เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๔ หรือ ค.ศ. ๑๙๙๑ ได้เกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ทำให้พี่น้องชาวพุทธและชาวไทยตกตะลึง เศร้าโศกเสียใจอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนซึ่งเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้น เมื่อพระธรรมทูต ๖ รูป สามเณร ๑ รูป เด็กวัด ๑ คนแม่ชี ๑ คน
วัดพรหมคุณาราม รัฐอริโซน่า สหรัฐอเมริกา
ถูกฆาตกรรมด้วยการสังหารโหดพระ จำเลยคดีฆาตกรรมพระสงฆ์และฆราวาส ไทย ๙ ศพ คือ
นายโจนาธาน ดูดี้ หรือ
นายวีระพล คำแก้ว ซึ่งถูกศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก ๒๘๑ ปี
กำลังจะกลายเป็นผู้บริสุทธิ์และจะได้รับอิสรภาพ หลังจากถูกจองจำมานานตั้งแต่ปี ๒๕๓๔ ทั้งนี้ทนายความของโจนาธานได้อุทธรณ์ ๑๗ ปีต่อมา ศาลอุทธรณ์ที่ ๙ กลับคำตัดสินของศาลชั้นต้นว่าเขาไม่มีความผิด เพราะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวไปสอบสวนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คดีนี้ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์คดีหนึ่งของรัฐอริโซน่าและของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเป็นคดีที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก มีความลึกลับซ้อน และเป็นคดีที่ศาลอุทธรณ์พิจารณากลับคำพิพากษาเพียงร้อยละ ๒ ของคดีในชั้นอุทธรณ์ทั่วสหรัฐ สำหรับชาวไทยคดีนี้เกี่ยวข้องกับคนไทยและประเทศไทยโดยตรง จึงเป็นคดีที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อ ๒๒ ปีก่อน
ในการต่อสู้เพื่อพลิกคดีนี้
นพ.ดร.มโน เลาหวณิช ที่ปรึกษาพิเศษในเลขาธิการใหญ่องค์การสมัชชาศาสนาเพื่อสันติแห่งโลก (ดับเบิลยูซีพีอาร์) หรือ อดีต พระ ดร.มโน เมตตานันโท โดยได้ทำคดีนี้มาตั้งแต่ขณะยังบวชเป็น ประธานสงฆ์ วัดพระธรรมกาย แคลิฟอร์เนีย และกำลังทำปริญญาโททางด้านจริยศาสตร์การแพทย์ ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และได้ติดตามคดีสะเทือนขวัญนี้มาอย่างต่อเนื่อง
เช้าวันจันทร์ที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๖ เวลา ๑๐.๓๐ น.ที่ ศาลสูงแห่งมาริโคปา เคาน์ตี นครฟีนิกซ์ มลรัฐอาริโซนา สหรัฐอเมริกาได้ดำเนินการแถลงปิดคดี โจนาธาน ดูดี้ ในคดีที่รัฐอาริโซนาฟ้องนายโจนาธาน ดูดี้ว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมในการสังหารโหดพระไทย วัดพรหมคุณาราม โดยตลอดการพิจารณาคดีศาลไม่อนุญาตให้มีการถายภาพหรือบันทึกเสียงใด ๆ เลยนอกจากได้รับอนุญาตจากศาลเท่านั้น ทั้งนี้ นพ.ดร.มโน ได้เดินทางไปฟังการแถลงปิดคดีนี้ด้วย
