วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

"วัวธนู" สุดยอดเครื่องราง มหาอำนาจและทรงพลัง


วัวธนู ถือเป็นเครื่องรางของขลังที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจและทรงพลัง ในสมัยโบราณเชื่อกันว่า วัวธนู คือเครื่องรางที่บรรดาผู้มีวิชา รังสรรค์ปั้นแต่งขึ้นเป็นรูป "วัว" ส่วนที่มีคำว่า "ธนู" พ่วงเข้ามาด้วยนั้น เนื่องเพราะเมื่อผู้มีวิชาปล่อยวัวอาถรรพ์นี้ออกไปทำร้ายผู้อื่น หุ่นวัวจะพุ่งไปในอากาศ ในขณะนั้นสภาพของหุ่นวัวธนูจะย่นย่อลงเป็น "ปรมาณู" วิ่งตรงไปยังเป้าหมาย

ผู้มีอาคมนิยมมักจะมีไว้ใช้เป็นทหารผี หรือเฝ้าบ้าน โดยแต่ละสำนักจะใช้คาถากำกับ และมีความเชื่อกันว่าต้องเซ่นไหว้ เพราะมีวิญญาณสิ่งสู่อยู่ หากไม่ไหว้ จะทำให้หุ่นไม่มีเรี่ยวแรงอิทธิฤทธิ์ และหากเป็นหุ่นผี เจ้าของอาจโดนเล่นงานถึงตายได้


หากแต่ "วัวธนู" ที่ให้ผลในด้านเมตตา สมสำเร็จในสิ่งปรารถนา และไม่ส่งผลร้ายต่อผู้ที่บูชาก็มีอยู่จำนวนไม่น้อยเช่นกัน โดยวัวธนูที่ให้ผลในเชิงมงคลนี้ ได้ถูกรังสรรค์ขึ้นโดย พระคณาจารย์ผู้เปี่ยมบารมีหลากยุคหลายสมัยไม่ว่าจะเป็น 

- หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง 
- หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม 
- หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม

วัวธนู มักจะสร้างขึ้นจากวัสดุมวลสารศักดิ์สิทธิ์ 3 ประเภท คือ

- วัวธนูทอง สร้างด้วยโลหะอาถรรพณ์มีตะปูโลงศพเหล็กขนันผีตายทั้งกลม งั่ง (ตัวยาซัดทองชนิดหนึ่ง) ทองแดงเถื่อน ดีบุก ทองขวานฟ้าเงินปากผี ทองยอดนพศูล หล่อเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน

- วัวขี้ผึ้ง ถือเป็นวัวธนูชั้น 2 ทำจากขี้ผึ้งปิดหน้าผีตายโหง ผีตายทั้งกลม ผสมผงผีตายพราย ฯลฯ 

- วัวไม้ไผ่ ถือเป็นวัวธนูชั้น 2 ทำขึ้นใช้ชั่วคราวในเวลาฉุกเฉิน โดยใช้ไม้ไผ่คร่อมทาง กลั้นหายใจตัดตั้งนะโมตัสสะกะทีเดียวให้ขาด นำมาสานเป็นรูปวัว คล้ายเฉลวปักหม้อยาโบราณ

มีตำนานเล่าขานตั้งแต่โบราณกาลว่า พระธุดงค์รูปหนึ่งออกแสวงหาความสงบในป่า ช่วงนั้นมีชายชรานุ่งห่มขาวขอติดตามไปด้วย ระหว่างเดินทางนั้นไผ่ต้นหนึ่งโน้มลำต้นขวางทาง จึงเอามีดหมอตัดจักเป็นตอกใส่ย่ามไว้ เมื่อจวนจะถึงช่วงตะวันที่จะลับเหลี่ยมเขาหลุดจากขอบฟ้า ก็ได้เดินทางมาถึงพระอุโบสถร้าง ด้านหลังมีกุฏิเก่าหลังหนึ่ง บนนั้นมีภิกษุ 4 รูปนั่งสุมกันอยู่ ก้มหน้าไม่ทักทายพระธุดงค์ชรารูปนั้นเลย แต่หากสังเกตที่แววตาแล้วเสมือนกับดวงตาของสัตว์ร้าย

ชายชราผู้นั้นจึงให้พระธุดงค์เข้าจำวัดในพระอุโบสถ จากนั้นจึงเอาเทียนขี้ผึ้ง 2 เล่ม พร้อมธูป 3 ดอก จุดบูชาพระรัตนตรัยแล้วชายผู้นั้น ก็สานตอกเป็นรูปวัวไว้หลายตัว

ตกค่ำก็เกิดเหตุที่ไม่คาดฝันเมื่อมีเสียงเสือคำรามพร้อมกับกลิ่นสาบโชยมา เขาจึงกระซิบให้พระธุดงค์ตั้งสมาธิจิตบริกรรมพระพุทธคุณ หากมีสิ่งใดผิดปกติอย่าได้สนใจเป็นอันขาด แล้วเขาก็เอาไม้ไผ่สานสอดหันหน้าออกไปตามช่องต่างๆ

เมื่อบริกรรมคาถา พลันก็ได้ยินเสียงสัตว์ต่อสู้กันอย่างรุนแรงจนกระทั่งสงบนิ่งไป พอรุ่งเช้าเปิดประตูพระอุโบสถออกมาเห็นเสือโคร่งยาว 8 ศอก 4 ตัวไส้ทะลักนอนตายอยู่ ที่คอมีผ้าเหลืองติดอยู่ทุกตัว

ชายผู้นั้นจึงบอกกับพระธุดงค์ว่า พระ 4 รูปที่เห็นตอนแรกก็คือ เสือสมิง ซึ่งตายเพราะสู้พลังของวัวธนูไม่ได้ หากชายผู้นี้ไม่มากับพระธุดงค์เสือสมิงทั้ง 4 ตัว ก็คงทำอันตรายแก่พระธุดงค์ไปแล้วอย่างแน่นอน


*************************

เรียบเรียงโดย : ทีมงานมงคลพระ




วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

มจร.เปิดหลักสูตรปริญญาโท ปั้น "กาวใจ" สังคมไทย


“ความขัดแย้ง” คือสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมโลกมาตั้งแต่อดีต

“ยิ่งในศตวรรษนี้ ปัญหาเรื่องความขัดแย้งในสังคมจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น” นั่นคือการคาดการณ์จาก 
องค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก

โดยยูเนสโกมองว่า ศตวรรษนี้เป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่าย ขณะที่แหล่งข้อมูลก็มีจำนวนที่มากเกินไป ส่งผลให้ประชาชนจะเลือกรับข้อมูลเฉพาะที่ตัวเองสนใจ หมกมุ่น ทำให้ไม่สามารถยอมรับความแตกต่างได้ และในที่สุดก็จะเกิดเป็นปัญหาความขัดแย้งขึ้นในแต่ละสังคม ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับข้อกังวลของที่ประชุมผู้นำทางศาสนากว่า 1,000 คน ที่ร่วมประชุมกับ นายโคฟี่ อันนัน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ เมื่อปี ค.ศ.2000 และมีความเห็นตรงกันว่า ในศตวรรษนี้จะเกิดความขัดแย้งทางวัฒนธรรมและศาสนา โดยที่ศาสนาจะถูกอ้างอิงเพื่อไปเป็นมูลเหตุความขัดแย้งหันกลับมามองประเทศไทยบ้าง สถานการณ์ความขัดแย้งในสังคมไทยที่นับวันยิ่งขยายวงกว้างและทวีความรุนแรง ยิ่งเหมือนตอกย้ำชัดเจนว่าการคาดการณ์ของยูเนสโกไม่ใช่เรื่องเกินความจริง

ทั้งบรรดาสารพัดม็อบสีต่างๆ รวมไปถึงปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ซึ่งดูว่าไม่มีทีท่าจะสงบลงง่ายๆ และจากสถานการณ์ปัญหาความขัดแย้งที่ส่อวี่แววจะเพิ่มมากขึ้นนี่เอง จึงเป็นเหตุให้หลายสถาบันอุดมศึกษาของไทย อาทิ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เตรียมรับมือด้วยการเปิดสอนหลักสูตรเกี่ยวกับสันติศึกษา ด้วยหวังที่จะผลิตบุคลากรออกมาเป็นคนกลางในการเจรจา ผ่อนหนักเป็นเบา สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคมไทย

ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยสงฆ์อย่าง มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (มจร.) ก็ได้ร่วมมือกับ สำนักงานศาลยุติธรรม และ สถาบันพระปกเกล้า เปิด หลักสูตรโครงการปริญญาโท สาขาสันติศึกษา (ภาคพิเศษ) รุ่นที่ 1 ขึ้น

โดยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ ใช้เวลาศึกษาข้อมูลก่อนที่จะเปิดหลักสูตรนี้นานกว่า 7 ปี จุดเด่นของหลักสูตร จะเน้นบูรณาการพัฒนาสันติภาพแบบผสมผสาน โดยเริ่มต้นพัฒนาผู้เรียนให้เกิดสันติภาพขึ้นภายในใจ ด้วยการใช้หลักสมาธิเป็นเครื่องมือในการกล่อมเกลาสติและปัญญา ซึ่งจะมีการศึกษาใน 3 กลุ่มวิชาหลัก คือ 

