วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ขอขมากรรมฯ "ปลดล็อค" และ "รีสตาร์ท" ผู้จมทุกข์


ผู้คนล้นหลาม ท่ามกลางเสียงพลุไฟแห่งการเฉลิมฉลอง ณ โบราณสถานสำคัญแห่งแผ่นดินขวานทอง เสียงสวดมนต์ พ้องทำนอง ก้องแดนไกล เริ่มสิ่งใดจะดีกว่าเริ่มสรรค์สร้าง เริ่มก้าวย่างครองสติไม่ติงไหว เริ่มชีวิต เริ่มปี โดยตั้งใจ เริ่มวันใหม่ด้วยใจ ที่ “ใฝ่ธรรม” หากชีวิตมนุษย์เปรียบเสมือน “ต้นไม้” ธรรมะแห่งพระพุทธองค์คงเปรียบเสมือน “น้ำฝน” จากฟากฟ้า

น้ำที่คอย “หล่อเลี้ยง” และ “ชำระล้าง” สิ่งปฏิกูล 
น้ำที่ “คลายทุกข์” ให้สลายสูญ และ “เกื้อกูล” ให้ร่มเย็น

พระเดชพระคุณ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ดินแดนแห่งธรรม จังหวัดนครปฐม เล็งเห็นถึงความคับข้อง ที่ เกาะใจกินสมอง ญาติโยมพี่น้องในยุคปัจจุบัน บ้างก็ด้วยกรรมเก่าที่เคยสร้างไว้ หรือ กรรมใหม่ที่ไม่ได้ตั้งใจสร้าง หากแต่เมื่อเกิดความกังวลในวาระแห่งกรรมนั้นจนเกินไป ย่างก้าวแห่งความเจริญครั้งใหม่ คงเป็นไปได้ยากเย็น และ ด้วยความเมตตาจาก พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์จึงถือกำเนิดขึ้น “ขอขมากรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง”

ล่าสุด!! พิธีขอขมากรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง ได้ถูกจัดขึ้นอีกครั้ง เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2556 ณ โบราณสถานศักดิ์สิทธิ์ วัดพระเมรุ จ.นครปฐม โดยหลักการของพิธี มิได้มีความงมงายแต่เพียงน้อย ...ในมุมกลับ จุดประสงค์ของพิธี ยังช่วยให้ผู้ที่จมทุกข์ ได้ลอยพ้นจากวังวนแห่งปัญหา โดยสอดแทรกหลักธรรมคำสอนแห่งองค์พระศาสดา และ ร่วมปฏิญญาจะสร้างแต่กรรมดี


ทั้งหมดนี้ถือเป็นกุศโลบายทางธรรม ของท่านพระเดชพระคุณ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน ที่ตั้งใจจะช่วย ปลดล็อค และ รีสตาร์ท ให้ชีวิตของญาติโยมผู้จมดิ่งในห้วงทุกข์ ได้เริ่มต้นใหม่ โดย "ใช้สติครองธรรมกำหนดใจ และ ก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง"


*************************

เรื่องโดย : เต้ มงคลพระ
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ





วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556

หลวงปู่ทวด เทพเจ้า แห่ง ความแคล้วคลาดปลอดภัย


เทศกาลปีใหม่
ถือเป็นช่วงระยะเวลาแห่งความสุข เป็นวาระแห่งการเฉลิมฉลอง ฉะนั้น "เครื่องเมายาดอง" จึงเป็นที่ใฝ่ปอง ของหมู่พี่น้องเพื่อนผองนักดื่มกิน หากแต่ ความสำราญในการ "ดื่ม" คงมิใช่เรื่องร้ายนัก ถ้า "เมาแล้วพัก" และ "รู้จักระวังภัย" ในการสังสรรค์รื่นเริงปีใหม่ คงไม่มีอุบัติภัยใดจะร้ายไปกว่า "อุบัติเหตุจาก การเดินทาง"

สมเด็จเจ้าพระราชมุนีสามีรามคุณูปรมาจารย์ หรือ "หลวงปู่ทวด" ถือเป็นพระเกจิอาจารย์รูปสำคัญในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่ชาวพุทธทั้งไทยและต่างประเทศ ให้ความเคารพศรัทธากันอย่างแพร่หลาย โดยเชื่อถือกันว่า วัตถุมงคลของท่านล้วนมีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ ป้องกันสารพัดภัยได้ทั่วทิศ ผู้ที่บูชาอยู่เป็นนิจ "เงินทองจะไม่ขัดติด เดินทางทั่วทิศจะไม่ตายโหง"

ในวาระเทศกาลขึ้นปีใหม่ 2557 นี้ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ผู้สืบสานตำนานพระเวทย์ ทายาทศิษย์เอกแห่ง หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม ได้เมตตาศิษย์ยานุศิษย์ โดยจัดสร้างมงคลวัตถุ หลวงปู่ทวด หลวงพ่อพูล เนื้อผงพุทธคุณศักดิ์สิทธิ์ โดย แจกฟรี ให้กับพุทธศาสนิกชนทุกท่าน เพื่อนำไปบูชาติดตัว เป็นสิริมงคลแห่งเริ่มต้นสรรค์สร้างกรรมดีในชีวิตสืบไป

โดยชาวพุทธผู้มีจิตศรัทธา สามารถเดินทางมารับวัตถุมงคล หลวงปู่ทวด หลวงพ่อพูล เนื้อผงพุทธคุณศักดิ์สิทธิ์ ได้ฟรี ในงานบุญประเพณีวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของ วัดไผ่ล้อม ที่จะจัดขึ้นใน วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2556 ณ โบราณสถาน วัดพระเมรุ ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม และภายในงาน ท่านจะได้ร่วมพิธี ขอขมากรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง และพิธี สวดนพเคราะห์ข้ามปี อีกด้วย

ผู้ที่ร่วมงานบุญในวันนั้นจึงถือได้ว่า "คุ้มบุญ" เป็นอย่างยิ่ง เพราะได้ร่วมพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ และยังได้รับมงคลวัตถุ หลวงปู่ทวด หลวงพ่อพูล ไว้สำหรับบูชาติดกาย เพื่อคลายทุกข์ภัยในชีวิต และที่สำคัญ ทุกอย่างฟรี!!

