลเก่าๆ ก็จะเอาขึ้นหิ้งบูชา บางรายถึงกับใส่ไว้ในโอ่งน้ำเพื่อป้องกันอาถรรพณ์ ขณะเดียวกันการทำพิธีถอนอาถรรพณ์พื้นดิน เมื่อเสร็จพิธีสวดถอนก็จะเอาผาลพลิกธรณีทั้ง ๘ ทิศ นอกจากนี้แล้วในการถอนหรือย้ายตำหนิบนร่างกาย (ไฝ-ปาน) จะใช้ผาลในการประกอบพิธีถึงจะได้ผลดีที่สุด

เหรียญรุ่นแรกและรุ่นสุดท้าย

หลวงพ่อชื่น ถือเป็นตำนานแห่งผู้สร้างเครื่องรางผาลไถอันโด่งดัง เมตตาให้คติว่า วัตถุจากธรรมชาติและเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ที่เราใช้ในชีวิตปกติประจำวันหลายชนิดมีอาถรรพณ์อยู่ในตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องปลุกเสกสามารถนำไปใช้ได้เลย อย่างกรณีผาลไถนา ซึ่งใช้ประโยชน์สำหรับไถพลิกพื้นดิน และเป็นของใช้ชนิดเดียวในโลกที่สามารถพลิกแผ่นดินได้ เมื่อไถลงไปในดินแล้วก็สามารถผ่านตลอดโดยไม่มีอะไรติดขัด คนจึงเกิดความเชื่อ ผาลเป็นวัตถุอาถรรพณ์ที่สามารถพลิกสิ่งร้ายๆ ให้กลายเป็นดี ทำอะไรก็ผ่านตลอดเช่นเดียวกับผาลไถ

ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือพ่อท่านชื่นอย่างมาก เพราะพ่อท่านชื่นได้ใช้วิชาอาคมที่ร่ำเรียนมาช่วยสงเคราะห์ชาวบ้านรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยดีตลอดมา

ทั้งนี้เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๘ พ่อท่านชื่นได้จัดสร้างวัตถุมงคลขึ้นมาเป็นรุ่นแรกของท่าน ชาวบ้านได้บูชาเหรียญรูปเหมือนท่านไปห้อยคอ ต่างมีประสบการณ์มากมาย จนเป็นที่ร่ำลือกล่าวขานในด้านของความอยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาดปลอดภัย เมตตามหานิยม เป็นเลิศ ชื่อเสียงกิตติคุณของท่านเป็นที่รู้จักกันทั่วภาคใต้ แม้แต่ชาวมาเลเซียยังเดินทางมาบูชาวัตถุมงคลและขอพรจากท่านอย่างไม่ขาดสาย

อย่างไรก็ตามในการก่อสร้างศาลาการเปรียญและเมรุ ใช้เงินประมาณ ๓ ล้านบาท คณะกรรมการจึงจัดสร้างหลวงพ่อชื่น รุ่น หลังผาลไถ โดยมีชนวนจากผาลไถนาโบราณ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายลำพังหัวผาลโบราณก็ถือว่าหายากแล้ว กรรมวิธีลอมละลายผาลก็ยากไม่น้อยกว่ากัน เพราะหัวผาลส่วนใหญ่เป็นเหล็กคุณภาพสูงแข็งกว่าเหล็กทั่วไป

หลวงพ่อชื่น รุ่น หลังผาลไถ มีการจัดสร้างชุดกรรมการใหญ่ และชุดกรรมการเล็กสร้าง ๙ ชุด ประกอบด้วย พระ ๙ องค์ ได้แก่ พระบูชาหลวงพ่อชื่นหล่อเป็นรูปผาลไถเนื้อนวะหน้าตัก ๙ นิ้ว และ ๕ นิ้ว เนื้อทองคำ (ชุดใหญ่หนักกว่า ๒ บาท ชุดเล็ก ๖ สลึง) เนื้อเงิน เนี้อนวะ เนื้อทองแดง เนื้อฝาบาตร เนื้อเงินยวง และเนื้อผาลไถ