1.แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับความขัดแย้ง สันติภาพ พระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ และพุทธสันติวิธี 2.ปฏิบัติการสร้างสันติภาพ ฝึกปฏิบัติในสถานที่จริง
3.ศึกษาต้นแบบของนักสร้างสันติภาพทั่วโลก

พระพรหมบัณฑิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ กล่าวว่า สันติศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นเครื่องมือที่จะนำมาสลายความขัดแย้งได้ดีที่สุด และทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯจะไม่ยอมให้เกิดความขัดแย้งทางวัฒนธรรม และศาสนาขึ้นในสังคมไทยเด็ดขาด ดังนั้นในฐานะมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ เป็นมหาวิทยาลัยด้านศาสนา จึงได้มีการคิดหลักสูตรสันติศึกษาขึ้น เพื่อหวังสร้าง วิศวกรทางสันติ ขึ้นมา ในการที่จะเจรจาให้เกิดความปรองดองขึ้นในสังคม

สอดคล้องกับความเห็นของ ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ที่มองว่า ไทยยังไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างสันติวิธี เนื่องจากที่ผ่านมาสอนแต่ความรู้สันติวิธีเพียงแค่ทฤษฎี แต่ไม่สามารถปลูกฝังสิ่งที่เรียกว่าทัศนคติเชิงบวกต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้ ดังนั้นการจัดหลักสูตรสันติวิธีจึงเป็นความจำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองขณะนี้มากที่สุด ซึ่งหลักสูตรนี้เหมาะสำหรับผู้นำประเทศ นักการเมือง ผู้นำทางทหาร ผู้นำทางตำรวจ โดยหลักสูตรของทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯเป็นหลักสูตรแรกของการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่สมบูรณ์ที่สุดของประเทศไทย

“แม้หลักสูตรสันติศึกษา ทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯจะไม่ได้เปิดสอนเป็นแห่งแรกในประเทศไทย แต่หลักสูตรของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯจะเป็นหลักสูตรแรกของประเทศที่มีการนำหลักพระพุทธศาสนามาบูรณาการในการศึกษาหลักสูตรสันติศึกษา” พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯย้ำถึงจุดเด่นของหลักสูตร



พร้อมกับระบุถึงกลุ่มเป้าหมายที่ทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ ต้องการให้เข้ามาศึกษาในหลักสูตรนี้ว่า จะเป็นกลุ่มสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด นักการเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ส.ส. ซึ่งได้มีการส่งจดหมายเชิญ 2,000 ฉบับไปยังหน่วยงานต่างๆทั่วประเทศ เพื่อให้เข้ามาศึกษาในหลักสูตรนี้แล้ว ส่วนผู้ที่สนใจจะเข้ามาเรียนหลักสูตรนี้สามารถสมัครได้จนถึงวันที่ 30 มี.ค.นี้

*************************

ข่าวโดย : ไทยรัฐออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ





พม่าถวายสมณศักดิ์ อัครมหาบัณฑิต "สมเด็จพระพุทธชินวงศ์"

รัฐบาลพม่าถวายสมณศักดิ์อัครมหาบัณฑิต "สมเด็จพระพุทธชินวงศ์" กรรมการมหาเถรฯ ในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทวัดทรายมูลคณะสงฆ์ไทย-พม่า

เมื่อวันที่ 29 ม.ค. นายสมหมาย สุภาษิต รอง ผอ.สำนักงานบริหารสำนักส่งเสริมพระพุทธศาสนาและบริการสังคม มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ นายอู ติ่นวิน เอกอัครราชทูตสหภาพเมียนมาร์ ประจำประเทศไทย ได้มีหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการถวาย สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม กรรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม ว่า พล.อ.เต็ง เส่ง ประธานาธิบดีแห่งสหภาพเมียนมาร์ ได้ถวายสมณศักดิ์ อัครมหาบัณฑิต ตามประกาศของทำเนียบประธานาธิบดี เลขที่ 1/2013 ซึ่งสมณศักดิ์อันทรงเกียรตินี้ เหมาะสมอย่างยิ่งกับสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เนื่องด้วยผลงานที่โดดเด่นทางด้านการอนุรักษ์ ส่งเสริม เผยแผ่พระพุทธศาสนา รวมทั้งด้านปริยัติปฏิบัติ




นายสมหมาย กล่าวต่อว่า ทางสหภาพเมียนมาร์ยังเห็นว่า สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ยังมีอุทิศตนในการจัดทำปริวรรตคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามานานหลายปีติดต่อกัน ซึ่งเป็นความพยายามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และไม่หยุดนิ่ง ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อความสัมพันธ์ทางพระพุทธศาสนาระหว่างไทย-พม่าในอนาคต โดยเฉพาะได้กระตุ้นและส่งเสริมความสัมพันธ์และธำรงไว้ซึ่งประเพณีโบราณ ในความร่วมมือทางพุทธศาสนาระหว่าง 2 ประเทศ และยังเป็นประโยชน์ต่อการกระชับความสัมพันธ์อันเปี่ยมไปด้วยไมตรีจิตของทั้ง 2 ประเทศ ให้แข็งแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นด้วย โดยทางรัฐบาลสหภาพเมียนมาร์ กำหนดพิธีถวายสมณศักดิ์ดังกล่าวในช่วงปลายเดือน มี.ค. 2556

เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ จะเดินทางไปรับการถวายสมณศักดิ์ ณ กรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงใหม่ของสหภาพเมียนมาร์ ซึ่งการถวายสมณสักดิ์แด่เจ้าประคุณสมเด็จในครั้งนี้ ถือเป็นวาระที่สำคัญ เนื่องจากในปีนี้ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ มีอายุครบ 6 รอบ 72 ปี ในวันที่ 2 ก.พ. 2556

สำหรับประวัติสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ มีนามเดิมว่า สมศักดิ์ ฉายา อุปสโม นามสกุล ชูมาลัยวงศ์ เกิดวันที่ 2 ก.พ. 2484 ณ ต.ปากจั่น อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา บรรพชาอุปสมบทเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ณ วัดละมุด จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อ 5 เม.ย. 2504 ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมเมื่ออุปสมบทอายุ 20 ปี ด้วยความสามารถพิเศษ กระทั่งสอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค เมื่อ พ.ศ. 2515 หรือเพียง 11 ปี นับแต่อุปสมบท เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ได้ใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมโดยไปเรียนต่อระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยมคธ ประเทศอินเดีย สอบได้ Ph.D. เมื่อกลับไทยได้สร้างผลงานมากมาย ล้วนแต่เป็นการพัฒนาการศึกษาด้านปริยัติธรรมที่ยั่งยืน เช่น ตั้งสถาบันพุทธโฆส วิทยาเขตแห่งมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อสอนบาลีใหญ่ หรือมูลกัจจายน์ ระดับปริญญาตรี เป็นการฟื้นฟูการเรียนมูลกัจจายน์ที่เลือนหายไปจากประเทศไทยให้กลับมามี บทบาทอีกครั้ง

ส่วนผลงานที่รัฐบาลและคณะสงฆ์สหภาพเมียนมาร์ประทับใจเป็นอย่างยิ่ง นอกจากเป็นผู้มีความผูกพันกับสำนักมหาสี สยาดอว์ สำนักวิปัสสนาชื่อดังแห่งกรุงย่างกุ้ง สหภาพเมียนมาร์แล้ว ท่านยังช่วยแก้ปัญหาการตั้งเจ้าอาวาสวัดทรายมูล อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ทำให้คณะสงฆ์และรัฐบาลสหภาพเมียนมาร์พอใจ

วัดทรายมูล เป็นวัดไทย แต่พระสงฆ์พม่าอยู่จำพรรษาหลายรูป โดยมีพระพม่าเป็นเจ้าอาวาส เมื่อเจ้าอาวาสมรณภาพ คณะสงฆ์ผู้ปกครองตั้งพระไทยรักษาการเจ้าอาวาส แต่ชาวพม่าประท้วงเป็นเรื่องเป็นราว จึงต้องระงับการแต่งตั้ง รัฐบาลตั้งแต่เอกอัครราชทูตพม่าประจำประเทศไทย ถึงนายกรัฐมนตรี พล.อ.เต็งเส่ง เคยหยิบยกเรื่องนี้หารือกับนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และขอความช่วยเหลือจากสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ท่านจึงสั่งการให้ พระเทพมังคลาจารย์ (สมาน) รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ไปแก้ไข เรื่องทุกอย่างจึงเรียบร้อยถูกใจชาวพม่า จึงส่งผลให้ทางสหภาพเมียนมาร์ ถวายสมณศักดิ์ อันทรงเกียรตินี้แด่ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์

************************

ข่าวโดย : ไทยรัฐออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ


วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

อนุมัติงบฯ สร้าง "วัดนวมินทรราชูทิศ"