ผู้ที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม โทร.087-7567555 และ 087-1517799


*************************

เรื่องโดย : เต้ มงคลพระ
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ







วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ร่วมบุญสร้างเสนาสนะ วัดทับไทร จันทบุรี

วัดทับไทร เป็นวัดราษฎร์ (สังกัดมหานิกาย) ตั้งอยู่เลขที่ ๑/๒ หมู่ ๑ ต.ทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รับวัดทับไทร ใว้ในพระอุปถัมภ์

เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๕ ได้รับอนุญาติตั้งวัด ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา และได้รับรางวัลเป็น วัดพัฒนาตัวอย่างของกรมการศาสนา เป็นที่ตั้งหน่วยอบรมประชาชน ประจำตำบลทับไทรเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างที่มีผลงานดีเด่น ของกรมการศาสนา เป็นหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบลดีเด่นของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ-เป็นสำนักเรียนนักธรรม-บาลี-เป็นที่ตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรม/กิจกรรม-เป็นที่ตั้งศูนย์ฝึกอาชีพในวัด ฯลฯ

ปัจจุบันวัดทับไทร มี พระครูสถิตธรรมานุวัตร หรือ พระอาจารย์สำราญ ถาวโร (ศรีประวัติ) เป็นเจ้าอาวาส ท่านได้จัดสร้าง ๙ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประดิษฐาน ณ วัดทับไทร ประดิษฐาน ณ สถานที่ที่เหมาะสม ตกแต่งภูมิทัศน์ และเปิดให้นมัสการ ขอพร เพื่อความเป็นสิริมงคลประกอบด้วย

๑.หลวงปู่ทวดอุ้มบาตร หน้าตัก ๙๙ นิ้ว องค์แรกของไทย (เคล็ดลับ ใส่บาตรหลวงปู่ทวด) 
๒.พระพิฆเนศ มหาเทพผู้ทรงภูมิปัญญายิ่งใหญ่ ผู้ขจัดอุปสรรคและอำนวยความสำเร็จในทุกสิ่ง 
๓.พระพรหม มหาเทพผู้สร้างโลกและลิขิตชีวิตมนุษย์ 
๔.เจ้าแม่กวนอิม พระโพธิสัตว์ องค์เดียวกันกับพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์
๕.หลวงพ่อขุน พระครูวิบูลคณารักษ์ พระเกจิอาจารย์ เจ้าอาวาสวัดทับไทร พ.ศ.๒๔๔๙ 
๖.พระสยามเทวาธิราช (สมาคมแม่บ้านทหารบก ปี.๒๕๔๗ สร้างถวายประจำทิศบูรพา) 
๗.พระพิทักษ์ชายแดน หน้าตัก ๓๙ นิ้ว (หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ สร้าง ปี.๒๕๓๗) 
๘.หลวงพ่อใหญ่ (พระพิทักษ์บูรพา) พระพุทธรูปหินเขียวอันศักดิ์สิทธิ์ หน้าตัก ๑.๙๐ เมตร
๙.อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงช้าง แห่งแรกของไทย

อย่างไรก็ตามเพื่อสร้างบูรณะเสนาสนะ และต่อเติมพระอุโบสถ วัดทับไทร จึงจัดสร้างวัตถุมงคลขึ้น เพื่อหาปัจจัยมาร่วมสมทบ โดยประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษก ณ วัดทับไทร ในวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา ประกอบด้วย 

- พระกริ่งชินบัญชร เนื้อเหล็กน้ำพี้
- เหรียญรูปเหมือน ท่านก๋งเตื่อง
- พระปรกใบมะขาม
- พระปิดตาหลังรูปเหมือน
- เหรียญพุทธซ้อน
- พระขุนแผน
- ผ้ายันต์
- ตะกรุด
- พระชัยยอดธง รุ่นแรก อันเป็นเอกลักษณ์ของ จ.จันทบุรี

พระเกจิอาจารย์ที่ร่วมพิธีมหาพุทธาภิเษก ประกอบด้วย สมเด็จพระอัครมหาสังฆราชาธิบดี เทพวงศ์ อธิบดีสงฆ์แห่งประเทศกัมพูชา, หลวงพ่อก๋งเตื่อง เตชปัญโญ วัดคลองม่วง เกาะกง, หลวงพ่ออาด วัดตะพุนทอง, หลวงพ่อศรี วัดบูรพา,หลวงพ่ออุดร วัดหนองจระเข้, หลวงพ่อสวาท วัดอ่าวหมู, อาจารย์อ๊อด วัดสายไหม เป็นต้น ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบุญได้ที่ วัดทับไทร โทร.๐๘-๐๐๔๖-๕๒๐๔, ๐๘-๖๙๗๓-๒๓๖๙ และ ๐๘-๖๙๙๙-๖๕๐๓


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ





วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

"เนอสเซอรี่กุมารทอง" ณ วัดไผ่ล้อม อันซีนอินไทยแลนด์!!