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



หลวงพี่น้ำฝน ทุ่มงบ 5 แสน เพื่อ รพ.นครปฐม


ที่ วิหารหลวงพ่อพูล ภายใน วัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ได้จัดให้มีพิธีมอบเครื่องนึ่งฆ่าเชื้อด้วยแรงดันไอน้ำ(AUTOCLAVE) ขนาดความจุไม่น้อยกว่า 84 ลิตร MODSEL 3140 M ยี่ห้อ TUTTNAUEL ให้กับโรงพยาบาลนครปฐม หลังจากได้รับการขอสนับสนุนเครื่องดังกล่าวฯ จากทางโรงพยาบาลนครปฐม ที่ขาดแคลนงบในการขยายการให้บริการประชาชนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยมีนายแพทย์สมฤกษ์ จึงสมาน ผอ.โรงพยาบาลนครปฐม,นพ.ธีรชัย ประติพัฒน์พงษ์ รองผอ.โรงพยาบาลนครปฐม แพทย์และเจ้าหน้าที่พยาบาล โรงพยาบาลนครปฐม เข้ารับมอบ

พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวว่า ทางโรงพยาบาลนครปฐม ได้ขอให้ทางวัดช่วยสนับสนุนเครื่องนึ่งฆ่าเชื้อด้วยแรงดันไอน้ำ(AUTOCLAVE) ขนาดความจุไม่น้อยกว่า 84 ลิตร MODSEL 3140 M แทนเครื่องเก่าที่ชำรุด อีกทั้งทางโรงพยาบาลก็ยังขาดงบประมาณในส่วนนี้ ทางอาตมาจึงได้นำเงินที่ญาติโยมบริจาคและทำบุญมาซื้อเครื่องนึ่งฆ่าเชื้อให้กับโรงพยาบาลนครปฐม เพื่อเป็นประโยชน์สาธารณชนและประชาชนที่เจ็บป่วยและเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ซึ่งเครื่องนึ่งดังกล่าวนี้ราคา 5 แสนบาท และต้องสั่งซื้อจากประเทศฮอลแลนด์ เพราะเป็นผลิตภัณฑ์จากทวีปยุโรป,อเมริกา และบริษัทฯจะต้องมีหนังสือรับรองการเป็นตัวแทนจำหน่ายจากโรงงานผลิตเท่านั้น

ด้าน นายแพทย์สมฤกษ์ จึงสมาน ผอ.โรงพยาบาลนครปฐม กล่าวว่า ขณะนี้ทางโรงพยาบาลนครปฐม ได้ทำการขยายการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องใช้งบประมาณเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเปิดศูนย์โรคหัวใจเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยในจังหวัดนครปฐมและจังหวัดใกล้เคียงที่มีความเสี่ยงเสียชีวิตสูง ให้สามารถรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต่อไปก็จะมีการขยายโครงการต่างๆ อีกหลายโครงการเพื่อรองรับและให้บริการประชาชนที่เข้ามาใช้บริการอย่างครบครัน ซึ่งเครื่องนึ่งฆ่าเชื้อด้วยแรงดันไอน้ำ(AUTOCLAVE) ขนาดความจุไม่น้อยกว่า 84 ลิตร MODSEL 3140 M ที่ได้รับในวันนี้ เป็นเครื่องนึ่งฆ่าเชื้อด้วยแรงดันไอน้ำ( Steam) ชนิดตั้งโต๊ะ ภายในเป็นรูปทรงกระบอก ใช้ไฟ230 โวลต์ 50 เฮิรตซ์ เครื่องสามารถปรับอุณหภูมิภายในห้องนึ่ง ตั้งแต่100 -134 องศา เซลเซียส ใช้ในการฆ่าเชื้อเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ในห้องไอซียู และห้องผ่าตัด มีตัวตั้งเวลา(Timer)ในการฆ่าเชื้อโรค และเวลาในการอบแห้งอันเดียวกัน สามารถตั้งเวลาได้ 0-60 นาที ซึ่งเครื่องนึ่งนี้ มีประโยชน์มากสำหรับทางโรงพยาบาล เพราะการฆ่าเชื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ในการแพทย์ เป็นสิ่งสำคัญมากอันดับ 1 ยิ่งในห้องผ่าตัดที่ต้องการความรวดเร็วกรณีคนไข้ฉุกเฉิน เครื่องนึ่งดังกล่าวนี้ก็จะสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สามารถช่วยให้การบริการของโรงพยาบาลเป็นไปอย่างรวดเร็วและส่งผลถึงความปลอดภัยของคนไข้ด้วย