เมื่อวันที่ 23 ม.ค.ที่ วัดยานนาวา มีการประชุมคณะกรรมการโครงการสร้าง วัดนวมินทรราชูทิศ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลฉลองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี 9 มิ.ย.2549 ที่เมืองเคมบริดจ์ สหรัฐอเมริกา โดยที่ประชุมได้มีมติเลื่อนพิธีการสมโภชซึ่งเดิมคาดว่าจะมีพิธีประมาณเดือน มิ.ย.นี้ เป็นเดือน มิ.ย.ปี 2557 โดย พระพรหมวชิรญาณ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา และกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ในฐานะประธานคณะกรรมการโครงการ กล่าวว่า โครงการนี้ มส. ร่วมกับรัฐบาลดำเนินการขึ้นเพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงรับไว้ในพระสังฆราชูปถัมภ์ และสมเด็จพระราชาคณะทุกรูปยังรับเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาในโครงการนี้ สำหรับสถานที่ในการก่อสร้างอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ ซึ่งเป็นเมืองเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราช–สมภพ และด้วยการที่วัดนี้สร้างขึ้นในเมืองแห่งมหาวิทยาลัย จึงต้องการให้เป็น “วัดมหาวิทยาลัย” โดยจะมีวิทยาลัยพุทธศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ห้องสมุดพระพุทธศาสนา พิพิธภัณฑ์สถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่ในวัดดังกล่าวด้วย

นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ครม.อนุมัติงบฯสร้างวัดนี้มาแล้ว 500 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจจะร่วมสร้างวัดนวมินทรราชูทิศเฉลิมพระเกียรติฯ สามารถร่วมบริจาคได้ที่บัญชีเลขที่ 010-0-34235-3 ธ.กรุงไทย สาขายานนาวา สอบถาม โทร.0-2672-3216


*************************

ข่าวโดย : ไทยรัฐออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ


วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

"สิงห์" สุดยอดแห่งเมตตา ราชาแห่งพงไพร


สัญลักษณ์รูป “สิงห์” หรือ “ราชสีห์” ถูกนำมาใช้เป็นตราประจำตำแหน่งสมุหนายก ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่๕) ทรงพระราชทานให้เป็นตราประจำกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีหน้าที่ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่ปวงประชาราษฎร์”

หรือแม้แต่ ชาวต่างชาติต่างภาษาก็ยังยกย่อง “สิงห์” ว่า “เป็นที่สุดแห่งสัตว์มงคลทั้งปวง” และนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์สำคัญประจำชาติ เช่น อังกฤษ สิงคโปร์ และอินเดีย

ตั้งแต่โบราณกาลนั้น “สิงห์” หรือ “ราชสีห์” เป็นดั่งราชาแห่งสัตว์ทั้งปวง ด้วยลักษณะแห่งความเข้มแข็ง ทรงพลัง และสง่างามของสิงห์ พระเกจิอาจารย์ผู้ทรงพุทธาคมจึงนิยมที่จะนำรูปลักษณ์ดังกล่าวมาจัดสร้างเป็นเครื่องรางวัตถุมงคล เช่น

- หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์
- หลวงพ่อจ้อย วัดบางช้างเหนือ
- หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม นครปฐม ฯลฯ 

โดยพุทธคุณแห่งการบูชาเครื่องรางวัตถุมงคลรูปสิงห์นั้น มีความเชื่อกันว่าจะทำให้ผู้ที่บูชานั้น

"มั่งมีในทรัพย์สิน และหมดสิ้นศัตรู 
อุปสรรคอันใดที่มีอยู่ จะสลายหายสิ้นไปโดยพลัน" 


ผู้ที่ต้องเดินทางเข้าป่า มักจะนิยมพกพาเครื่องรางวัตถุมงคลรูปสิงห์ไว้เสมอ เพราะเชื่อว่า สัตว์ร้ายต่างๆ ในป่าจะยำเกรง ไม่กล้าทำอันตรายต่อผู้ที่บูชา เพราะ "สิงห์" คือ เจ้าแห่งป่า สัตว์น้อยหรือใหญ่ทั่วไพรพนา มิอาจหาญกล้าเข้ามากล้ำกราย

และแม้แต่ความเชื่อของพราหมณ์ หรือโหราศาสตร์นั้นก็เชื่อว่า พระอาทิตย์ เอกะเทพเจ้า ผู้บันดาลให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ สว่างไสว มั่งคั่ง เพียบพร้อมด้วยมหาอำนาจบารมี ก็กำเนิดเกิดจากราชสีห์เช่นกัน

*************************

เรียบเรียงโดย : ทีมงานมงคลพระ

"กระจายเสียงธรรม" แห่ง องค์พระศาสดา ชี้ธรรมนำพา สู่หนทางแห่งความเจริญ


ย้อนกลับไปในสมัยพุทธกาล การเผยแพร่หลักธรรมคำสอน แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นกระทำได้ยากยิ่ง แม้ในเขตรั้วเมืองเดียวกัน การสื่อสารให้ทั่วถึงนั้น ยังติดขัดไปด้วยปัจจัยแห่งระยะทางและกาลเวลา

สองพันกว่าปีแห่งการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้ดำเนินมาสู่ยุคปัจจุบัน ยุคที่โลกของเรานั้นมีช่องทางสื่อสารกันหลากหลายวิธี มี “สื่อ” มากมายให้เลือกใช้เพื่อส่ง “สาร” โดยไม่มีข้อจำกัดในระยะทาง เชื่อมต่อสู่โลกกว้างภายในเสี้ยววินาที


ท่านพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม “พระรุ่นใหม่ หัวใจนักพัฒนา” ได้ตระหนักว่า หากเลือกใช้เทคโนโลยี “สื่อ” ให้เหมาะสมเพื่อส่ง “สารธรรม” ไปสู่ผู้คน ก็จะเกิดประโยชน์ที่มากล้นแก่สังคมโดยทั่วไป

ช่องทางการกระจายเสียงผ่านคลื่นวิทยุ เป็นอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่ท่านพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน)ได้ให้ความสำคัญมาโดยตลอด เนื่องจาก “เสียง” สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ฟังได้ทุกเวลา แม้ในขณะที่หลับตา แต่ “หู” ก็ยังคงได้ยิน

การ “กระจายเสียงธรรม” จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ท่านพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เลือกใช้ในการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ให้ผู้คนได้ซึมซับในหลักธรรมแห่งองค์พระศาสดา เพื่อสืบทอดพระศาสนาให้เจริญก้าวหน้าและรุ่งเรืองสืบไป



สถานีวิทยุ ไผ่ล้อมเรดิโอ 91.75 MHz (นครปฐม) และ Myradio (มายเรดิโอ) 93.25 MHz (นครปฐม) คลื่นวิทยุแห่งความสร้างสรรค์ ภายใต้การดูแลของ “มูลนิธิหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม” จึงถือกำเนิดขึ้น เพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่สาระ ธรรมะคำสอน ควบคู่ไปกับความบันเทิง และ ยังคอยเป็นเสมือน “กระบอกเสียง” ให้กับหน่วยงานราชการต่างๆ ที่ต้องการกระจายข่าวสารสำคัญไปยังประชาชน เพื่อประโยชน์โดยรวมในสังคม โดยมิได้หวังผลในเชิงธุรกิจ หรือแสวงหากำไร


โดยในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา สถานีวิทยุแห่งความสร้างสรรค์ที่ ท่านพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) ก่อตั้งขึ้นนั้น ได้สร้างประโยชน์คุณูปการอย่างสูงแก่สังคมโดยทั่ว ไม่ว่าจะเป็น 

- การเผยแพร่หลักธรรมคำสอน ซื่งเป็น "ความจริงแท้แห่งชีวิต" เพื่อปลูกฝังแนวคิดในการดำเนินชีวิตที่ดีแก่ผู้ฟัง โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ และพระอาจารย์ ผ่านสำเนียงการสื่อสารที่ง่ายต่อการเข้าใจ

- การให้ความรู้เกี่ยวกับข้อกฏหมายต่างๆ ที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตประจำวันโดยเจ้าหน้าที่จากศาลประจําจังหวัด

- การให้ความรู้เกี่ยวกับข้อกฏหมายจราจร เพื่อการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยและถูกวิธี โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร

- การประกาศข่าวรับสมัครตำแหน่งงานจากองค์กรต่างๆ เพื่อเสริมสร้างโอกาส และเพิ่มช่องทางในการดำรงชีพให้แก่ผู้คนในสังคม

- การกระจายข่าวสารสำคัญจากสถาบันต่างๆ เพื่อให้ประชาชนในวงกว้าง ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารอย่างทั่วถึงกัน


เรียกได้ว่าสถานีวิทยุแห่งนี้ มุ่งมั่นที่จะ นำเสนอเนื้อหาสาระที่ดี เพื่อขจัดความเขลาที่มี ทั้งทางโลกและทางธรรม

แม้เทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบันจะพัฒนาไปไกลสักเพียงใด แต่หากผู้ที่เลือกใช้ "สื่อ" ไม่มีความรู้ และ ขาดความใส่ใจ จุดประสงค์ของการสื่อสารที่ตั้งไว้ ก็คงจะยากเกินไปที่จะสำเร็จได้เช่นกัน