กุมารทอง ปัจจุบันนิยมสร้างเป็นรูปเด็ก ลักษณะเป็นเด็กไว้จุก นุ่งโจงกระเบนอย่างโบราณ กลายเป็นเครื่องรางของขลัง มีคติความ เชื่อกันว่ากุมารทอง เสมือนมีวิญญาณเด็กอยู่ในรูปกุมารนั้น ผู้บูชาต้องเลี้ยงดูเหมือนลูกของตน ต้องให้ข้าวน้ำเซ่นสรวงและต้องเรียกให้กินข้าวด้วย กล่าวกันว่า หากปฏิบัติดูแลดีกุมารทองก็จะช่วยค้ำคูณ อาทิ ช่วยคุ้มครองป้องกันเจ้าของและครอบครัวจากสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ช่วยให้ทำมาค้าขึ้น ไปจนถึงเตือนภัยล่วงหน้าอีกด้วย และจะคอยติดตามเฝ้าระวังบ้านเรือนจากโจรผู้ร้ายและศัตรูไม่ให้มากล้ำกราย ปัจจุบันผู้บูชานิยมไหว้ด้วยน้ำแดง

นอกจากนี้ยังมีคติความเชื่อด้วยว่า หากไม่อยากเลี้ยงกุมารทองไว้อีกต่อไป กุมารทองที่ได้มาจากที่ไหนต้องเอาไปปล่อยหรือคืนไว้กับที่นั่นจะดีที่สุด เรียกว่า กลับคืนสู่บ้านเก่า แต่ก่อนเอาไปคืนให้จุดธูปกลางแจ้ง บอกกุมารทองที่ปล่อยให้เขาได้รับรู้ด้วยพร้อมบอกเหตุผลที่เราจะต้องเอาเขาไปปล่อยและทำบุญให้เขาไปด้วย และหากเมื่อเอาเขาไปปล่อยแล้วก็ให้หมั่นทำบุญอุทิศให้เขาเรื่อยๆ เช่นกัน เพราะหากเขามีบุญพอจะไปเกิดเขาจะไปเกิดภพภูมิอื่นทันที ถือว่าเราเคยเลี้ยงเขามา ควรจะทำบุญส่งท้ายให้ไปด้วย

สถานที่ปล่อยกุมารทองนั้น ในอดีตนิยมไปฝังในป่าช้าโดยขุดหลุมโตพอประมาณ วางลงไป โปรยดอกไม้ของหอม ดอกไม้จะเป็นดอกอะไรก็ได้ แล้วก็พูดว่าสิ่งนี้คือซากของลูกที่ไม่ใช้แล้ว เหมือนซากศพที่ตายแล้ว สมควรที่จะขจัดซากนี้ให้สลายกลายไปเป็นซากดิน พ่อและแม่ก็จะกลบร่างนี้เพื่อให้ลูกไปเกิดในภพภูมิที่ดี นอกจากแล้วยังมีอีกวิธีหนึ่ง คือ เราฝากแม่พระคงคาไว้ เวลาจะนำไปปล่อยให้จัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ให้เรียบร้อย มีดอกไม้ ธูปเทียน เป็นต้น เหมือนเราลอยอัฐิลอยอังคาร


ปัจจุบันนี้ป่าช้าไม่มีดินให้ขุดฝังศพเช่นในอดีต ขณะเดียวกันการไปลอยน้ำก็ไม่เป็นที่นิยม แต่กลับไปปล่อยไว้ที่วัด โดยเฉพาะที่ วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม มี “กุมารทอง” จำนวนมากที่ญาติโยมพุทธศาสนิกชนนำมาถวายพระเดชพระคุณ หลวงพ่อพูล อัตตะรักโข ด้วยเหตุผลหลายประการ ส่งผลให้ที่วัดแน่นขนัดไปด้วย “กุมารทอง” มาจากสถานที่ต่างๆ กลายเป็นเนอสเซอรี่ขนาดใหญ่ในปัจจุบัน

สำหรับความเป็นมา “กุมารทอง หลวงพ่อพูล” นั้น มีสาเหตุสำคัญมาจาก “กุมารทองสมบัติ” ซึ่งตั้งบูชาอยู่ในกุฏิของท่าน ตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม เล่ากันว่าที่ผ่านมาท่านเดินทางไปเป็นพระคู่สวดที่จังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมกับ หลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทร และพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อล้ง วัดห้วยจระเข้ ทั้ง ๓ องค์เดินทางร่วมกันไปตลอดและการไปสุพรรณบุรีครานั้น มีคนถวาย “กุมารทอง” กลับมาด้วย มีขนาดใหญ่ เนื้อโลหะสัมฤทธิ์ ฐาน ๙ นิ้ว สูง ๑๕ นิ้ว หลวงพ่อนำมาที่กุฏิตั้งชื่อ “กุมารทองสมบัติ” จากนั้นมีเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ มีจำนวนมากมายดังที่เห็นเกือบพันองค์

ส่งผลให้ญาติโยมจากทั่วสารทิศแห่แหนมากราบไหว้ขอพร และต่างสัมฤทธิ์ผลเลื่องลือถึงประสบการณ์ ให้โชคลาภ ค้าขายดีมีกำไร สำเร็จสมปรารถนามาโดยตลอด ที่สำคัญ “กุมารทองสมบัติ” ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก จวบจนกระแสความศรัทธาขจรขจายไปทั่วประเทศ และแพร่หลายไปยังต่างประเทศอีกด้วย สิ่งหนึ่งที่เป็นเครื่องยืนยันความศักดิ์สิทธิ์ คือ ของเล่นที่คนนำมาแก้บนโดยเฉพาะรถของเล่นรวมทั้งสร้อยคอทองคำแท้