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ด่วน!! หลวงพ่อคูณ ละสังขารแล้ว


สิ้นแล้วพระเกจิดัง หลวงพ่อคูณ ละสังขารแล้วด้วยวัย 92 ปี หลังเข้ารักษาตัวที่ รพ.มหาราชนครราชสีมา ด้วยอาการเริ่มต้นช็อกหัวใจหยุดเต้น

เมื่อวันที่ 16 พ.ค. มีรายงานว่า พระเทพวิทยาคม หรือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ อายุ 92 ปี เจ้าอาวาส วัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ได้ละสังขารแล้วหลังเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา จ.นครราชสีมา ท่ามกลางความโศกเศร้าของคณะแพทย์ที่ทำการรักษาและบรรดาลูกศิษย์ที่ติดตามอาการใกล้ชิด

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา หลวงพ่อคูณ ช็อกหัวใจหยุดเต้น หลังตื่นนอนในห้องปลอดเชื้อวัดบ้านไร่ ซึ่งแพทย์ที่ไปตรวจอาการใช้ปฏิบัติการฟื้นคืนชีพขั้นสูงยื้อชีวิตไว้ได้ทัน ก่อนนำส่งโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และมีอาการทรุดลงเป็นลำดับ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 10.20 น. วันที่ 16 พ.ค. นพ.สมอาจ ตั้งเจริญ ผอ.โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา แถลงอาการอาพาธของพระเทพวิทยาคม ว่า มีปัญหาการแข็งตัวของเลือดที่ไม่ดี ทำให้มีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้นมาจากเมื่อวานนี้ (15 พ.ค.) รวมถึงการมีเลือดออกในช่องทรวงอก มีผลต่อการทำงานของปอดที่ทำงานได้ไม่ดี จึงดำเนินการทำให้หายใจเพิ่มขึ้น จากปัญหาการทำงานของไตที่ไม่ดี ขณะนี้แพทย์ได้ทำการล้างไต ส่วนการหายใจที่มีปัญหา ทำให้สัญญาณชีพไม่สม่ำเสมอ และการเต้นของหัวใจที่ไม่ดี ขณะนี้อยู่ระหว่างการช่วยในเรื่องการทำงานของหัวใจ เพื่อให้การหายใจให้ดีขึ้น

ส่วนการเพิ่มยาเข้าไปนั้น เป็นยาที่เพิ่มในการแข็งตัวของเลือด ซึ่งทำอย่างเต็มที่แล้ว เพราะปัญหาการแข็งตัวของเลือด ทำให้เกิดเลือดออกในร่างกาย สำหรับแผนการย้ายหลวงพ่อคูณไป รพ.ศิริราช คงไม่มีแล้ว เพราะสภาพโดยทั่วไปถือว่าไม่เหมาะสมที่จะมีการเคลื่อนย้าย แต่ได้มีการประสานกับทางรพ.ศิริราช ในการช่วยกันรักษาตลอด

ทั้งนี้ การปั๊มหัวใจเมื่อช่วงเช้านี้ มีการปั๊มหัวใจเพิ่มตอนประมาณ 05.40 น. โดยปั๊มถึง 2 รอบ เนื่องจากมีเลือดออกในช่องทรวงอก ทำให้การหายใจมีปัญหาขึ้น อย่างไรก็ตาม อาการขณะนี้ถือว่าทรุดลง ซึ่งทรุดลงกว่าเมื่อวานนี้ โดยการประเมินอาการทำอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทีมแพทย์อยู่ในไอซียูตลอดเวลา 24 ชม.