*************************

เรื่องโดย : เต้ มงคลพระ
เรียบเรียงโดย : ทีมข่าวมงคลพระ


อนุมัติงบฯบูรณะ 6 วัด ถวายเป็นพระราชกุศล


นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติงบประมาณตามที่ พศ.ได้จัดทำโครงการเสนอของบประมาณกลางปี 2555 ในการสร้างและบูรณะวัด เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และในโอกาสที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเจริญพระชันษาครบ 100 ปี จำนวน 6 โครงการ รวมงบฯ 911.9 ล้านบาท ได้แก่

- โครงการก่อสร้างวัดนวมินทรราชูทิศ นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา 
- โครงการสร้างอาคารหอประชุมคณะสงฆ์ธรรมยุต วัดบวรนิเวศวิหาร 
- โครงการสร้างข่วงหลวงเวียงแก้ว พุทธมณฑลแห่ง จ.เชียงใหม่ 
- โครงการอุดหนุนการปรับปรุงเสนาสนะวัดไทยพุทธคยา รัฐพิหาร สาธารณรัฐอินเดีย 100 ล้าน 
- โครงการบูรณะพระวิหารเสาอินทขีล เสาหลักเมืองเชียงใหม่ 
- โครงการบูรณะบริเวณลานวัดแก้วมงคล จ.สมุทรสาคร

พระเทพปริยัติเมธี เจ้าคณะ จ.นครสวรรค์ กล่าวว่า คณะสงฆ์ จ.นครสวรรค์ จัดสร้างพุทธอุทยานนครสวรรค์ และสร้าง "พระพุทธศรีสัพพัญญู" ซึ่งเป็นพระประธานประจำพุทธอุทยานนครสวรรค์ ถวายเป็นพุทธบูชาและเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยวันที่ 15 มี.ค. จะมีพิธีหล่อพระพักตร์ และจะแล้วเสร็จภายในเดือน ธ.ค.นี้

*************************

ข่าวโดย : ไทยรัฐออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ


วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

หลวงพ่อสุข ผู้ทรงวิทยาคม แห่ง วัดห้วยจรเข้


"วัดห้วยจรเข้" ตั้งอยู่เลขที่ 447 ถ. พิพิธประสาท ด้านหน้าวัดใกล้คลองเจดีย์บูชา ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม เดิมมีชื่อวัดว่า วัดนาคโชติการาม ต่อมาเปลี่ยนเป็น วัดใหม่ห้วยจระเข้ ปัจจุบันได้ชื่อเป็นทางการว่า วัดห้วยจรเข้ เจ้าอาวาสรูปแรกของวัด คือ หลวงปู่นาค โชติโก (พระครูปัจฉิมทิศบริหาร) ท่านเป็นผู้สร้างวัดนี้ให้เป็นวัดบริวารขององค์พระปฐมเจดีย์ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4

พระครูปัจฉิมทิศบริหาร (หลวงปู่นาค) ปรมาจารย์ผู้สร้าง พระปิดตาเนื้อเมฆพัตร์ เป็นผู้สร้างวัดห้วยจรเข้ เมื่อปี พ.ศ.2441 (ก่อนหน้านั้นท่านยังจำพรรษาอยู่ที่วัดพระปฐมเจดีย์) หลวงปู่นาคท่านเป็นพระรูปร่างเล็ก บอบบาง ผอมเกร็ง ท่านมีชีวิตอยู่ประมาณปี พ.ศ. 2380 กว่า ถึง พ.ศ. 2453 อายุประมาณ 60 กว่าพรรษา เดิมทีเข้าใจว่าท่านอุปสมบทที่วัดพระปฐมเจดีย์ แต่ตามความจริงแล้วท่านเป็นพระธุดงค์ได้เดินธุดงค์มานมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ เพราะมีความเชื่อว่าองค์พระปฐมเจดีย์มี พระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ ด้วยความศรัทธาต่อองค์พระปฐมเจดีย์ จึงได้จำพรรษาอยู่ที่วัดพระปฐมเจดีย์

ต่อมา พระครูอุตตรการบดี (สุข ปทุมสฺสวณฺโณ) หรือ หลวงพ่อสุข ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสรูปที่ 2 ของวัดห้วยจระเข้ต่อจากหลวงปู่นาค หลวงพ่อสุขถือกำเนิดที่ตำบลบางแขม อ.เมือง จ.นครปฐม เมื่อวันศุกร์ เดือน 9 ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ 25 สิงหาคม 2425 เป็นบุตรคนที่ 5 ในจำนวน 7 คน ของ นายเทศ และนางทิพย์ มาเทศ เมื่ออายุ 11 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร อยู่ ณ วัดบางแขม อ.เมือง จ. นครปฐม จนอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดบางแขม
โดยมีหลวงพ่อคำ วัดหนองเสือ อ.เมือง จ.นครปฐม เป็นพระอุปัชฌาย์
พระครูสมถกิตติคุณ(หลวงพ่อหลั่น) วัดพระประโทนเจดีย์ และหลวงพ่อแก้ว วัดบางแขม
เป็นคู่พระกรรมวาจาจารย์ และพระอนุสาวนาจารย์

เมื่ออุปสมบทแล้วได้ย้ายมาศึกษาอักขรสมัย และพระธรรมวินัย วิปัสสนากรรมฐานและคันถธุระตลอดจนวิทยาคมต่างๆ กับหลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ นอกจากนี้ ท่านยังได้ไปศึกษาเพิ่มเติมกับ หลวงพ่อคำ วัดหนองเสือ หลาวงพ่อคำ ผู้นี้ เป็นญาติผู้น้องของ หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก หลวงพ่อคำท่านมีความเชี่ยวชาญในด้านวิปัสสนากรรมฐาน และวิทยาคมต่างๆ จนสามารถยิงกระสุขคดได้ ระหว่างที่หลวงปู่คำมีชีวิตอยู่ ท่านได้แจกเหรียญหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตกรุ่น 2 ให้กับศิษย์ของท่าน หลวงปู่คำวัดหนองเสือ มรณภาพประมาณ พ.ศ. 2450 กว่า อายุประมาณ 80 กว่าพรรษา ระหว่างงานพิธีศพ หลวงพ่อทาวัดพะเนียงแตก ได้มาเดินนำศพหลวงปู่คำ วัดหนองเสือ หลวงพ่อสุขท่านมรณภาพปี 2494

หลวงพ่อสุข เมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสแล้ว ท่านได้บริหารปกครองและพัฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรืองขึ้น ตามลำดับ ทั้งในด้านการศึกษา การเผยแพร่พระพุทธศาสนา และการบูรณะปฏิสังขรวัด และขยายเนื้อที่วัดให้มากขึ้นโดยการซื้อที่ดินเข้าวัดอย่างมากมาย

หลวงพ่อสุขท่านเป็นพระอาจารย์ที่มีวิทยาคมแก่กล้าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหลวงปู่นาค และหลวงพ่อคำซึ่งเป็นอาจารย์ของท่าน ดังนั้น ในพิธีพุทธาภิเษก ท่านมักจะได้รับการนิมนต์เสมอๆ เช่น พิธีพุทธาภิเษกพระคันธาราช วัดพระปฐมเจดีย์ พ.ศ.2476 และพิธีพุทธาภิเษก พระร่วงใบมะยม ของวัดพระปฐมเจดีย์ พ.ศ.2484,พ.ศ. 2485 และพ.ศ.2487 ตามลำดับ

หลวงพ่อสุข ท่านเป็นพระที่แก่กล้าในวิทยาคมดังได้กล่าวมาแล้ว แม้แต่ หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ก็ยังยอมรับในความแก่กล้าในวิทยาคมของท่าน มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงพ่อแช่มวัดตาก้องกับหลวงพ่อสุข ได้ทดสอบวิชาย่นระยะทางว่าใครจะถึงพิธีพุทธาภิเษกที่วัดพระปฐมเจดีย์ก่อนกัน ปรากฏว่าหลวงพ่อสุขถึงวัดพระปฐมเจดีย์ก่อน!!