พิธีเปลี่ยนผ้าครองสังขารหลวงพ่อพูล

พระมงคลสิทธิการ หลวงพ่อพูล อัตตะรักโข พระอมตะเถราจารย์แห่งวัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่มีประชาชนให้ความเคารพศรัทธาทั่วประเทศ

ตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ด้วยความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย เสมอต้นเสมอปลาย ให้ความเมตตาต่อศิษยานุศิษย์ทุกชั้นวรรณะ ท่านสร้างคุณประโยชน์ไว้มากมายในบวรพุทธศาสนา เป็นที่ประจักษ์อย่างเป็นรูปธรรม ถาวรวัตถุทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นจากความตั้งใจ จรรโลงไว้เพื่อคุณงามความดี มีหลักยึดพระธรรมในการรังสรรค์ด้วยความเสียสละเพื่อสังคมส่วนรวมอย่างแท้จริง

เมื่อท่านละสังขาร สรีระของท่านไม่เน่าเปื่อย คงสภาพเดิมทุกประการ พุทธศาสนิกชนจากทั่วสารทิศต่างแห่แหนเดินทางมากราบสักการะสังขารของท่านมิขาดสาย ทำให้ทุกวันนี้บนศาลาการเปรียญที่ประดิษฐานสังขารของท่าน มีประชาชนจำนวนมากเดินทางมากราบสังขารหลวงพ่อแน่นขนัดทุกวัน เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการดำเนินชีวิต เพื่อความเป็นสิริมงคลในหน้าที่การงาน ค้าขายดีมีกำไรไม่เจ็บไม่จน กินอิ่มนอนอุ่น ตลอดไป

อย่างไรก็ตามในวันเสาร์ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จะได้เปิดโอกาสให้ญาติโยมศิษยานุศิษย์ได้สัมผัสหลวงพ่ออย่างใกล้ชิด โดยจัดให้มีพิธีถวายสักการะสรีระพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล สวดพระพุทธมนต์ ประกอบพิธีสรงน้ำเช็ดตัวเปลี่ยนผ้าครองที่สังขารหลวงพ่อพูล ตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ น.เป็นต้นไป ณ ศาลาการเปรียญวัดไผ่ล้อม

สำหรับพิธีลงกระหม่อมโดยในระหว่างเวลาดังกล่าวนี้ หลวงพี่น้ำฝน ท่านเปิดโอกาสให้ญาติโยมพุทธศาสนิกชนเข้ากราบสักการะสังขารหลวงพ่ออย่างใกล้ชิด ด้วยการก้มกราบน้อมศีรษะจรดแตะไปที่ปลายเท้าหลวงพ่อเพื่อความเป็นสิริมงคล กับครั้งหนึ่งในชีวิต


แจกฟรี! พระผงหลวงปู่ทวด-หลวงพ่อพูล

สวดนพเคราะห์ข้ามปี เป็นบุญประเพณีในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของ วัดไผ่ล้อม โดยได้จัดติดต่อกันมากว่า ๑๐ ปี แล้ว โดยในปีนี้จัดในเย็น วันอังคารที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๙ น. ณ โบราณสถาน วัดพระเมรุ ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม พร้อมกับพิธีกรรม ร่วมพิธียิ่งใหญ่ ขอขมากรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง

พิธีขอขมากรรม พุทธประเพณีที่ถือปฏิบัติมาแต่ครั้งโบราณกาล ด้วยการขอขมาต่อเพื่อนมนุษย์ สรรพสัตว์ทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวร งดโทษ ไม่โกรธเคือง ไม่จองเวรต่อกัน การขอขมากรรมมีหลักฐานปรากฏในหมู่สงฆ์ที่ได้กระทำล่วงเกิน ด้วย กาย วาจา ใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เจตนาและไม่เจตนา ขอขมาต่อการกระทำของตนที่ได้ทำผิดพลาดไปแล้ว จึงจะถูกรับกลับเข้าหมู่สงฆ์เช่นเดิม แสดงให้เห็นถึงการขอขมากรรม และให้อโหสิกรรม ย่อมนำมาซึ่งความสุขใจอย่างแท้จริง

กำหนดการเวลา ๑๘.๐๙ น. บัณฑิต อ่านโองการเทพยดา พร้อมบูชาถวาย เครื่องสังเวย ต่อเทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลาย หลวงพี่น้ำฝน นำกล่าว ขอขมากรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง จากนั้นหลวงพี่น้ำฝนพร้อมคณะสงฆ์วัดไผ่ล้อม สวดถอนกรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง

เวลา ๒๒.๐๐ น. พิธีสวดนพเคราะห์ เสริมบารมี ไปจนถึง เวลา ๒๔.๐๐ น. หลวงพี่น้ำฝนประพรมน้ำพระพุทธมนต์เคานท์ดาวน์ ส่งท้ายปีเก่า รับพรปีใหม่ โชคดี โชคดี โชคดี เป็นเสร็จพิธี ผู้ที่ร่วมพิธีจะได้รับมอบมงคลวัตถุ หลวงปู่ทวด หลวงพ่อพูล เนื้อผงพุทธคุณศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ทุกท่านที่เข้าร่วมพิธีทุกท่านฟรี 

สอบถามข้อมูลได้ที่ โทร.๐๘-๗๗๕๖-๗๕๕๕ และ ๐๘-๗๑๕๑-๗๗๙๙


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ


วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เจ้าคุณเสนาะ พระผู้สืบทอดปณิธาณธรรม สมเด็จฯเกี่ยว