พร้อมกันนั้น โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้ออกแถลง เรื่อง อาการอาพาธของพระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) ฉบับที่ 3 ว่า คณะแพทย์ผู้ทำการรักษาได้รายงานว่า การเฝ้าตรวจติดตามอาการอาพาธของพระเทพวิทยาคม มีการแทรกซ้อนเพิ่มขึ้น จากการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ทำให้เลือดออกในช่วงทรวงอก ส่งผลให้ระบบการหายใจล้มเหลว ภาวะหัวใจหยุดเต้น คณะแพทย์ได้ทำการช่วยฟื้นคืนชีพ สำหรับภาวะไตไม่ทำงาน ได้ให้การรักษาโดยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ขณะนี้อาการโดยรวมทรุดลง.

สำหรับ หลวงพ่อคูณ ท่านเกิดเมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2466 ในบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา อุปสมบทเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2487 นับเป็นอีกหนึ่งพระเกจิดังในภาคอีสาน สร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลได้รับความนิยมมากมาย มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือ คำพูดคำสั่งสอน "กู-มึง" และ การเคาะศีรษะ บรรดาลูกศิษย์ที่เคารพศรัทธา



*************************

เรื่องโดย : ไทยรัฐออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

หลวงพี่อุเทน แจงไม่ได้ลาออก แค่ลาพักงาน


พระครูปลัดอุเทน เจ้าอาวาส วัดท่าไม้ จ.สมุทรสาคร แจงไม่ได้ลาออก แค่หยุดพักปฏิบัติหน้าที่เจ้าอาวาส เนื่องจากปัญหาสุขภาพ ยันไม่ได้เบื่อขัดแย้งศิษย์วัดจนต้องสึก

จากกรณีมีจดหมายที่อ้างว่าเป็นของ พระครูปลัดอุเทน สิริสาโร เจ้าอาวาสวัดท่าไม้ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร วัดชื่อดัง ซึ่งมีลูกศิษย์จำนวนมาก ขอหยุดพักปฏิบัติหน้าที่ ตำแหน่งเจ้าอาวาส และฐานานุกรม โดยระบุว่ามีปัญหาสุขภาพนั้น

โดยความคืบหน้าล่าสุด (วันที่ 29 ม.ค. 2558) พระครูปลัดอุเทน สิริสาโร เจ้าอาวาสวัดท่าไม้ ได้ชี้แจงว่า ไม่ใช่การลาออก แต่เป็นการลาพักจากเจ้าอาวาส เนื่องจากปัญหาสุขภาพ และก็เพิ่งตัดถุงน้ำดีมา ซึ่งหมอบอกว่าต้องพัก แล้วจะให้รองเจ้าอาวาสขึ้นมาดูแลงานแทน ซึ่งก็ยังอยู่วัดเหมือนเดิม

เมื่อถามว่า ในจดหมายระบุมีการทะเลาะกันของ 2 ฝ่าย พระครูปลัดอุเทน เผยว่า ลูกศิษย์ในวัดมีเยอะ ไม่ได้ขัดแย้งกัน แต่เป็นเรื่องของการปฏิบัติ ซึ่งศิษย์ส่วนใหญ่จะฟังแต่อาตมา โดยไม่ฟังอาจารย์ที่คุมกรรมฐาน เพราะเราไม่ได้ให้อำนาจเขา ก็เลยต้องหาวิธีมอบอำนาจ ให้เขาคุมได้ ยืนยันไม่ได้เบื่อความขัดแย้งจนต้องสึก

พระครูปลัดอุเทน เผยด้วยว่า จากนี้ช่วงประมาณวันที่ 4-5 ก.พ. จะได้เดินทางไปเยี่ยมโยมแม่บุญธรรม ที่สหรัฐฯ ซึ่งได้รับบาดเจ็บหลังหัก จากการตกม้า จากนั้นจะรีบกลับมาเพราะจะมีงานตรุษจีน แล้วเดือนมีนาคม จะพาคณะประมาณ 100 คน ไปสวดมนต์ที่อินเดีย

