วันที่ 25 ต.ค.56 เมื่อเวลา 17.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ถวายน้ำสรงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ร่วมในพิธีด้วย จากนั้นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงผ้าไตรถวายพระศพ ถวายความเคารพพระราชอาสน์
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ วางพวงมาลาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพวงมาลาส่วนพระองค์ ที่หน้าพระโกศพระศพ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระรัตนตรัย ทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ 20 รูปสดัปกรณ์ ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ทรงจุดธูปเทียนเครื่องบูชา กระบะมุก ที่หน้าเตียงสวดพระอภิธรรม พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม 1 จบ ทรงกราบพระรูปที่หน้าเครื่องนมัสการ หน้าพระโกศพระศพ ถวายความเคารพพระราชอาสน์ เสด็จพระราชดำเนินกลับ
โดยบรรยากาศที่ วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร ตลอดช่วงกลางคืนจนถึงเช้า คณะสงฆ์วัดบวรฯ เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง และเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่วมกันตกแต่งประดับประดาบริเวณรอบวัด เพื่อไว้อาลัย ต่อการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสังฆราช โดยนำผ้าขาวดำผูกกำแพงแก้วรอบวัดบวรฯ ขณะเดียวกันในกุฏิคณะต่างๆ ของวัดบวรฯ มีการตกแต่งทำความสะอาดและจัดเครื่องไว้ทุกข์ เพื่อแสดงถึงความกตัญญูแด่องค์พระสังฆราชา ส่วนร้านค้าบริเวณรอบวัด พุทธศานิกชนพร้อมใจกันสวมชุดดำ นำภาพพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระสังฆราช มาประดับ บางร้านงดการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงนี้ ทั้งทำความสะอาดบ้านเรือนเตรียมรับงานพระราชพิธีรดน้ำหลวงอาบพระศพขององค์พระประมุขสงฆ์ที่จะมีขึ้นในช่วงบ่าย
ขณะเดียวกัน ที่บริเวณ ตำหนักเพ็ชร ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ประชุมกรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าหน้าที่กองพิธีสำนักพระราชวัง และคณะสงฆ์วัดบวรฯ ร่วมกันปรับสภาพภูมิทัศน์ ให้สวยงามสมพระเกียรติ เพื่อจัดให้เป็นสถานที่สำหรับการตั้งพระศพของสมเด็จพระสังฆราช โดยบริเวณห้องโถงใหญ่ของตำหนักเพ็ชร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระโกศประดับเกียรติยศแด่สมเด็จพระสังฆราช เป็น พระโกศกุดั่นใหญ่ พร้อมฉัตร 3 ชั้น และเครื่องประกอบเกียรติยศ ทั้งนี้ พระโกศกุดั่นใหญ่ ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายทรงแปดเหลี่ยม ฝายอดทรงมณฑป ปิดทองล่อง ชาดประดับ กระจกสี สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 เดิมจะใช้ในงานพระศพสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ และสมเด็จพระสังฆราชเจ้า เจ้าหน้าที่กองพิธีสำนักพระราชวังตั้งไว้กลางห้อง นอกจากนี้ ยังมีการนำพระพุทธรูประจำพระชนมวาร ตลอดจนทั้งพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระสังฆราช พัดยศประจำตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช มาตั้งไว้หน้าพระโกศ