นพ.ดร.มโน เล่าให้ฟังว่า ผู้พิพากษา โจเซฟ เกรมเมอร์เปิดการปิดคดีโดยการอ่านแถลงคำแนะนำให้แก่องค์คณะลูกขุนโดยผู้พิพากษาอ่านคำเตือน แนวทางปฏิบัติและข้อควรคำนึงต่าง ๆ ในฐานะลูกขุน การแถลงปิดสำนวนครั้งนี้เป็นการต่อสู้กันในเชิงของวาทะและเหตุผล ระหว่างอัยการผู้เป็นตัวแทนของรัฐ กับทนายฝ่ายจำเลย ซึ่งผู้พิพากษาได้กล่าวในตอนสุดท้ายของการแถลงว่าทั้งอัยการและฝ่ายจำเลยได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีมาก เดิมพันของฝ่ายรัฐนั้นค่อนข้างสูงเพราะหากนายโจนาธาน ดูดี้หลุดจากคดีนี้ ก็สามารถที่จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่อศาลได้เป็นจำนวนมากได้ และเนื่องจากตำแหน่งอัยการของรัฐนั้นเป็นตำแหน่งที่ประชาชนเลือกตั้งขึ้นมา การพ่ายแพ้ก็หมายถึงอนาคตทางการเมืองของอัยการผู้นั้น
สิ่งที่แตกต่างอย่างมากจากการพิจารณาคดีเมื่อ ๒๒ ปี ที่แล้วคือ ตลอดการพิจารณาคดีครั้งนี้ อัยการไม่เคยกล่าวหาว่านายโจนาธาน ดูดี้ เป็นผู้สังหารพระไทยเหมือนครั้งที่แล้ว แต่ประเด็นที่เขานำเสนอคือการปัญหาที่ว่านายโจนาธาน อยู่ในที่เกิดเหตุร่วมกับ
นายอเล็กซ์ การ์เซีย หรือไม่ โดยเหตุผลที่ยกอ้างต่าง ๆ ไม่มีคำให้การของนายโจนาธานอยู่ด้วยเลยแม้แต่น้อย หลักฐานที่อัยการยกอ้างคือคำให้การของนายอเล็กซ์ การ์เซียที่ยืนยันว่านายโจนาธาน อยู่ด้วยตลอด โดยที่ตัวเขาเองเป็นผู้ลั่นไก ตัดสายโทรศัพท์ และเข้ารื้อค้นทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ในวัด ในขณะที่พระเณรและเหยื่อทุกคนที่ถูกฆ่าไม่มีการต่อสู้แม้แต่น้อยเพราะเป็นคณะบุคคลทีฝักใฝ่ในสันติอย่างมาก
ในช่วงบ่ายทนายฝ่ายจำเลย คือ
นางมาเรีย เชฟเฟอร์ กล่าวแถลงปิดคดี ทนายมาเรียเรียกการ์เซียว่า
“มารร้าย” (The Devil) ซึ่งเจ้าพนักงานของรัฐได้ทำสัญญาต่อรองกับเขาไว้ก่อนว่าจะพ้นจากโทษานุโทษทั้งปวง จากทุกคดีที่เขาเคยกระทำมาหากให้การปรักปรำโจนาธาน ดูดี้ ในคดีสยองขวัญที่ขณะนั้นเป็นที่โจทก์ขานกันทั้งเมือง เพราะเป็นคดีที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของรัฐอาริโซน่า และเป็นความผิดพลาดของเจ้าพนักงานสอบสวนที่ทำสัญญานี้ เธอได้ฉายเอกสารที่เจ้าพนักงานสอบสวนทำกับนายการ์เซีย ระหว่างการสอบสวน จนให้รัฐต้องปกป้องความผิดพลาดของตนเอง
ทนายมาเรียยกตัวอย่างมากมายให้องค์คณะลูกขุนฟังถึง การใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยของการ์เซียซึ่งไม่มีงานทำในขณะที่โจนาธานมีงานทำ และเชื่อมโยงนายการ์เซียเข้ากับการสังหารโหดพระไทย ตามที่มีหลักฐานคือรอยเท้าจากรองเท้าบูทของเขา และถุงมือที่ปรากฏอยู่ท้ายรถของนายโรแลนโด คาราตาเชีย แม้ว่าทางเจ้าพนักงานสืบสวนและนิติเวชศาสตร์ได้ทำการเก็บหลักฐาน พร้อมรูปถ่ายนับหมื่นภาพจากวัดพรหมคุณาราม มาเรียนได้ยืนยันว่าไม่มีหลักฐานทางนิติเวช ใดๆ ที่ยืนยันได้ว่าโจนาธาน ดูดี้อยู่ในที่เกิดเหตุคืนนั้น สิ่งเดียวที่ยังคงยึดโยงโจนาธาน ดูดี้เข้ากับคดีนี้คือคำให้การของนายอเล็กซ์ การ์เซียเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ถ้อยแถลงของทนายมาเรียยาวประมาณหนึ่งชั่วโมง