เมื่อถามว่า จะพักงานมากน้อยแค่ไหน พระครูปลัดอุเทน เผยว่า ประมาณครึ่งปีน่าจะหาย โดยตั้งใจว่าจะฝึกกรรมฐานให้มากขึ้นกว่าเดิม และจะเน้นสอนกรรมฐานให้เยอะขึ้น

"วันนี้เหมือนประชาธิปไตย ฉันเป็นเจ้าอาวาสมา 8 ปี เหมือนนั่งมา 2 สมัย ควรจะให้คนมีความรู้มาบริหาร คือฉันคิดเหมือนฉันเป็นนักการเมือง คือเหมือนกับหัวหน้ารัฐบาลนั่งมา 2 สมัย ไม่ควรนั่งต่อ ควรให้คนยุคใหม่มาแชร์ไอเดีย เข้ามาบริหารจะได้เกิดการพัฒนาต่อเนื่อง ฉันคิดว่าฉันเป็นเจ้าอาวาสมานาน ไม่งั้นเราจะกลายเป็นอีโก้มาก ยึดติดมาก ฉันก็เลยใช้วิธีนี้เลย แบบสากลเลย" พระครูปลัดอุเทน กล่าว



*************************


เรื่องโดย : ไทยรัฐออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ





วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2558

นะชาลีติ เรืองรุ่งเจริญศรี ไม่มีอับจน!!


พระสีวลี คือ พระอรหันต์ที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายมักนิยมบูชาด้วยความศรัทธา โดยแฝงนัยแห่งความเชื่อที่ว่า เป็นผู้บันดาลลาภผลและความสมบูรณ์พูนสุข แม้เพียงเอ่ยพระนามหรือภาวนาพระคาถา โดยน้อมจิตรำลึกถึงองค์ท่านด้วยความเลื่อมใส “ลาภสักการะ” ก็จะไหลมาเทมาสู่บุคคลผู้นั้น ราวกับสายน้ำที่อุดมไปด้วยความสุขสมทั้งกาย จิต และเงินทอง

โดยตำนานในสมัยพุทธกาลเคยกล่าวไว้ว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทรงรับรอง พระสีวลี ว่า “เป็นผู้มีบุญมาก เทวดารัก” ดังความในพระไตรปิฎกที่ระบุว่า ...สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จำนวน 500 รูปไปเยี่ยมพระเรวตะ ผู้เป็นน้องชายของพระสารีบุตรเถระ ซึ่งจำพรรษาอยู่ ณ ป่าไม้ตะเคียน เมื่อเสด็จมาถึงทาง 2 แพร่ง พระอานนท์เถระได้กราบทูลสภาพหนทางว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเสด็จไปทางอ้อม ระยะทางไกล 60 โยชน์ มีประชาชนอยู่อาศัยมาก พระภิกษุไม่ลำบากด้วยภิกขาจาร แต่ถ้าเสด็จไปทางลัดระยะทางประมาณ 30 โยชน์ ไม่มีประชาชนอยู่อาศัย มีสภาพเป็นป่าใหญ่ มีแต่อมนุษย์อยู่อาศัย พระภิกษุสงฆ์จะลำบากด้วยภิกขาจาร”

พระพุทธองค์ จึงตรัสถามว่า “ดูก่อนอานนท์ พระสีวลีมากับเราด้วยหรือไม่?”

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเสวลีมากับเราด้วย พระเจ้าข้า” พระอานนท์เถระได้กราบทูลตอบ

พระพุทธองค์ จึงตรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ ถ้าอย่างนั้นก็จงไปทางลัด ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลด้วยอาหารบิณฑบาต เพราะเทวดาทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ในป่าระหว่างทาง จะจัดสถานที่พักและอาหารบิณฑบาตไว้ถวายพระสีวลี ผู้เป็นที่เคารพนับถือของพวกตน เราทั้งหลายก็จะได้อาศัยบุญของพระสีวลี นั้นด้วย”