ขณะที่ ภายในห้องโถงใหญ่ตำหนักเพ็ชร ด้านหลังของพระโกศกุดั่นใหญ่ เจ้าหน้าที่กองพิธีสำนักพระราชวังนำฉากกั้น มาติดตั้งไว้เพื่อกันเป็นพื้นที่สำหรับการสรงน้ำพระศพ โดยนำพระแท่นสำหรับสรงน้ำพระศพมาตั้งไว้กลางห้อง หน้าพระบรมรูปหล่อของรัชกาลที่ 4 และมีภาพพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระสังฆราช เจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ประทับอยู่กลางห้อง นอกจากนี้บริเวณโดยรอบตำหนักเพ็ชรมีการนำเต๊นท์ขนาดใหญ่มาตั้งกว่า 10 เต๊นท์มาติดตั้ง เพื่อรองรับเหล่าศิษยานุศิษย์ ตลอดจนแขกวีไอพีที่จะเดินทางมามาร่วมในงานพระศพที่จะจัดให้มีขึ้น
นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า พระราชพิธีในครั้งนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร โปรดเกล้าฯให้ กองงานส่วนพระองค์มาทำหน้าที่ดูแลและให้ข้าราชการที่เข้าร่วมในพิธีแต่งเครื่องแบบเต็มยศ ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นการถวายพระเกียรติยศสูงสุด แด่สมเด็จพระสังฆราช
ทั้งนี้ เส้นทางการเคลื่อนพระศพ ได้ผ่านถนนราชดำริ เลี้ยวขวา ถนน พระราม 4 ขึ้นทางด่วนหัวลำโพง ลงแยกอุรุพงษ์ ก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเพชรบุรี ผ่านถนนหลานหลวง แยกผ่านฟ้า เลี้ยวขวาแยกป้อมมหากาฬ จนถึงแยกวันชาติ ทุกเส้นทางที่ขบวนรถอัญเชิญพระศพผ่าน ได้มีเหล่าพุทธศาสนิกชนร่วมยืนไว้อาลัย เพื่อส่งเสด็จองค์พระประมุขสงฆ์ผู้มีพระเมตตา และเมื่อขบวนรถเคลื่อนพระศพมาถึงยังวัดบวรฯ มีเหล่าคณะนักเรียนนายร้อยตำรวจ นักเรียนโรงเรียนนายเรือ ยืนตั้งแถวเกียรติยศ รอรับตลอดเส้นทางถนนพระสุเมรุ ตั้งแต่บริเวณแยกวันชาติ ถึงประตูทางเข้าวัดบวรฯ ฝั่งหน้าตำหนักเพ็ชร นอกจากนี้ยังมีเหล่าคณะสงฆ์ แม่ชีวัดบวร รวมทั้งคณะศิษยานุศิษย์ พุทธศาสนิกชน เดินทางมาร่วมเข้าแถวรอรับพระศพ กันอย่างเนืองแน่น ท่ามกลางบรรยากาศอันเศร้าสลด ทั้งนี้ เมื่อรถส่งพระศพของรพ.จุฬาฯ ได้ถึงประตูทางเข้าวัดบวรฯ เหล่าพุทธศาสนนิกชนที่มารอเฝ้ารับพระศพ ต่างพนมมือ พร้อมเปล่งเสียงสาธุ หลายคนถึงกับน้ำตานองหน้าด้วยความเศร้าเสียใจ ต่อการจากไปขององค์พระประมุขสงฆ์ ทั้งนี้ รถส่งพระศพ ได้เคลื่อนถอยหลังเข้ามาภายในวัดบวร โดยมีคณะนายทหารรักษาพระองค์ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พร้อมคณะสงฆ์วัดบวร และเหล่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ร่วมกันทำหน้าที่อัญเชิญพระศพลงจากรถ แล้วจึงเคลื่อนสู่ห้องโถงตำหนักเพ็ชร เพื่อประกอบพิธีตามประเพณีต่อไป
แหล่งข่าวจากวัดบวรฯ เปิดเผยว่า พระผู้ใหญ่ได้มีการสั่งการให้สำนักงานของวัด และทุกส่วนที่มีการให้เช่าบูชาพระในพื้นที่บริเวณภายในวัด โดยเฉพาะรอบๆ พื้นที่ตำหนักเพ็ชร งดให้เช่าบูชาพระทุกชนิด เนื่องจากเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวาย และการกระทำที่ไม่เหมาะสมในช่วงพิธีบำเพ็ญพระกุศลศพของสมเด็จพระสังฆราช