และต่อด้วยการแถลงโต้ของอัยการซึ่งปฏิเสธเหตุผลของมาเรีย และยืนยันว่า โจนาธาน ดูดี้อยู่ในที่เกิดเหตุอย่างแน่นอน เพราะทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกันมาก และได้นำภาพถ่ายเครื่องแบบชุดนักเรียนรักษาดินแดนที่ทั้งคู่ วางไว้ติดกันบนหิ้งในห้องพักของนายอเล็กซ์ การ์เซียเป็นหลักฐาน และไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่นาย อเล็กซ์ การ์เซียจะต้องให้การปรักปรำนายโจนาธาน ดูดี้อีกเพราะเขาไม่ได้ประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น
ทนายมาเรียสรุปในที่สุดว่า นายอเล็กซ์ การ์เซียเป็นคนเลวที่ฉลาด และหลักแหลมพอที่จะหลอกใช้คนให้เชื่อเป็นต้นว่าได้หลอกใช้นายเดวิดน้องชายของโจนาธาน ให้เขียนแผนที่ของวัดให้เขา และยังได้หลอกเจ้าพนักงานสอบสวนให้ทำสัญญาไม่เอาโทษกับเขาเพื่อแลกกับการปรักปรำนายโจนาธาน ดูดี้ และตลอดการดำเนินคดีตลอดมาเจ้าพนักงานไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์แม้แต่เพียงชิ้นเดียวที่ยืนยันได้ว่า โจนาธาน ดูดี้อยู่ในที่เกิดเหตุหรือมีส่วนร่วมกับการสังหารพระไทยเมื่อยี่สิบสองปีที่ผ่านมา
นพ.ดร.มโน ยังเล่าด้วยว่า เมื่อออกจากหัองพิจารณาคดี ได้เข้าไปคุยกับมาเรีย ซึ่งเธอบอกว่าโจนาธานไม่ค่อยพอใจการแถลงปิดคดีของเธอเท่าใดนัก แต่เธอคิดว่าสิ่งที่เธอกล่าวไปนั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว และเชื่อมั่นว่าลูกขุนจะไม่เชื่อเหตุผลของอัยการ และเมื่อถามต่อไปว่า "หากไม่ชนะคดีตามที่คาดไว้จะทำอย่างไร?" เธอตอบว่า จะสู้ต่อให้หนักยิ่งกว่านี้ และเธอเองได้ติดต่อประสานงานกับทีมงานของอลัน เดอร์โชวิชซ์อย่างใกล้ชิดมาดตลอด
นอกจากนี้แล้วเป็นที่น่าสังเกตว่าหลังจากการแถลงปิดคดีแล้ว สื่อต่าง ๆ ในรัฐอาริโซน่าซึ่งเคยประโคมข่าวทางลบต่อโจนาธาน ดูดี้ว่าเป็นฆาตกรโหด มาตลอดเริ่มให้ข่าวในทางที่เป็นบวกว่า ไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมใด ๆ สามารถยืนยันได้ว่าโจนาธาน อยู่ในที่เกิดเหตุด้วยเลย
อย่างไรก็ตามการตัดสินชี้ถูกผิดนั้นต้องเป็นความเห็นเอกฉันท์ของลูกขุนทั้งองค์คณะ หลังจากที่พิจารณาไปได้สองสัปดาห์ ลูกขุนสองคนก็ขอถอนตัว ผู้พิพากษาจำต้องเรียกตัวลูกขุนที่ถูกจับฉลากออกทั้งสองคนเข้าทำหน้าที่แทน และยังอบรมลูกขุนทั้งองค์คณะว่าให้แต่ละคนใช้วิจารณญาณของตนเองเท่านั้น และห้ามมิให้ลูกขุนคนใดพยายามจูงใจผู้อื่นให้เชื่อแบบเดียวกันกับตน องค์คณะลูกขุนทั้งหมดมีเวลาถึงวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ หากไม่อาจมีมติเป็นเอกฉันท์ได้ ก็ถือว่าเป็นไม่เป็นผล ศาลจำเป็นต้องเริ่มกระบวนการคัดเลือกองค์คณะลูกขุนเพื่อพิจารณาคดีครั้งนี้ใหม่เป็นอีก