ดังนั้น พระสีวลีเถระ จึงถือเป็นพระอรหันต์ที่ได้รับการเป็นเอตทัคคะผู้เลิศในทาง ผู้มีลาภมาก ส่งผลให้เกิดความเชื่อความศรัทธาในหมู่พุทธศาสนิกชนว่า หากบุคคลใดบูชา พระสีวลี บุคคลนั้นจะมั่งมี โชคดี ดวงดี เงินทองไหลมาเทมา


นะชาลีติ หรือ คาภาหัวใจพระสีวลี คือ อักขระศักดิ์สิทธิ์ที่พระเกจิอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษหลายท่านนิยมอัญเชิญมากำกับลงไว้ ณ วัตถุมงคล เพื่อความประเสริฐแห่งลาภผลของบุคคลที่บูชา ทั้งยังแฝงอุปเท่ห์แห่งเส้นทางสู่เจริญรุ่งเรือง โดยหากประพฤติอย่างต่อเนื่องจะไม่มีวันที่อับจน ซึ่ง “คาภาหัวใจพระสีวลี” นั้น มีใจความสำคัญที่แฝงเอาไว้ว่า

นะ หมายถึง นอบน้อม มีสัมมาคาราวะ
ชา หมายถึง ขวนขวายเรื่องการงาน
ลี หมายถึง ไม่นอนมาก ไม่นอนดึก ไม่ตื่นสาย
ติ หมายถึง ว่าโดยทั้งหมด

กล่าวโดยสรุปว่า หากเราเป็นผู้ที่มีความนอบน้อม มีสัมมาคาราวะ ขวนขวายอย่างจริงจัง มุ่งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่การงาน ไม่เป็นผู้ที่นิยมสะสมความเกียจคร้าน มีกุศลจิตในการประกอบกิจการ ชีวิตก็จะพบพานแต่ความเจริญรุ่งเรือง


*************************


เรื่อง/เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ







วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558

สิ้นแล้ว!! หลวงปู่ผาด เกจิดังวัดบ้านกรวด บุรีรัมย์


สิ้นแล้ว!! เกจิดัง “หลวงปู่ผาด” เจ้าอาวาสวัดบ้านกรวด อ.บ้านกรวด มรณภาพอย่างสงบที่วัด หลังออกจากโรงพยาบาลบ้านกรวด ด้วยโรคชรา สิริรวมอายุได้ 104 ปี 85 พรรษา

เมื่อ 5 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระครูวิบูลย์ ปัญญาวัฒน์ หรือ หลวงปู่ผาด ฐิติปัญโญ พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่ง วัดบ้านกรวด ต.บ้านกรวด อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ได้มรณภาพแล้วอย่างสงบด้วยโรคชราที่วัดบ้านกรวด หลังถูกส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลรวมแพทย์สุรินทร์ ตั้งแต่เมื่อต้นเดือน ธ.ค.2557 ที่ผ่านมา หลวงปู่ผาด ได้ป่วยด้วยโรคชรามานานหลายปีมานี้อาการไม่ค่อยดี และเมื่อเช้าวันที่ 5 ม.ค.2558 พระลูกวัดและศิษยานุศิษย์ได้นำตัวหลวงปู่ผาดกลับมาที่วัดบ้านกรวด เพื่อทำพิธีสวดมนต์ต่ออายุขัยให้หลวงปู่ผาด จนกระทั่งเวลา 11.58 น.วันนี้ 5 ม.ค. หลวงปู่ผาดก็ได้มรณภาพอย่างสงบ โดยสิริอายุ 104 ปี 8 เดือน 2 วัน พรรษา 85 พรรษา นับเป็นพระสงฆ์ที่มีอายุมากที่สุดในจังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อเดินทางไปตรวจสอบที่วัดบ้านกรวด ก็พบว่าบรรดาพระสงฆ์และชาวบ้านกำลังจัดเตรียมสถานที่ เพื่อจัดพิธีศพของหลวงปู่ผาด กันอย่างขะมักเขม่น โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า มีพุทธศาสนิกชนได้เดินทางมากราบไหว้เป็นจำนวนมาก