ด้วยกิตติศัพท์ความเชี่ยวชาญในด้านวิปัสสนากรรมฐานและคันถธุระ และความรอบรู้ในด้านวิทยาคมต่างๆ จึงมีผู้มาขอฝากตัวเป็นศิษย์ เพื่อศึกษาวิทยาคมที่เด่นๆ ได้แก่

- หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม 
- หลวงพ่อยิ้ว วัดบางแขม
- หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม
- หลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทย
- หลวงพ่อเล็ก วัดหนองสีดา
หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม  

โดยเฉพาะหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ได้มาขอเรียน นะทรหด หรือ นะคงกะพัน เมื่อประมาณ พ.ศ. 2480

หลวงพ่อสุข ท่านได้สร้างวัตถุมงคลจำนวนน้อยมาก วัตถุมงคลที่เป็นที่นิยมของประชาชนทั่วไป คือ เหรียญปั้มรูปเหมือนรุ่นแรก และเป็นเหรียญรุ่นเดียวที่สร้างในขณะที่หลวงพ่อสุขยังมีชีวิตอยู่ เป็นเหรียญรูปเหมือนหลวงพ่อสุขครึ่งองค์ มีอักษรรอบเหรียญว่า "พระครูอุตตรการบดี สุก ปทุมสฺสวณฺโณ" ด้านหลังเขียนว่า วัดห้วยจรเข้ ด้านหลังของเหรียญมีอยู่สองพิมพ์ คือ พิมพ์อุหางสั้น และอุหางยาวเหรียญรุ่นแรกนี้ นักสะสมพระทั่วไปเรียกว่า เหรียญคอสั้น เหรียญรุ่นแรกเข้าใจว่าหลวงพ่อสุขสร้างหลังจากได้รับสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรประจำทิศองค์พระปฐมเจดีย์ ที่พระครูอุตตรการบดี เมื่อประมาณ พ.ศ. 2469 ต่อจากหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว เหรียญรุ่นแรกนี้จะเรียกว่าเหรียญรุ่นเลื่อนสมณศักดิ์ก็ได้ มีสองเนื้อ คือ เนื้อเงิน และเนื้อทองแดง

*************************

เรียบเรียงโดย : ทีมงานมงคลพระ


ฟังเทศน์มหาชาติ ร่วมบุญสร้างห้องประชุมอเนกประสงค์

สมาคมนักเรียนเก่าสามจีน-ไตรมิตรวิทยาลัย วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร โรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย และ บริษัท โสสุโก้ แอนด์ กรุ๊ป (2008) จำกัด จะจัดงานเทศน์มหาชาติ ในวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2556 ณ ห้องประชุมใต้พระมหามณฑป วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสครบรอบ 117 ปีโรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมสมทบทุนจัดสร้างห้องประชุมโรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย สำหรับใช้ในการศึกษาด้านภาษา ศิลปะ และวัฒนธรรมจีน

งานเทศน์มหาชาติครั้งนี้ได้รับความเมตตาจาก พระพรหมเวที เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ พลเอกพิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส โดยพระภิกษุที่มาร่วมแสดงธรรมเทศน์มาจากวัดที่มีชื่อเสียงหลายแห่งในกรุงเทพฯ

นายกิตติชัย ไกรก่อกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โสสุโก้ แอนด์ กรุ๊ป (2008) จำกัด ในฐานะนายกสมาคมนักเรียนเก่าสามจีน-ไตรมิตรวิทยาลัย กล่าวว่า “ในฐานะศิษย์เก่าโรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการร่วมจัดงานเทศน์มหาชาติ ถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 85 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา

“ปีนี้ยังเป็นปีที่โรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัยมีอายุครบ 117 ปี จึงเป็นโอกาสอันดีที่ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันจะได้ร่วมกันทำสิ่งดีๆ ตอบแทนบุญคุณของโรงเรียนและครูบาอาจารย์ เพราะที่ผ่านมาโรงเรียนแห่งนี้ได้ให้การศึกษาอบรมแก่นักเรียนทั้งหลายให้เป็นคนดี มีความรู้ความสามารถที่จะสร้างสรรค์ความเจริญแก่ตนเองและทำคุณประโยชน์แก่สังคม ตัวผมเองเมื่อมาเป็นผู้บริหารจึงมุ่งมั่นให้โสสุโก้เป็นองค์กรสีขาวที่ดำเนินงานอย่างสุจริต ใส่ใจดูแลพนักงาน สังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งช่วยทำนุบำรุงสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ตามกำลังความสามารถ”

การเทศน์มหาชาติเป็นบุญพิธีที่มีมาแต่โบราณ สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เป็นการเทศนาเรื่องพระเวสสันดรชาดก ซึ่งเป็นพระชาติสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าเสวยชาติเป็นพระโพธิสัตว์ก่อนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า อีกทั้งเป็นพระชาติที่มุ่งบำเพ็ญทานบารมีและปรากฏบารมีของพระโพธิสัตว์ครบทั้ง 10 บารมี จึงเรียกว่า “มหาชาติ” มี 13 กัณฑ์ รวม 1,000 พระคาถา ในเนื้อความสอนให้รู้จักโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ตัว อันจะเป็นเหตุให้สังคมสงบสุข


การฟังเทศน์มหาชาติเป็นมงคลอย่างยิ่ง โดยพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ผู้ใดได้รับฟังและนำไปพิจารณาและระลึกถึงคุณของพระโพธิสัตว์และคุณของพุทธานุภาพ ผู้นั้นจะได้ไปจุติบนสรวงสวรรค์อย่างแน่แท้” ผู้ใดได้ฟังเทศน์มหาชาติทั้ง 13 กัณฑ์จบภายในวันเดียวจะได้รับอานิสงส์ยิ่งใหญ่ ได้แก่ จะได้เกิดมาในยุคพระศรีอาริยเมตไตรย จะได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เสวยทิพยสมบัติอันโอฬาร จะไม่ตกนรกเมื่อตายไปแล้ว จะเป็นผู้มีลาภ ยศ ไมตรี ความสุข และจะบรรลุมรรคผลนิพพาน นอกจากนี้ในแต่ละกัณฑ์ยังมีอานิสงส์แตกต่างกันไปอีกด้วย

ในกิจกรรมครั้งนี้ยังมีการเชิญชวนผู้มาร่วมงานร่วมบริจาคเงินสมทบทุนสร้างห้องประชุม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อนักเรียนและประชาชนทั่วไป ในการศึกษาภาษาและศิลปวัฒนธรรมจีน โดยห้องเรียนขงจื่อโรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัยซึ่งเป็นห้องเรียนขงจื่อแห่งแรกของโลกนั้น ได้รับยกย่องจากสำนักส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีนนานาชาติ (ฮั่นปั้น) ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ให้เป็นห้องเรียนขงจื่อ ดีเด่นระดับโลก ในการประชุมขงจื่อโลกครั้งที่ 7 ในปีที่ผ่านมา โดยคัดเลือกจากห้องเรียนขงจื่อทั้งหมด 545 แห่งทั่วโลก

นางสาวสุคนธา อรุณภู่ ผู้อำนวยการโรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 117 ปีที่ผ่านมา โรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัยได้หล่อหลอมให้เยาวชนเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและคุณธรรมจริยธรรม เติบโตขึ้นเป็นบุคคลสำคัญในวงการต่างๆ มากมาย ในนามของคณะผู้บริหาร ครู และนักเรียนทุกคนของโรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานเทศน์มหาชาติ และหาทุนสร้างห้องประชุมของโรงเรียน เพื่อเป็นประโยชน์แก่คนรุ่นหลังทั้งในด้านการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม รวมถึงการสานสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ให้ดำเนินต่อไป”

ห้องประชุมใหม่นี้มีพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด 270 ตารางเมตร จุคนได้ 200 คน โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมใช้งานในปีนี้

*************************

ข่าวโดย : ไทยรัฐออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

เสนอตั้งหน่วยงานดูแลพระธรรมทูต

พระพรหมสิทธิ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ในฐานะที่ปรึกษาประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์พระธรรมทูตไทย 3 รูป ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนมรณภาพ ระหว่างเดินทางไปจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาที่ประเทศสกอตแลนด์เมื่อปลายปี 2555 นั้น ในช่วงบ่ายวันที่ 14 ม.ค. จะมีการนำศพพระธรรมทูตทั้ง 3 รูป มาตั้งศพบำเพ็ญกุศล และสวดอภิธรรมที่วัดสระเกศฯ และจะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 19 ม.ค. เวลา 16.00 น. ที่วัดสระ– เกศฯ 

ทั้งนี้ ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทางสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ เห็นว่าควรที่จะมีหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อ คอยดูแลช่วยเหลือพระธรรมทูตไทยในต่างประเทศ โดยเฉพาะ เนื่องจากที่ผ่านมาพระธรรมทูตไทยต้องพึ่งตัวเองมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปรับกิจนิมนต์ รวมทั้งการหาทุนในการจัดกิจกรรมต่างๆให้กับชาวไทยในต่างประเทศ

พระพรหมสิทธิกล่าวต่อไปว่า เบื้องต้นเห็นว่าหน่วยงานที่จะตั้งขึ้นควรอยู่ในการดูแลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ซึ่งถือว่าจะมีความสำคัญมาก เพราะพระธรรมทูตไทยที่เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังประเทศต่างๆ เป็นการทำงานเพื่อประเทศไทย เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา และเมื่อมีการสร้างวัดไทยในต่างประเทศก็ถือว่าเป็นสมบัติของประเทศไทยด้วย จึงจำเป็นที่ควรจะมีหน่วยงานตั้งขึ้นมาดูแลพระธรรมทูตในต่างประเทศโดยเฉพาะ นอกจากนี้เมื่อเร็วๆนี้ทางกระทรวงการต่างประเทศยังเห็นชอบให้สมเด็จพระราชาคณะ และกรรมการมหาเถรสมาคม ได้รับ พาสปอร์ตทูต ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องขอวีซ่าในการเดินทางแต่ละครั้ง เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจยังต่างประเทศด้วย