พระพรหมสุธี หรือที่รู้จักกันในนาม เจ้าคุณเสนาะ เจ้าคณะภาค ๑๒ และ กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ปัจจุบันอายุ ๕๖ พรรษาที่ ๓๖ ได้รับสถาปนาแต่งตั้งชั้นเป็นชั้นรองสมเด็จพระราชาคณะเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๘ ในขณะที่มีอายุเพียง ๔๘ ปี พรรษาที่ ๒๘ เท่านั้น ซึ่งต้องถือว่าเป็นประวัติศาสตร์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์กับการที่มีรองสมเด็จพระราชาคณะ ที่อายุไม่ถึง ๕๐ ปี

ผลแห่งงานอันโดดเด่น พระพรหมสุธี พลีขานรับ ขับเคลื่อนสนองรับผิดชอบในตำแหน่งเลขานุการ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ และอดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช จวบจนวาระสุดท้ายแห่งการละสังขาร ท่านได้ทำหน้าที่สำคัญ จัดงานสวดพระอภิธรรมอย่างสมเกียรติหลวงพ่อสมเด็จฯ ตลอดระยะเวลา ๑๐๐๐ วัน โดยไม่ขาดตกบกพร่อง พรั่งพร้อมเจ้าภาพและศิษยานุศิษย์แห่แหนแน่นขนัดทุกคืน ยืนยันถึงบุญญาบารมีทั้งที่มีต่อหลวงพ่อสมเด็จฯ

ระหว่างที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ยังมีชีวิตอยู่นั้น พระพรหมสุธี คือ หนึ่งกำลังสำคัญที่ให้การสนับสนุนผลักดันการงานและกิจกรรมต่างๆ ในทางพระพุทธศาสนาให้ก้าวหน้าถาวรสำเร็จเป็นรูปธรรมจำนวนมากมายหลากหลายผลงานเป็นที่ประจักษ์ชัด โดยได้ใช้ประสบการณ์ทำหน้าที่ต่างๆ ที่ต้องรับผิดชอบในฐานะเลขานุการสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ถือเป็นภาระอันใหญ่หลวงที่ต้องละเอียดถี่ถ้วน แม่นยำในทุกภาคส่วน บกพร่องไม่ได้เลยแม้เพียงเล็กน้อย
คณะกองงานที่นำโดยพระพรหมสุธี ได้ปฏิบัติงานแบ่งเบาภาระอันสำคัญต่างๆ มาโดยตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนี้ ทุกงานที่ได้รับมอบหมาย เป็นที่วางใจท่านเจ้าประคุณหลวงพ่อสมเด็จฯ เป็นกำลังสำคัญอันดับหนึ่งที่จะขาดเสียมิได้ รวมถึงตำแหน่งภายในวัด ฐานะผู้ช่วยเจ้าอาวาส เป็นหูเป็นตาพัฒนาถาวรวัตถุและพระลูกวัดให้อยู่ในพระธรรมวินัยที่เคร่งครัด จัดการทุกเรื่องที่เป็นปมปัญหาให้คลายกลายเป็นสุขได้ในทุกเรื่อง

รวมถึงภาระหน้าที่นอกวัด ในฐานะพระนักปกครอง หลักสำคัญที่พระพรหมสุธีทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่เสมอมานั่น คือการดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะภาค ๑๒ ที่ต้องดูแลพระสงฆ์ในปกครองทั้ง ๔ จังหวัดด้วยกันคือ ปราจีนบุรี, นครนายก, ฉะเชิงเทรา และสระแก้ว นอกจากนี้ยังได้รับความไว้วางใจจาก สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มอบให้รับตำแหน่ง ประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ

พระพรหมสุธี เน้นเรื่องความกตัญญูกตเวทีเป็นสำคัญ โดยเฉพาะความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ เฉกเช่น ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ผู้เปรียบเสมือนพ่อผู้ให้ความเมตตากรุณาปราณีทั้งชีวิต รวมถึงวิถีปฏิบัติในทุกปีที่พระพรหมสุธี ท่านจะกลับบ้านเกิดไปที่วัดสามเรือน เพื่อทำบุญครบรอบวันมรณภาพของ พระอาจารย์ชุบ พระผู้มีคุณทำให้มีวันนี้

“เสนาะ ฝังมุข” เป็นชื่อและสกุลเดิมของเจ้าคุณเสนาะ เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๐ พื้นเพเป็นคน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เนื่องจากทางบ้านยากจน หลังเรียนจบชั้น ป.๔ จากโรงเรียนวัดสามเรือน โยมพ่อจึงได้นำไปฝากกับ พระอาจารย์ชุบ เจ้าอาวาสวัดสามเรือน เพื่อจะได้บวชเรียน จากนั้นได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดบ้านสร้าง อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อ ๑๐ มีนาคม ๒๕๑๒

สามเณรเสนาะได้คอยปรนนิบัติรับใช้อาจารย์ชุบและเรียนหนังสือ ศึกษาพระธรรมวินัยควบคู่กันไปด้วยดีโดยตลอด และได้เข้าพิธีอุปสมบทเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๑๒ ณ วัดสระเกศ โดยมี สมเด็จพระพุฒาจารย์ เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระพรหมคุณาภรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “ปญฺญาวชิโร” มีความหมายว่า ผู้มีปัญญาอันเฉียบแหลม
หลังจากอุปสมบทก็ได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ดูแลงานปกครองดูแลด้านการเงิน ในขณะเดียวกันยังเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม สำนักเรียนวัดสระเกศ เป็นกรรมการตรวจนักธรรมสนามหลวง และกรรมการตรวจบาลีสนามหลวง

ในด้านการศึกษานั้น พ.ศ.๒๕๒๕ สอบได้พุทธศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งในปีเดียวกันนี้ได้รับมอบหมายให้เป็นแม่งานควบคุมการบูรณปฏิสังขรณ์บรมบรรพต (ภูเขาทอง) ในงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐๒ ปี จากนั้น พ.ศ.๒๕๒๗ ได้เดินทางไปประเทศอินเดีย เพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาโท คณะสังคมวิทยา