นายเฉลิมพล นิรันดร์ปกรณ์ นายกเทศมนตรีตำบลบ้านกรวด อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ หนึ่งในศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่ผาด กล่าวว่า หลวงปู่ผาดได้ป่วยด้วยโรคชรามานานหลายปีมานี้อาการไม่ค่อยดี จนกระทั่งเมื่อต้นเดือน ธ.ค.2557 ที่ผ่านมา ได้ถูกนำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลรวมแพทย์สุรินทร์ และกลับมาที่วัด จนกระทั่งเวลา 11.58 น. วันที่ 5 ม.ค. ก็ได้มรณภาพอย่างสงบ

หลวงปู่ผาด ท่านเป็นพระผู้มีวัตรปฏิบัติ เป็นไปเพื่อการดับทุกข์โดยแท้ มีความเพียรเป็นเลิศตลอดชีวิตของท่าน ตั้งแต่บวชได้พรรษาแรกก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจมอบให้แก่ศาสนา มุ่งปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน และหลวงปู่ผาดยังเป็นพระที่รักสันโดษ ไม่ยึดติดในลาภยศสรรเสริญ พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นเนื้อนาบุญของพุทธศาสนา โดยแท้ ทุกลมหายใจเข้าออกท่านกำหนดจิตด้วยกรรมฐานมีสติอยู่เสมอ

ขณะที่ พระครูพิศาลสังฆกิจ เจ้าคณะอำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า เนื่องจากหลวงปู่ผาด เป็นพระเกจิที่พุทธศาสนิกชนเลื่อมใสศรัทธา ทางวัดได้พระราชทานน้ำหลวงอาบศพหลวงปู่ผาด พร้อมกับตั้งคณะกรรมการดูแลการตรวจสอบทรัพย์สินของหลวงปู่ผาด ที่มีทั้งวัตถุมงคลและปัจจัย ส่วนการบำเพ็ญกุศลศพของหลวงปู่ผาด จะมีพิธีสวดทุกวัน จากนั้นในวันที่ 15 ม.ค.58 จะมีพิธีบรรจุศพหลวงปู่ผาดไว้ในโลงแก้ว เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้

หลวงปู่ผาด ฐิติปัญโญ หรือ พระครูวิบูลย์ ปัญญาวัฒน์ เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 3 พ.ค.2454 จบ ป.4 เป็นชาวบ้านดู่ ต.ปราสาท อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ บุตรนายเอี้ยง กับ นางเตียบ ดิบประโคน มีพี่น้อง 4 คน หลวงปู่ผาดเป็นคนที่ 3 ขณะหลวงปู่ผาด อายุยังไม่ถึงขวบครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ที่ ต.ปราสาท อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ซึ่งได้บรรพชาบวชสามเณร เมื่อปี 2470 อายุ 15 ปี ที่วัดบ้านพลับ ต.ทุ่งมน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ บวชได้ 2 พรรษา ลาสิกขาบทไปช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนา

ต่อมาปี 2476 ขณะมีอายุ 22 ปี ได้อุปสมบทบวชเรียนที่วัดบ้านกรวด อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ เมื่อครั้งอดีตสมัยท่านเป็นพระหนุ่มๆ ท่านได้ออกจาริกแสวงบุญไปยังที่ต่างๆ เพื่อศึกษาหาความรู้ทั้งทางพระเวทย์ วิชาแพทย์แผนโบราณต่างๆ ตามความเชื่อ และความนิยมของชาวพื้นบ้าน ในสมัยนั้น ได้ไปศึกษาเล่าเรียนเวทวิทยาอาคมที่จังหวัดอุดรมีชัย ถึง 3 ปี (ในสมัยนั้น จังหวัดอุดรมีชัย ยังเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย ) จากนั้นท่านได้จาริกไปศึกษาหาความรู้จากครูบาอาจารย์ต่างๆ แทบจะทุกภาคของไทยและประเทศใกล้เคียง เคยธุดงค์ไปศึกษาวิชาอาคมที่นครวัต ที่ประเทศเขมร เป็นเวลา 8 ปี จนมีความรู้เจนจบในไสยเวททุกแขนง แตกฉานในวิปัสสนากรรมฐาน อย่างแจ่มแจ้ง ต่อมาเมื่อท่านมีอายุมากขึ้น ท่านได้รับถวายที่ดินจากชาวบ้าน จากนั้นท่านก็ได้บูรณะจากพื้นดินที่ว่างเปล่า จนเป็น “วัดตาอี” ให้เห็นเป็นรูปธรรมในปัจจุบัน