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

พัฒนาศูนย์พุทธวันอาทิตย์ รับอาเซียน


นายปรีชา กันธิยะ
อธิบดีกรมการศาสนา (ศน.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2556 จะเร่งขับเคลื่อนโครงการสร้างความร่วมมือนำมิติด้านศาสนามาพัฒนาสังคม ซึ่งทาง ศน.ได้รับการจัดสรรงบประมาณจำนวน 24,200,000 บาท เพื่อดำเนินการตามแผนงานดังกล่าว 

ทั้งนี้สำหรับแผนงานที่จะเร่งดำเนินการ 2 โครงการใหญ่ คือ 

1. โครงการความร่วมมือระหว่างศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์กับกลุ่มอาเซียน ใช้งบฯ 16,200,000 บาท โดยจะสำรวจศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ของไทยที่มีความพร้อม โดยเฉพาะในเขตติดต่อชายแดนระหว่างประเทศ มาจัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนรู้คุณธรรมจริยธรรมแห่งอาเซียน จำนวน 77 ศูนย์ 

2. กิจกรรมประสานความร่วมมือในอาเซียน ใช้งบฯ 8 ล้านบาท จะเริ่มนำร่อง 5 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย พม่า ลาว กัมพูชา และสิงคโปร์ ผ่านกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยเฉพาะวันสำคัญทางศาสนา อาทิ วันวิสาขบูชา วันเข้าพรรษา ออกพรรษา หรือในช่วงเทศกาลทอดกฐินทอดผ้าป่าต่างๆ จะมีการส่งเสริมให้ประชาชนแต่ละประเทศเดินทางมาทำบุญระหว่างประเทศ รวมจัดประชุมผู้นำศาสนา และจัดค่ายเยาวชนศาสนิกสัมพันธ์แห่งอาเซียน ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุม


*************************

ข่าวโดย : ไทยรัฐออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ

วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข เทพเจ้าแห่งวัดไผ่ล้อม

หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข ชื่อนี้ประจักษ์ในฐานะพระเกจิอาจารย์อันดับแนวหน้าของประเทศไทย และนับเป็นสุดยอดพระผู้ยิ่งใหญ่ด้วยเมตตาบารมี เป็นเนื้อนาบุญอันไพศาล ที่ผ่านมาชีวิตของท่านอุทิศแล้วในพระพุทธศาสนา ด้วยแรงกายแรงใจช่วยเหลือผู้ยากไร้มิเคยขาด ที่สำคัญท่านมีความเมตตาธรรมโดยถ้วนหน้าแก่ทุกชีวิตที่เข้ามาพึ่งใบบุญ โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ สายตาของท่านมองทุกคนด้วยความเท่าเทียม

พระมงคลสิทธิการ หรือ หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข สุดยอดพระอมตะเถราจารย์ เทพเจ้าแห่งวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ท่านเป็นพระที่มีเคร่งครัดพระธรรมวินัยด้วยความสมถะ ท่านจะนิ่ง พูดน้อย จนได้รับสมญา “ของจริงต้องนิ่งใบ้” 

ท่านเกิดในสกุล “ปิ่นทอง” เมื่อวันจันทร์ที่ 11 พ.ย. 2455 ปีชวด (ร.ศ.131) เป็นบุตรคนที่ 6 ในจำนวนพี่น้อง 10 คน บิดาชื่อ นายจู ปิ่นทอง มารดาชื่อ นางสำเนียง ปิ่นทอง ณ บ้านเลขที่ 75 หมู่ 3 ต.ดอนยายหอม นครปฐม


ท่านจบการศึกษาประถม 4 ที่โรงเรียนวัดห้วยจระเข้ จ.นครปฐม ปี พ.ศ. 2471 จากนั้นจึงได้ฝึกอ่านเขียนอักษรขอมและแพทย์แผนโบราณจาก “ปู่แย้ม ปิ่นทอง” ผู้มีศักดิ์เป็นโยมปู่แท้ๆ และได้รับการถ่ายทอดวิชา คาถาอาคม จากสุดยอดพระเกจิอาจารย์ ต่างๆ ในยุคนั้น เช่น

- หลวงปู่จ้อย วัดบางช้างเหนือ 
- หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง 
- หลวงปู่กลั่น วัดพระประโทนเจดีย์ 
- หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม

ในวัยหนุ่ม หลวงพ่อพูล ท่านชอบวิชาการต่อสู้ของลูกผู้ชาย จึงฝึกและศึกษาวิชามวยไทย ที่สำคัญท่านเคยเป็นนักมวยฝีมือดีคนหนึ่ง จนมีอายุครบวัยเกณฑ์ทหาร ท่านได้ทำหน้าที่พลเมืองดีของชาติ รับราชการทหาร สังกัดทหารม้า เป็นทหารรักษาพระองค์ กองบัญชาการเดิมอยู่ที่สะพานมัฆวาน กรุงเทพฯ ซึ่งตรงกับช่วงรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) โดย หลวงพ่อพูล ได้รับยศเป็นนายสิบตรี มีเงินเดือนขณะนั้นเดือนละ 2 บาท

เรื่องการเป็นทหารรับใช้ชาตินี้นับเป็นความภาคภูมิใจของท่านเป็นอย่างมาก หลังจากปลดจากประจำการแล้ว ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2480 ตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น 12 ค่ำ ปีฉลู ณ พัทธสีมาวัดพระงาม อ.เมือง จ.นครปฐม โดยมี พระครูอุตตการบดี (หลวงปู่สุข ปทฺวณฺโณ) เจ้าคณะ อ.เมือง เจ้าอาวาสวัดห้วยจระเข้ เป็นพระอุปัชฌาย์ 

หลังบวชแล้ว ได้พำนักอยู่ที่วัดพระงาม ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย สอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี เมื่อ พ.ศ.2482 ในระหว่างนี้เอง หลวงพ่อพูลท่านได้ให้ความสนใจศึกษาด้านการเจริญสมาธิจิต ฝึกฝนวิปัสสนากรรมฐาน และได้มีโอกาสฝากตัวเป็นศิษย์ของพระเกจิอาจารย์ ผู้มากด้วยเมตตาบารมีนามว่า หลวงพ่อพร้อม วัดพระงาม 

ในกระบวนพระเกจิอาจารย์ ที่เป็นบูรพาจารย์ของหลวงพ่อพูล ท่านให้เคารพนับถือ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เป็นอย่างมาก ท่านได้รับคำแนะนำสั่งสอนเรื่องการเจริญสมาธิภาวนา การเขียนอักขระเลขยันต์ ปลุกเสกวัตถุมงคล วิชาอาคมต่างๆ หลวงพ่อเงินเมตตาถ่ายทอดอย่างไม่ปิดบัง ซึ่งเมื่อสำเร็จวิชา ท่านจึงออกธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร เพื่อฝึกฝนสมาธิจิต 

ต่อมาในปี พ.ศ. 2490 วัดไผ่ล้อมขาดเจ้าอาวาสปกครองวัด เนื่องจากว่าเจ้าอาวาสแต่ละรูป อยู่ปกครองวัดได้ไม่นานก็ต้องลาสิกขาไป หลวงพ่อพูล จึงย้ายมาจำพรรษาประจำอยู่ที่วัดไผ่ล้อม พร้อมกับได้ทำการก่อสร้าง และพัฒนาวัดเรื่อยมา

วันที่ 28 ธันวาคม 2547 หลวงพ่อพูล มีอาการป่วย คณะศิษย์ใกล้ชิดได้นำท่านเข้าทำการรักษา ณ โรงพยาบาลนครปฐม ต่อมาเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2548 จึงได้ย้ายหลวงพ่อพูลไปรักษาตัว ที่โรงพยาบาลสมิติเวส กรุงเทพ กว่า 4 เดือนที่หลวงพ่อพูลได้รักษาตัว และ ปาฏิหาริย์ก็มีจริง เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม อาการหลวงพ่อดีขึ้น จนแพทย์แปลกใจ จึงอนุญาตให้กลับวัดได้ ต่อมาวันที่ 17 พฤษภาคม หลวงได้เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษก พระขุนแผน-กุมารทอง ซึ่งถือว่าเป็นวัตถุมงคลรุ่นสุดท้ายที่ท่านได้อธิษฐานจิตปลุกเสก



เช้าวันอาทิตย์ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 สดใสไร้เมฆฝน กระทั่งเวลา 14.55 น. เสียงเครื่องวัดชีพจรสงบลง หลวงพ่อพูลได้ละสังขารไปอย่างสงบ ทิ้งเพียงเสียงธรรมสั่งสอน และคุณงามความดี ที่สั่งสมมาตลอดมา

************************

เรียบเรียงโดย : ทีมข่าวมงคลพระ


เจ้าคุณธงชัย ชี้เด็กไทยอ่อนอังกฤษ

เจ้าคุณธงชัย ชี้เด็กไทยอ่อนอังกฤษ เพราะเรียนอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม!!