ส่วนลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.๒๕๓๐ เป็นพระครูปลัดสุวัฒนพรหมคุณ ฐานานุกรมในพระพรหมคุณาภรณ์ (สมเด็จพระพุฒจารย์ ในปัจจุบัน) หลังจากนั้นก็ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ “พระปัญญาวชิราภรณ์” พ.ศ.๒๕๓๕ เป็นพระราชา คณะชั้นราชที่พระราชสิทธิมงคล

พ.ศ.๒๕๔๐ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ "พระเทพโสภณ" พ.ศ.๒๕๔๓ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ "พระธรรมสิทธิเวที" และเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๘ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นรองสมเด็จในราชทินนาม พระพรหมสุธี


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สิ้นแล้ว หลวงพ่อสมัย เกจิชื่อดังแห่งเมืองอุทัยฯ


วงการพระสงฆ์เศร้า พระครูอุปการพัฒนกิจ หรือ หลวงพ่อสมัย อาภาธโร วัดหนองหญ้านาง จ.อุทัยธานี เกจิอาจารย์สาย หลวงพ่อเคลือบ วัดหนองกระดี่ และ หมอยาสมุนไพรชื่อดัง มรณภาพด้วยโรคมะเร็งตับ

เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 15 ธ.ค. ที่ จ.อุทัยธานี ผู้สื่อข่าวรายงานมาว่า พระครูอุปการพัฒนกิจ หรือ หลวงพ่อสมัย อาภาธโร เจ้าอาวาสวัดหนองหญ้านาง ต.หนองไผ่แบน อ.เมือง จ.อุทัยธานี และเป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองอุทัยธานี พระเกจิอาจารย์ชื่อดังในด้านเมตตา มหานิยม คงกระพัน และยังเป็นหมอสมุนไพรที่เปิดวัดหนองหญ้านางเป็นสถานพยาบาลอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ซึ่งได้รับรางวัล หมอไทยดีเด่นแห่งชาติประจำปี 2554 ได้มรณภาพลงอย่างสงบด้วยอาการโรคมะเร็งตับ ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลอุทัยธานี เมื่อเวลา 15.23 น. วันเดียวกันนี้ สิริอายุ 67 ปี พรรษา 42

หลวงพ่อสมัย เป็นพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย เผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนสืบทอดพุทธศาสนาให้มั่นคงอยู่เป็นประจำ พัฒนาวัดเก่าแก่เสื่อมโทรมจนเป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง นอกจากนี้ยังใช้วิชาการแพทย์แผนไทยบำบัดโรคภัยให้กับประชาชนที่เจ็บป่วย ปัจจุบันวัดหนองหญ้านางกลายเป็นที่ศึกษาดูงานด้านการแพทย์แผนไทย ทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นแหล่งรวมองค์ความรู้และประสบการณ์การบำบัดรักษาแบบพื้นบ้านที่มีศักยภาพ เป็นครูภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยอีกรูปหนึ่ง โดยล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. 2554 ได้รับรางวัลหมอไทยดีเด่นแห่งชาติ และเข้ารับถวายรางวัลจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ถือเป็นรางวัลสุดท้ายที่หลวงพ่อสมัยได้รับเกี่ยวกับวงการแพทย์แผนไทย ที่หลวงพ่อสมัยมีใจรักในวงการนี้


*************************

เรื่องโดย : เดลินิวส์ออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เหรียญเจ้าสัว หลวงปู่บุญ องค์แชมป์!!


วัตถุมงคลที่ หลวงปู่บุญ หรือ พระพุทธวิถีนายก อดีตเจ้าอาวาส วัดกลางบางแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม สร้างนั้นมีมากมาย อาทิ พระหลวงปู่บุญ เจ้าสัว รุ่นแรก, พระหลวงปู่บุญ พิมพ์เศียรโล้นสะดุ้งกลับ เนื้อผงยาจินดามณีและเนื้อดิน หรือแม้แต่เครื่องรางของขลังและเบี้ยแก้ต่างๆ ซึ่งล้วนทรงพุทธานุภาพเป็นที่ยอมรับและนิยมสะสมของบรรดาลูกศิษย์ลูกหาและนักนิยมสะสมพระเครื่องและเหรียญคณาจารย์มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ประการสำคัญ คือ หลวงปู่บุญ ถูกยกให้เป็นต้นตำรับ "ยาจินดามณี" ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "ยาวาสนา" ที่ผู้ใดได้รับประทานก็จะเกิดสิริมงคลอย่างยิ่ง และตราบจนปัจจุบันวัตถุมงคลต่างๆ ของวัดกลางบางแก้วก็ยังคงใช้ "ผงยาจินดามณี ตำรับหลวงปู่บุญ" เป็นส่วนผสมในเนื้อหามวลสาร และยังคงไว้ซึ่งพุทธคุณแก่กล้าดังเดิม

ในเรื่องของพุทธคุณนั้น เด่นทางด้านโชคลาภ ทำมาค้าขาย และทางด้านแคล้วคลาดอีกด้วย เชื่อกันว่าผู้ที่ห้อยบูชาเหรียญเจ้าสัวแล้วทำมาหากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จะเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยทุกคน จึงได้รับสมญาว่าเหรียญเจ้าสัว อย่างในสมัยก่อนนั้น ผู้ที่บูชาเหรียญเจ้าสัว ได้แก่ เจ้าสัวหยุด เจ้าสัวชม เจ้าสัวโป๊ะ ชมภูนิช เจ้าสัวเป้า บุญญานิตย์ และกำนันแจ้ง ทุกท่านล้วนแต่มีฐานะร่ำรวย ผู้ที่มีเหรียญนี้ไว้ล้วนแต่อุดมด้วยโชคลาภ ทรัพย์สินพูนทวีมีฐานะ เขาจึงมักเรียกเหรียญนี้กันว่า เหรียญเจ้าสัว