ต่อมา หลวงปู่หริ่ง เจ้าอาวาส วัดบ้านกรวด ได้มรณภาพลง ชาวอำเภอบ้านกรวด จึงได้นิมนต์ หลวงปู่ผาด มาเป็นเจ้าอาวาส แต่หลวงปู่ได้ปฏิเสธการเป็นเจ้าอาวาส วัดบ้านกรวด มาโดยตลอด แต่ในที่สุดท่านก็ทนแรงศรัทธาของญาติโยมไม่ไหว จึงต้องยอมรับ เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านกรวด เมื่อพ.ศ.2495 ก็ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบ้านกรวด จนถึงปัจจุบัน

หลวงปู่ผาด ท่านได้พัฒนา วัดสาขาของท่านถึง 4 แห่ง ก็คือ วัดตาอี,วัดบ้านปราสาท,วัดบ้านบึงเก่า และวัดบ้านกรวด เป็นรูปเป็นร่างมาจน ถึงปัจจุบันนี้ หลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด ท่านเป็นพระที่รักสันโดษ ไม่ยึดติดในลาภยศสรรเสริญ ท่านได้ปฏิเสธ ในการสร้าง วัตถุมงคล มาโดยตลอด แต่บรรดาศิษยานุศิษย์ได้รบเร้า หลวงปู่ว่า มีผู้เลื่อมใสศรัธา ในตัวหลวงปู่ ประสงค์อยากจะได้พระเครื่อง วัตถุมงคลของหลวงปู่ผาดไว้บูชา เพื่อเป็นสิริมงคล เป็นขวัญและกำลังใจในการดำเนินชีวิต หลวงปู่ท่านก็เลยอนุญาต ให้จัดสร้าง วัตถุมงคล ที่ออกมาภายใต้ชื่อ หลวงปู่ผาด

วัตถุมงคล หลวงพ่อผาด วัดบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ สายตรงจากวัด อาทิ พระเจ้าลิ้นทอง พระผงรูปเหมือน บูชา ล็อคเกต (ด้านหลังมีเกศา ,ตะกรุดสามดอก,ผงพุทธคุณ) พระเจ้าครอบเมือง พญาครุฑ (เนื้อพิเศษ) เนื้อผงปถมังผสมไม้มงคลเก้า,ผงจินดามณี,ไม้งิ้วดำ,ไม้งิ้วดำโรยผงเกสรดอกดาวเรือง,ว่าน ขุนแผนพรายกุมาร บูชา พระยอดขุนพล (เนื้อหัวเชื้อเนื้อผงตะไบ โรยเกศพระโบราณ ,ใบลานเผา) เหรียญรุ่นสร้างกุฏิ กุมารทองพรายเรียกทรัพย์ ท้าวเวสสุวัณ เนื้อโลหะรมดำ หลวงปู่ผาด พญาหมูมหาเฮง เนื้อผง ฝังตะกรุดโภคทรัพย์ 1 ดอก พญาหมูมหาเฮง เนื้อโลหะ ฝังตะกรุด 3 กษัตริย์ พระขุนแผนพรายกุมาร กรรมการ ตะกรุด 9 ดอก พระขุนแผนพรายกุมาร ตะกรุด 2 ดอก พระลักษณ์หน้าทอง เนื้อมหาว่านดำ พิมพ์เล็ก พระลักษณ์หน้าทอง เนื้อมหาว่านดำ พิมพ์ใหญ่ พระลักษณ์หน้าทอง เนื้อเกสร พิมพ์เล็ก พระลักษณ์หน้าทอง เนื้อเกสร พิมพ์ใหญ่ หนุมานพลิกดวงชะตา มหาอำนาจ



*************************


เรื่องโดย : ข่าวสดออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