"เราเรียนภาษาอังกฤษกันมาก็มาก แต่ทำไมถึงยังไปไม่ถึงไหน อาตมาไม่อยากพูดว่า กระบวนการเรียนการสอนของเราไม่เข้าเป้าหมาย หรือไม่มีประสิทธิภาพ แต่วันนี้คงต้องยอมรับในฐานะคนมองเห็นภาพปัญหาที่เกิดขึ้นว่า ภาษาอังกฤษเด็กไทยไม่ค่อยแข็งแรง เพราะเรียนอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม โอกาสการเรียนนอกห้องเรียนเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน เราไม่มี" พระธรรมภาวนาวิกรม หรือ เจ้าคุณธงชัย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม พระนักคิด นักปฏิบัติ ผู้อยู่เบื้องหลังโครงการ "เพชรยอดมงกุฎ" กล่าว

เจ้าคุณธงชัย มองว่า ครูควรจัดสภาพแวดล้อมเพื่อส่งเสริมให้เด็กได้คิด และปฏิบัติให้มากขึ้น โดยเฉพาะในรายวิชาภาษาอังกฤษที่เด็กจำเป็นต้องมีการฝึกใช้อยู่บ่อยๆ ทั้งในห้องและนอกห้องเรียน ทั้งนี้ เพื่อให้เด็กได้คุ้นชินกับภาษา และไม่กลัวการใช้ภาษาอังกฤษเมื่ออยู่ในสถานการณ์คับขัน เด็กไทยเวลานี้ออกจากห้องเรียนก็ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ กลับบ้านก็ไม่ได้ใช้ นี่คือปัจจัยสำคัญว่า ทำไมประเทศไทยยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเท่าที่ควร ซึ่งจะโทษโรงเรียน โทษกระทรวงศึกษาธิการอย่างเดียวไม่ได้ เพราะมีหลายๆ อย่างที่ไม่เอื้อให้เด็กไทยมีการฟัง พูด อ่าน เขียนภาษาอังกฤษ ดังนั้น กุญแจที่จะไขประตูแห่งความเป็นผู้นำของเด็กในโลกอนาคต สิ่งสำคัญคือ ภาษาอังกฤษ และไอที รวมไปถึงทักษะการคิด หากไม่ให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวนี้ เด็กไทยอาจด้อยนานาประเทศ และยิ่งประตูอาเซียนใกล้จะเปิดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่รอช้าไม่ได้

"อาตมาก็ไม่ใช่รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ไม่ใช่เลขาธิการสภาการศึกษา แต่ในฐานะที่เป็นประธานมูลนิธิร่มฉัตร ก็มีหน้าที่สนับสนุนการพัฒนาการเรียนการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานทุกวิชา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ เราให้ถือว่าเป็นภาษาสำคัญของโลก เพราะการพัฒนาคนไปสู่เวทีโลกต้องพัฒนาภาษาอังกฤษ ตลอดจนพัฒนาคนให้พร้อมสู่อาเซียนก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษ" เจ้าคุณธงชัย กล่าว

เจ้าคุณธงชัย อธิบายว่า ถึงวันนี้ต้องย้อนกลับมาดูว่า การพัฒนาการเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐาน ภาษาอังกฤษของเด็กอยู่ในอันดับที่เท่าไรของโลก ซึ่งถ้าจำไม่พลาด เมื่อ 7 ปีที่แล้วแพ้ประเทศลาว ทำให้โครงการเพชรยอดมงกุฎภาษาอังกฤษต้องเกิดขึ้นมาเพื่อทำอย่างไรให้เด็กมีศักยภาพทางด้านภาษาอังกฤษ และให้ครู พ่อแม่เห็นความสำคัญในเรื่องนี้ เพราะถ้าอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร เด็กอาจด้อย และไม่ทันเขา อย่างลาววันนี้ที่มาเป็นแม่บ้านอยู่ในเมืองไทย บางคนจบ ป.6 แต่กลับขอเจ้านายอ่านหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ เพราะประเทศเขามีการพูดการใช้ภาษาอังกฤษในครอบครัว และในชีวิตประจำวัน ต้องกลับมาทบทวน และร่วมด้วยช่วยกันพัฒนาภาษาอังกฤษของเด็กไทยให้ดีขึ้น

ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม ยังเผยต่ออีกว่า ปัจจุบันมีทุนเรียนต่อทั้งในและต่างประเทศแก่เด็กด้อยโอกาสจำนวนมาก โดยเฉพาะทุนเรียนต่อต่างประเทศ แต่ไม่ได้มีการเตรียมตัวเด็กให้พร้อมกับทุนนั้นๆ ยกตัวอย่างทุนเรียนภาษาอังกฤษ ภาษาจีน เมื่อส่งเด็กไปแล้วกลับพบว่า เด็กไปไม่ไหว เพราะประเทศอื่นๆ แข่งขันกันสูงมาก พอไปเรียนกับจีน เขาเรียนกันอย่างเต็มที่ เด็กไทยก็เรียนเหมือนเดิม ดังนั้นต้องกลับมาทบทวนกันใหม่ว่า โครงการดี ให้โอกาสเด็ก แต่เด็กพร้อม และมีศักยภาพเพียงพอสำหรับโอกาสนั้นๆ หรือไม่

"ทุกคนบอกว่า เรื่องการศึกษาเป็นหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ อันที่จริงแล้วไม่ใช่ ภาพของคำว่า การศึกษา อาตมามองว่า น่าจะเชื่อมโยงบูรณาการทุกกระทรวงเข้ามาด้วย เช่น อยากให้เด็กสนใจ และเรียนวิทยาศาสตร์ ก็ต้องดึงกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เข้ามาช่วยกัน หรืออยากให้เด็กมีความรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ ก็ต้องดึงกระทรวงพาณิชย์ อุตสาหกรรม เข้ามา คำว่า ภาระงานการศึกษาของประเทศ แค่กระทรวงศึกษาธิการไม่พอ หลายๆ กระทรวงควรเข้ามาช่วยกัน หรือบางทีคนที่เข้ามาคุมกระทรวงศึกษาธิการอาจจะต้องมีตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีกำกับด้วย เพื่อจะได้ไปพูดคุย เชื่อมโยงกับกระทรวงอื่นๆ เชื่อมโยงไปถึงว่า เด็กเราจะไปในระดับประเทศ หรือระดับโลกได้หรือไม่" เจ้าคุณธงชัย กล่าว

ปัจจุบันมีสื่อและโปรแกรมต่างๆ เพื่อเข้ามาช่วยครู และนักเรียน เช่น โปรแกรมอิงลิช ดิสคัฟเวอรี่ หรือสื่อการสอนในรายวิชาต่างๆ อยากให้เน้นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของเด็กมากกว่า เพราะการศึกษาก็จำเป็นต้องพึ่งสื่อการเรียนการสอน ซึ่งต้องไปดูว่านักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาดีๆ เกิดจากโรงเรียนมีสื่อดีๆ หรือไม่

*************************

ข่าวโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ


พระชันษา 100 ปี ผู้นำคณะสงฆ์สูงสุดแห่งโลก!!


พุทธศักราช 2556 คือปีที่หน้าประวัติศาสตร์ของวงการคณะสงฆ์ไทย ต้องบันทึกถึงความสำคัญอีกครั้ง เพราะเป็นปีที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประมุขแห่งคณะสงฆ์ไทย จะทรงมีพระชันษาครบ 100 ปี หรือ 1 ศตวรรษ

นับเป็น สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่เจริญพระชันษายิ่งยืนนานกว่าสมเด็จพระสังฆราชในอดีตที่ผ่านมา

ทั้งยังทรงดำรงตำแหน่งต่างๆ ทางคณะสงฆ์ยาวนานกว่าพระสงฆ์รูปอื่นๆ คือ ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก 23 ปี ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต 24 ปี ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร 51 ปี

ย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ.2469 จากสามเณรที่บวชแก้บน ณ วัดเทวสังฆาราม จ.กาญจนบุรี และได้เข้ามาศึกษาพระปริยัติธรรม และบวชเป็นพระสงฆ์ที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 15 ก.พ.2476 พระองค์ทรงปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัดและครบถ้วน จนกระทั่งได้รับพระ ราชทานสถาปนาขึ้นดำรงตำแหน่ง สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ลำดับที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2532


สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงสร้างประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ไทยไว้อย่างมากมาย

ในด้านการพระศาสนา ช่วงที่พระองค์ยังไม่ได้มีพระอาการประชวร จะทรงประทานพระโอวาทสั่งสอนพระภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่อยู่ในฐานะพระอุปัชฌาย์อยู่เสมอ ทั้งยังทรงสอนกรรมฐานแก่พุทธศาสนิกชนเป็นประจำทุกวันพระ และหลังวันพระเป็นประจำ นอกจากนี้ ยังทรงเสด็จไปปฏิบัติศาสนกิจในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ และเยี่ยมพระสงฆ์ในพื้นที่ต่างๆอยู่เสมอ เพื่อจะได้ทรงทราบปัญหาของคณะสงฆ์ ทั้งยังทรงสร้างโรงพยาบาลถวายเป็นพระอนุสรณ์เฉลิมพระเกียรติแด่สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทั้ง 18 พระองค์ขึ้นในภูมิภาคต่างๆ