เหรียญเจ้าสัวมีพุทธลักษณะเป็นเหรียญหล่อโบราณ หูเชื่อม ด้านหน้าเป็นรูปพระพุทธ นั่งขัดสมาธิเพชร บนอาสนะฐานบัวคว่ำบัวหงาย ด้านข้างมีกรอบซุ้มเรือนแก้ว ๒ เส้นขนานกัน กรอบซุ้มหยักเข้ารูป พระเกศองค์แหลมเรียวยาวเกือบจรดเส้นกรอบซุ้ม พระเมาลีเป็นตุ่ม มีรายละเอียดที่เส้นสังฆาฏิ พระพาหากลม ด้านหลังเหรียญเรียบ ไม่มีอักขระเลขยันต์ หรือตัวหนังสือใดๆ แต่มีรอยตะไบ ที่ตกแต่งพิมพ์ให้เรียบร้อย บางเหรียญมีรอยเหล็กจาร ทั้งโดยลายมือของหลวงปู่บุญ และลายมือของหลวงปู่เพิ่ม หูเหรียญของแท้ ต้องมีร่องรอยเชื่อมหู ซึ่งเป็นรอยเก่าปรากฏอยู่ ในส่วนที่เป็นหูในตัวก็มีแต่มีน้อย

เหรียญเจ้าสัว ถือว่าเป็นสุดยอดของเหรียญหลวงปู่บุญ สภาพสวยๆ ที่เรียกว่า องค์แชมป์มีราคาสูงกว่า ๒ ล้านบาท!! องค์ที่นำมาเป็นภาพพระองค์ครูเป็นของ "หนึ่ง เซ็นทรัล" หรือ "นายรัชต์ชยุตม์ กาญจนสินเกษม" ซึ่งเคยติดรางวัลที่ ๑ มาหลายสนาม


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ


วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เพลิงไหม้!! กุฏิเก่าวัดอ้อน้อย เผาจริง เผาหลอก!!


เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2556 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลวงปู่พุทธอิสระ โพสต์ลงเพจนามว่า "หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)" เล่าถึงเหตุการณ์ ที่กุฏิเก่าพระในวัดอ้อน้อย (ธรรมะอิสระ) กำแพงแสน จ.นครปฐม ถูกเผา โดยเล่าทั้งหมดว่า

"ประมาณเวลา บ่าย 3 โมง ของวันที่ 11 เดือน ธันวาคม 2556 มีบุคคลผู้ไม่หวังดี ลักลอบเข้าเผากุฏิเก่าพระในวัดอ้อน้อย (ธรรมะอิสระ) กำแพงแสน จ.นครปฐม ซึ่งยังไม่รวมที่ทุกคืนจะมีแก๊งค์มอเตอร์ไซด์ 30-50 คันเข้ามาป่วนบริเวณรั้วกำแพงวัด พร้อมมีบุคคลที่พกพาอาวุธปืนเข้ามาเดินอยู่หลังวัด ทั้งหมดนี้คือ #พฤติกรรมของพวกอันธพาล #ไม่มีอุดมการณ์ #ทำทุกอย่างได้เพื่อเงิน #โดยไม่กลัวบาปกลัวกรรม #แสดงอาการข่มขู่คุกคาม #ก่อให้เกิดความไม่สงบภายในวัด "

ทำให้เรื่องดังกล่าวชาวเน็ตต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปหลากหลายแง่มุม เช่น

- เผาเอง เพื่อสร้างสถานการณ์หรือเปล่า เวลา บ่าย 3 ฟ้าสว่างแจ้งขนาดนั้น แล้วอยู่ในวัดด้วย ไม่มีพยานเห็นเลยรึ ถ้าเป็นการลอบเผา และมีปณิธานแรงกล้าที่จะทำขนาดนั้นแล้วละก้อ ทำไม ไม่เผาอุโบสถหรือเผากุฎิของหัวโล้น ป3 เสียเลย เพราะมันจะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงความเกลียดได้ตรงและชัดเจนกว่า มาเผากระต๊อบเหลือใช้แบบนี้ ขอรับ

- สร้างความสงสาร เพื่อรับบริจาคเงินอีกแล้ว อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ หากินกันแบบนี้เลย พฤติกรรม ส่อ เจตนา

- เสียดายจังหลวงพ่อปู่ไม่อยู่ด้วย

อย่างไรก็ตามยังมีข้อสงสัยจากหลายฝ่ายอีกว่า ในกุฏิที่ถูกผู้ไม่หวังดีวางเพลิงนั้น (ตามภาพ) เหตุใดจึงมีกองฟางอยู่ด้านใน ซึ่งหากเป็นบุคคลภายนอก การที่จะเตรียมการเช่นนี้ คงเป็นเรื่องยากและลำบากที่จะไม่มีพยานรับรู้ เพราะเวลาที่เกิดเหตุนั้น เป็นเวลาประมาณบ่าย 3 โมง ซึ่งมีแสงสว่างเพียงพอ และ ระบบรักษาความปลอดภัยของวัด ถือได้ว่าแน่นหนามาก!!

