วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วัดสาขลา ตำนาน "สาวกล้า" แห่งสยามประเทศ


หมู่บ้านสาขลา
 สันนิษฐานว่าเคยเป็นหมู่บ้านใหญ่มาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ตั้งอยู่ที่ ตำบลนาเกลือ อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ มีลักษณะพื้นที่เป็นเกาะเล็ก ๆ อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ส่วนใหญ่ชาวบ้านมีอาชีพทำการประมง และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ทะเล เช่น กุ้งเหยียด กุ้งแห้ง ปูสต๊าฟ ปูรามเกียรติ์ ฯลฯ

ในสมัยก่อนบ้านสาขลามีชื่อว่า สาวกล้า อันเนื่องมาจากครั้งสงคราม 9 ทัพ ในสมัยรัตนโกสินทร์ ผู้ชายในหมู่บ้านได้เข้าไปเป็นทหารกันหมด เหลือแต่ผู้หญิงกับคนแก่ที่อยู่ในหมู่บ้านเพียงลำพัง ในเวลานั้นข้าศึกผู้ประสงค์ร้ายได้บุกมาหวังจะตีบ้านสาขลา แต่ด้วยความสามัคคีและความชำนาญในพื้นที่ ผู้หญิงในหมู่บ้านจึงได้รวมตัวกันเพื่อต่อต้านข้าศึก และสามารถชนะศึกครั้งนั้นได้ หมู่บ้านแห่งนี้จึงถูกขนานนามว่า "สาวกล้า" และเพี้ยนมาเป็น "สาขลา" จวบจนปัจจุบัน

วัดสาขลา คือ ศูนย์รวมแห่งความศรัทธาของคนถิ่นนี้ โดยตั้งอยู่ที่ 19 หมู่ 3 ต.นาเกลือ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินประมาณ 27 ไร่ 2 งาน วัดสาขลาสร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2325 สันนิฐานกันว่าชาวบ้านช่วยกันสร้างเมื่อคราวรบชนะพม่า โดยวัดสาขลาได้รับพระราชทานนามว่า วิสุงคามสีมา เมื่อพ.ศ. 2375 มีพระประธานถายในวิหาร นามว่า หลวงพ่อโต ซึ่งอยู่คู่กับวัดสาขลามาแต่อดีต หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปศิลปะสมัยอู่ทอง ปางมารวิชัย เป็นที่เคารพบูชาของชาวบ้านสาขลาและประชาชนทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง


หากถามถึงตำนานความศักคิ์สิทธิ์ของ หลวงพ่อโต ผู้เถ้าผู้แก่ต่างเล่าว่า ในคืนวันที่ 6 มกราคม 2526 เวลาประมาณ 3 ทุ่ม ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างช่วยกันดับไฟแต่ก็เป็นที่ยากลำบาก ไฟลุกโหมกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ชาวบ้านที่ออกไปหาปูหาปลา ไม่ไกลจากหมู่่บ้านนัก ได้เห็นองค์หลวงพ่อโตยืนเอาจีวรโบกไฟที่กำลังไหม้ จนค่อยๆ ดับลง พร้อมกับได้ยินเสียงสวดมนต์อย่างต่อเนื่องจนรุ่งเช้า

พอชาวบ้านได้ทราบข่าวว่ามีคนเห็นองค์หลวงพ่อโตช่วยดับไฟ ทุกคนจึงแห่ไปที่วัด ชาวบ้านทุกคนถึงกับน้ำตาไหล เมื่อเห็นองค์หลวงพ่อโตดำเป็นเขม่าไปทั้งองค์ผ้าที่ห่มองค์หลวงพ่อกรอบเหมือนโดนไฟไหม้ ใบหน้าของท่านมี่ร่องรอยเหมือนน้ำตาไหล ชาวบ้านถึงกับร่ำไห้กันยกใหญ่ และพร้อมใจกันจัดงานบุญถวาย หลวงพ่อโต เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น ทุกวันที่ 6 มกราคม ของทุกปี


นอกจาก หลวงพ่อโตศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งวัดสาขลาแล้ว พระปรางค์เอียง แห่งวัดสาขลา ก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน โดยเป็นพระปรางค์เก่าแก่ ตั้งอยู่ริมคลองมาตั้งแต่เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว พระปรางค์แห่งนี้มีลักษณะเอียงอย่างเด่นชัด แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะล้มลงแต่อย่างใด  จวบจนทุกวันนี้ก็ยังคงสภาพเดิม เป็นที่อัศจรรย์ใจยิ่งแก่ผู้ที่พบเห็น.

ปัจจุบัน วัดสาขลาได้รับการบูรณะพัฒนาเป็นอย่างมาก โดยภายในวัดมีทางเข้าลอดโบสถ์เป็นซุ้ม พระราหู ดูน่าเกรงขาม ซึ่งพระราหูนั้นแสดงถึงการปัดเป่าและป้องกันสิ่งชั่วร้าย เมื่อได้ลอดซุ้มประตูมาแล้วจะพบกับ ลูกนิมิต ลูกเอก ทำจากศิลาแลงอายุหลายร้อยปี มีลักษณะเป็นทรงเหลี่ยม ซึ่งมีลักษณะต่างจากวัดอื่นๆ เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีช่างฝีมือในการทำจึงได้นำศิลาแลงมาใช้เป็นลูกนิมิต ลูกนิมิตที่วัดสาขลาแห่งนี้มีด้วยกันทั้งหมด 9 ลูก ซึ่งลูกเอกนั้นถูกวางไว้ใต้โบสถ์เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะ

เมื่อเดินไปตามทางเดินจะพบกับ พระบัวเข็ม ซึ่งประดิษฐานอยู่ท่ามกลางเหล่าดอกบัวมากมาย ซึ่งสาธุชนสามารถมาลอยบัวขอพรพระบัวเข็มได้อีกด้วย ส่วนด้านข้างของพระบัวเข็มนั้นมีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังให้ได้สักการะมากมายไม่ว่าจะเป็น หลวงพ่อโต หลวงปู่มั่น หลวงพ่อสด หลวงปู่ศุข หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อพูล เป็นต้น


ถัดมาจะพบกับ “พระสองพี่น้อง” มีลักษณะครึ่งองค์หันหลังชนกัน เป็นปางห้ามญาติ และปางห้ามสมุทร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่สมัยอยุธยาให้ได้ทำบุญตามศรัทธากันด้วย นอกจากนี้ก่อนที่จะออกประตูไปจะพบกับ ฐานหลวงพ่อโตศักดิ์สิทธิ์ ให้ได้ขอพรกันอีกด้วย จากนั้นให้ลอดท้องช้างออกจากใต้โบสถ์เพื่อความเป็นมงคล


*************************

เรื่องโดย : ทีมข่าวมงคลพระ
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น