ส่วนด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระองค์ทรงเป็นผู้ริเริ่มกิจการในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังต่างประเทศ ทรงส่งพระธรรมทูตไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินโดนีเซีย ทั้งยังเสด็จไปให้การบรรพชาอุปสมบทกุลบุตรในอินโดนีเซีย ทำให้เกิดคณะสงฆ์เถรวาทและวัดทางพระพุทธศาสนาเถรวาทขึ้นในประเทศอินโดนีเซียเป็นครั้งแรก

ทรงส่งพระธรรมทูตไปยังออสเตรเลียทำให้เกิดวัดเถรวาทคือ วัดพุทธรังษี ขึ้นในทวีปนี้เป็นแห่งแรก ด้านงานพระนิพนธ์ ทรงพระนิพนธ์หนังสือต่างๆ จำนวนมาก และทรงแปลถึง 5 ภาษา คือ ไทย จีน อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส

ขณะที่ด้านการศึกษา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นผู้ดำริให้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย โดยทรงเป็นอาจารย์รุ่นแรกของมหาวิทยาลัย

ด้วยคุณูปการที่ทรงสร้างไว้ให้กับพระพุทธศาสนาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้ ที่ประชุมสุดยอดพุทธศาสนิกแห่งโลก ที่มีสุดยอดผู้นำชาวพุทธโลกจาก 32 ประเทศเข้าร่วมประชุม ณ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2555 ได้มีมติทูลถวายตำแหน่งพระเกียรติยศอันสูงสุด “ผู้นำคณะสงฆ์สูงสุดแห่งโลกพระพุทธศาสนา” แด่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก แห่งราชอาณาจักรไทย

พระอนิลมาน ธมฺมสากิโย ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช บอกว่า ใบประกาศถวายตำแหน่งดังกล่าว ระบุว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ผู้ทรงได้รับการเคารพอย่างสูงสุด และได้รับการไว้วางใจอย่างสุดซึ้งจากพุทธศาสนิกชนชาวไทยที่เต็มเปี่ยมด้วยศรัทธาว่า ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก แห่งดินแดนแห่งรอยยิ้ม ทรงเป็นผู้สอนพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทุกคนปฏิบัติธรรมตั้งอยู่ในพระปัญญาธรรมและพระกรุณาธรรม ทั้งทรงเป็นผู้นำราชอาณาจักรไทยไปสู่สันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง นับว่าเป็นแบบอย่างของสากลโลก และทรงมีพระบารมีปกแผ่ไพศาลไปทั่วราชอาณาจักรไทยและประเทศพุทธศาสนาทั่วโลก พระศรัทธาที่เปี่ยมพระทัยในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพระองค์ได้รับการแซ่ซ้องและเทิดทูนจากพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ด้วยความซาบซึ้งในพระกรณียกิจทั้งปวงในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในนามของพุทธศาสนิกชน 370 ล้านคนทั่วโลก พร้อมสุดยอดผู้นำชาวพุทธโลกจาก 32 ประเทศ ขอทูลเกล้าถวายพระเกียรติยศอันสูงสุดนี้ ด้วยความปีติโสมนัสยิ่ง

“สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นที่ยอมรับของคณะสงฆ์ทุกนิกาย พร้อมทั้ง เป็นที่เทิดทูนของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก แม้แต่ องค์ดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของทิเบต ยังนับถือ และเรียกพระองค์ว่า เป็นพี่ชายคนโตของฉัน” พระอนิลมาน กล่าวถึงสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่ทรงได้รับความนับถือจากคณะสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนจากทั่วโลกอย่างแท้จริง


และเนื่องในวโรกาสที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จะทรงมีพระชันษาครบ 100 ปี ในวันที่ 3 ต.ค.2556 นี้ รัฐบาล มหาเถรสมาคม (มส.) สำนังานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร และมูลนิธิหอจดหมายเหตุ พุทธทาส อินทปัญโญ

จึงจัดกิจกรรมเนื่องในวโรกาสสำคัญดังกล่าวโดยให้เริ่มจัดกิจกรรมตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค.2555 จนถึงวันที่ 3 ต.ค.2556 โดยแบ่งการจัดกิจกรรมออกเป็นส่วนต่างๆดังนี้

วัดบวรนิเวศวิหาร จัดแสดงนิทรรศการ จัดพระราชพิธี และบำเพ็ญพระกุศล รวมทั้งจัดทำเอกสารเผยแพร่พระประวัติ พระศาสนกิจ โดยจะเน้นการจัดกิจกรรม 2 ช่วง คือ วันที่ 21 เม.ย. 2556 ซึ่งเป็นวันที่ตรงกับวันสถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร ขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และช่วงวันที่ 3 ต.ค. 2556 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติของพระองค์

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดแสดงนิทรรศการในสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุกจังหวัด รวมทั้งจัดทำบุญตักบาตรในวันที่ 3 ต.ค. 2556 และจัดปฏิบัติธรรมในวัดที่เป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม และวัดไทยในต่างประเทศ

มูลนิธิหอจดหมายเหตุ พุทธทาส อินทปัญโญ จัดกิจกรรมวันที่ 21 เม.ย. 2556 โดยจะมีการจัดประมวลงานทางธรรม เพื่อคัดสรรผลงานทางธรรมของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ออกมาเผยแพร่สู่สาธารณะ ภายในงานเทศกาล “ญาณสังวร”

ขณะที่ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช จะจัดตั้ง ห้องสมุดพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย โดยจะเป็นห้องสมุดแห่งแรกที่จะรวบรวมมรดกทางธรรมของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ไว้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นลายพระหัตถ์ หนังสือพระนิพนธ์ หนังสือวิชาการส่วนพระองค์ พระสุรเสียงที่พระองค์ทรงเทศน์ในงานต่างๆ รวมไปถึงพระรูปที่หาชมได้ยาก โดยเริ่มดำเนินการรวบรวมข้อมูลต่างๆตั้งแต่เดือนต.ค.2555 คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน ก.ย.2556 นอกจากนี้ ยังมีโครงการจัดสร้างโบสถ์ดิน เพื่อเป็นต้นแบบแห่งความพอเพียงให้กับวัดต่างๆ โดยจะสร้างโบสถ์ดินเป็นต้นแบบ 9 แห่ง ใน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ

*************************

ข่าวโดย : ไทนรัฐออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ

"ดาไลลามะ" ประทับใจพุทธศาสนาไทยมั่นคง

พระดร.อนิลมาน ธมฺมสากิโย ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช กล่าวว่า จากการร่วมสนทนาธรรม “พระพุทธศาสนาหลังพุทธชยันตี 2600 ปี” กับ องค์ดาไลลามะ ผู้นำทางด้านจิตวิญญาณสูงสุดของทิเบต ที่ รร.ไฮแอท รีเจนซี กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย โดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระสัมโมทนียพจน์ต่อการสนทนาธรรมในครั้งนี้ด้วย 

ทั้งนี้ องค์ดาไลลามะได้แสดงธรรมเทศนาโดยมีข้อความสำคัญว่า มีความประทับใจกับความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศของไทย อย่างไรก็ตามทุกสิ่งในโลกเป็นอนิจจัง ทำนองเดียวกันกับพระพุทธศาสนา แต่ทั้งนี้พระพุทธศาสนาผ่านกาลเวลาอันยาวนานมาถึง 2,600 ปี ด้วยการสนับสนุนของพุทธศาสนิกชน มีพระสงฆ์เป็นหลัก และในศตวรรษที่ 21 นี้ จะเห็นได้ว่า พระพุทธศาสนาได้รับความสนใจในประเทศต่างๆ ที่ไม่ใช่เมืองพระพุทธศาสนา ทั้งจากคนทั่วไป และนักวิทยาศาสตร์ 

อย่างไรก็ตาม เราควรต้องตระหนักถึงมนุษยชาติทั้งหมด หากเราสร้างโลกที่มีความสงบมากกว่านี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับมหาชน และการบรรลุซึ่งเป้าหมายนี้ จำเป็นต้องถือจริยธรรมที่เป็นโลกวิสัย มากกว่าที่จะเป็นจริยธรรมทางศาสนา

พระดร.อนิลมานกล่าวต่อไปว่า เพื่อให้การเสวนาครั้งนี้มีผลต่อเนื่อง ทางหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ จึงตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นมา เพื่อสืบสานปณิธานในการแลกเปลี่ยนทัศนะและศึกษาซึ่งกันและกันระหว่างฝ่ายไทยและทิเบตต่อไป 


*************************

ข่าวโดย : ไทยรัฐออนไลน์
เรียบเรียงดดย : เต้ มงคลพระ

วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556


พระบูชารุ่นแรกหลวงพ่อพูล 

วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม หน้าตัก 3 นิ้ว


http://www.mongkhonphra.com
สอบถามโทร 084-8457555 , 087-7567555