จึงเป็นเหตุของการวิพากษ์วิจารณ์กันในวงกว้างว่า เป็นความขัดแย้งกันเองภายในวัด หรือ ตั้งใจเผาเองเพื่อสร้างสถานการณ์หรือเปล่า



21 ธันวานี้!! ครั้งหนึ่งในชีวิต “ได้ใกล้ชิดพระอริยะสงฆ์"


นับว่าเป็นสิริมงคลยิ่งนัก หากครั้งหนึ่งในชีวิต “ได้ใกล้ชิดพระอริยะสงฆ์” 

ในวันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม 2556 ขอเชิญญาติโยมศิษยานุศิษย์ทุกท่าน ร่วมกันกราบสักการะสังขาร หลวงพ่อพูล เปลี่ยนผ้าครอง ลงกระหม่อม ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ณ ศาลาการเปรียญ วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม

พระมงคลสิทธิการ หรือ หลวงพ่อพูล อัตตะรักโข พระอมตะเถราจารย์แห่ง วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่มีประชาชนให้ความเคารพศรัทธาทั่วประเทศ

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ ด้วยความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย เสมอต้นเสมอปลาย ให้ความเมตตาต่อศิษยานุศิษย์ทุกชั้นวรรณะ

ท่านสร้างคุณประโยชน์ไว้มากมายในบวรพุทธศาสนา เป็นที่ประจักษ์อย่างเป็นรูปธรรม ถาวรวัตถุทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นจากความตั้งใจ จรรโลงไว้เพื่อคุณงามความดี มีหลักยึดพระธรรมในการรังสรรค์ด้วยความเสียสละ เพื่อสังคมส่วนรวมอย่างแท้จริง

จวบจนเมื่อท่านละสังขาร สรีระของท่านไม่เน่าเปื่อย คงสภาพเดิมทุกประการ พุทธศาสนิกชนจากทั่วสารทิศ ต่างแห่แหนเดินทางมากราบสักการะสังขารของท่านมิขาดสาย ทำให้ทุกวันนี้ บนศาลาการเปรียญที่ประดิษฐานสังขารของท่าน มีประชาชนจำนวนมากเดินทางมากราบสังขารหลวงพ่อ แน่นขนัดทุกวัน เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ ในการดำเนินชีวิต เพื่อความเป็นสิริมงคลในหน้าที่การงาน ค้าขายดีมีกำไรไม่เจ็บไม่จน กินอิ่มนอนอุ่น ตลอดไป

และนับเป็นโอกาสที่ดีใน วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม 2556 พระเดชพระคุณพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ทายาทศิษย์เอกของหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จะได้เปิดโอกาสให้ญาติโยมศิษยานุศิษย์ ได้สัมผัสหลวงพ่ออย่างใกล้ชิด โดยจัดให้มีพิธีถวายสักการะสรีระ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล สวดพระพุทธมนต์ ประกอบพิธีสรงน้ำเช็ดตัวเปลี่ยนผ้าครองที่สังขารหลวงพ่อพูล ตั้งแต่เวลา 6 โมงเย็นเป็นต้นไป ณ ศาลาการเปรียญวัดไผ่ล้อม

สำหรับพิธีลงกระหม่อม โดยในระหว่างเวลาดังกล่าวนี้ หลวงพี่น้ำฝน ท่านเปิดโอกาสให้ญาติโยมพุทธศาสนิกชน เข้ากราบสักการะสังขารหลวงพ่ออย่างใกล้ชิด ด้วย การก้มกราบน้อมศีรษะจรดแตะไปที่ปลายเท้าหลวงพ่อ เพื่อความเป็นสิริมงคล กับครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้สัมผัสพระอริยะสงฆ์ เฉกเช่น พระมงคลสิทธิการ หรือ หลวงพ่อพูล อัตตะรักโข สุดยอดพระอมตะเถราจารย์แห่ง วัดไผ่ล้อม


*************************

เรื่องโดย : ทีมข่าวมงคลพระ
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สมเด็จวัดปากน้ำ บิณฑบาตขอบ้านเมืองสงบ


เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.2556 ที่ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ กรรมการมหาเถรสมาคมกล่าวว่า เนื่องในเหตุการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ว่า ขอบิณฑบาตขอให้สาธุชอยู่ในความสงบ และให้มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างแท้จริง

สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ กล่าวอีกว่า "ที่สำคัญอยากให้ประชาชนได้มีสติสัมปชัญญะ คือ สติ หมายถึง การระลึกได้ ส่วนสัมปชัญญะ คือ การรู้ตัว หากใช้หลักคุณธรรม ทั้ง 2 อย่างนี้ จะมีประโยชน์ต่อทุกคน คือ เมื่อเราจะทำอะไร เราก็สามารถระลึกได้ว่า เรากำลังทำอะไร เพื่ออะไร"

ขณะที่ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มอบหมายให้ นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ ผู้อำนวยการส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ กองพุทธศาสนสถาน และ นายสาโรจน์ กาลศิริศิลป์ ผู้อำนวยการส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม เข้าช่วยเหลือพระภิกษุสงฆ์สามเณรภายในวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ประมาณ 100 รูป ที่ได้รับผลกระทบความเดือดร้อนจากการชุมนุมในปัจจุบัน 

เนื่องจากมาตรการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ ทำให้พุทธศาสนิกชนไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านสิ่งกีดขวางเข้าไปตักบาตรพระภิกษุสงฆ์สามเณรภายในวัดได้ และได้จัดภัตตาหารแห้งและน้ำฉันมาถวายความช่วยในเบื้องต้นเป็นวันที่ 2 โดยนำน้ำฉัน จำนวน 100 แพ็ค ถวายแด่พระภิกษุสงฆ์สามเณรภายในวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม โดยมี พระเทพกิตติเวที เจ้าคณะภาค 17 และรองเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรวนาราม เป็นผู้แทนคณะสงฆ์วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามรับมอบของถวาย


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