พระเมตตา"ฆาตกร!" นพ.ดร.มโน บอกว่า ทำคดีนี้เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๓ ครั้งยังเป็นประธานสงฆ์ วัดพุทธเมย์วู้ด เมือเมย์วู้ด แคลิฟอร์เนียร์ ครั้งนั้นถูกต้องข้อครหาว่า ไปยุ่งในเรื่องที่ไม่ใช่กิจของสงฆ์ บางคนกล่าวหาไปช่วยฆาตรกร แต่ด้วยเหตุที่ติดตามคดีนี้มาตั้งต่นเห็นความผิดปกติในหลายๆ มิติ มีคำถามที่ตอบไม่ได้หลายข้อ ในการตัดสินใจของอัยการ เมื่อคดีนี้เกิดขึ้นใหม่ๆ และมีข่าวลือแพร่สะพัดไปว่า เป็นมูลเหตุมาจากการค้ายาเสพติด ในที่ประชุสมัชชาสงฆ์ไทยที่นิวยอร์ค ครั้งที่ ๑๗ ได้มีการพูดในที่ประชุมว่า
"เป็นคดีจับแพะ" ในครั้งนั้น
พระธรรมราชานุวัตร หรือ
หลวงเตี่ย ประธานสงฆ์วัดไทยแอล เอ ได้พูดในที่ประชุมสงฆ์ว่า
"ให้ไปคุยกับโจนาทานดูดี้ก่อน ถ้ามันไม่ได้ทำ ให้ช่วยมันออกมาจากคุก" ในการต่อสู้คดีครั้งนี้นอกจากต่อสู้กับกระบวนการยุติธรรมของสหรัฐฯ แล้ว ยังต้องต่อสู้คนไทยด้วยกันเอง เพราะคนไทยที่แอลเอ และอริสโซ่น่า กลัวว่าจะมีภัยกับตัวเอง คนไทยคิดว่าธุระไม่ ไม่ใช่เรื่อง ไม่ใช่ญาติ เข้าไปช่วยเป็นการเปลืองตัวโดยใช่เหตุ ทำแล้วอาจจะมีภัยเข้าตัว เพราะไปยุ่งกับระบบตุลาการของประเทศมหาอำนาจ ที่สำคัญ คือ ความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม กรรเก่า ทำให้ไม่มีใครยากช่วย ยอมรับการกระทำที่เกิดง่ายกว่าไปแสวงหาสิงที่ถูกต้องการปิดคดีเท่ากับว่ายุติปัญหาทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้น การเข้าไปช่วยถึงกับมีหนังสือพิมพ์ไทยในแอลเอ ตั้งชื่อใหม่ว่า
พระเมตาตา (ฆาตกร) ขณะเดียวกันก็มีคนไทยกลุ่มใหญ่ที่ไม่เชื่อว่า โจนาทาน ดูดี้ เป็นฆาตกรและจำเลย
"วันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ เป็นวันสุดท้ายขององค์คณะลูกขุน ๑๒ คน ที่จะมีมติออกมาว่าผิดหรือไม่ โดยส่วนตัวมีความเชื่อว่า คณะลูกขุนจะมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า
"จำเลยไม่ผิด" นี่คือชัยชนะที่เกิดขึ้น ภายหลังจากการต่อสู้อันยาวนานกว่า ๒๐ ปี การต่อสู้ที่ถูกหลายคนสบประมาทว่า ไม่มีทางชนะ ถูกทนายหลอกบ้าง เสียเงินเปล่าๆ บ้าง โดยเฉพาะกับตนเองนั้น การต่อสู้คดีนี้ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของผมเองไปอย่างไม่มีวันกลับ จากการเป็นผู้บริหารอาวุโสของมูลนิธิธรรมกาย ประธานสงฆ์วัดพระธรรมกาย แคลิฟอร์เนีย พระเถระผู้ที่เคยมีอำนาจมากที่สุดรูปหนึ่งในวัด ต้องใช้ชีวิตเงียบๆ ในวัดเล็กๆ แห่งหนึ่ง ถูกขึ้นบัญชีดำของมหาเถรสมาคม และถูกประณามว่า ไม่มีความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ จากสหธรรมิก และญาติโยมทั้งหลาย การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมครั้งนี้ ต้องแลกมาด้วยทุกอย่างในชีวิตของตน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่คนบริสุทธิ์ แก่คนไทยในสหรัฐ และแก่พระพุทธศาสนา" นพ.ดร.มโน กล่าวอย่างภาคภูมิใจ
*************************
เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์