ด้านสำนักพระราชวังออกประกาศไว้ทุกข์ในพระราชสำนักความว่า เลขาธิการพระราชวัง รับพระบรมราชโองการให้ประกาศว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฒนมหาเถร ) สิ้นพระชนม์เนื่องจากการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต ณ โรงพยาบาลจุฬาฯ สภากาชาดไทย เมื่อวันที่ 24 ต.ค.เวลา 19.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ด้วยความเศร้าสลดในพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไว้ทุกข์ในพระราชสำนักจาก 15 วัน เป็น 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ 24 ต.ค. 2556 ถึงวันที่ 23 พ.ย. 2556 และโปรดเกล้าฯให้ประดิษฐานพระศพไว้ที่ตำหนักเพ็ชร วัดบวรฯ ถวายพระเกียรติยศตามราชประเพณีทุกประการ
พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (พระอนิลมาน ธมฺมสากิโย) ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช กล่าวถึงเหตุการณ์ก่อนที่สมเด็จพระสังฆราชจะสิ้นพระชนม์ว่า อาตมาได้นั่งเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชจนพระองค์สิ้นพระชนม์ อาการประชวรของพระองค์ทรุดลงตั้งแต่ช่วงบ่าย อัตราการเต้นของพระหทัยค่อยๆ ลดลง บางครั้งก็หยุดเต้นและกลับมาเริ่มเต้นดังเดิม แต่จากนั้นพระอาการก็ค่อยๆ ทรุดลง ถ้าจำกันได้เวลา 16.30 น. เมื่อวานอยู่ดีๆ ก็เกิดฝนตกหนัก ในช่วงที่พระหทัยพระองค์ค่อยๆ เต้นช้าลงเรื่อยๆ และความดันพระโหลิตค่อยๆ ลดลง พอถึงเวลาประมาณ 19.00 น. พระอาการทรุดหนักและ เวลา 19.19 น. อาตมาได้โพสต์เฟซบุ๊กสำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เชิญชวนให้ทุกคนร่วมกันสวดมนต์และตั้งจิตภาวนาให้พระองค์ และเมื่อถึงเวลา 19.29 น. หันไปมองนาฬิกา พระหทัยของสมเด็จพระสังฆราชก็หยุดเต้น ในช่วงเวลาที่พระอาการของพระองค์อยู่ในขั้นวิกฤติ พระองค์สงบนิ่งเหมือนกับพระองค์ท่านกำลังทรงนั่งพระกรรมฐาน จนถึงวินาทีสุดท้ายที่พระองค์ท่านสิ้นพระชนม์
"พระองค์ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ของอาตมา จึงมีโอกาสได้สนองงานตั้งแต่ยังเป็นเณร เปรียบได้เหมือนเป็นบิดา ที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก ยอมรับว่ารู้สึกโศกเศร้ากับความสูญเสียครั้งนี้เป็นปรกติ แต่ต้องไม่ลืมข้อเท็จจริง ตามหลักพระพุทธศาสนา คือทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง จึงอยากให้พุทธศาสนิกชน มาร่วมถวายพระเกียรติ พระสังฆราชา บูชา โดยให้ยึดพระนามของพระองค์ว่าญาณสังวร มาปฏิบัติในตัวเอง โดยใช้หลักธรรมทางพุทธศาสนา รวมทั้งนำมรดกธรรมที่พระองค์ได้ปฏิบัติให้เห็นเป็นแบบอย่าง มาสู่การปฏิบัติ ก็จะถือว่าเป็นการบูชาพระองค์ และจะมีพระองค์อยู่ในดวงใจตลอดไป สำหรับพระราชพิธีบำเพ็ญพระกุศลพระศพ สมเด็จพระสังฆราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ ทั้งสิ้น 7 วัน ในเบื้องต้นพระโกศที่ได้รับพระราชทาน คือ พระโกศกุดั่นใหญ่"พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ กล่าว
พระครูสังฆสิทธิกร หัวหน้าฝ่ายศาสนวิเทศ สำนักเลขานุการสำเด็จพระสังฆราช กล่าวว่า ในช่วงที่สมเด็จพระสังฆราช ยังทรงพระประชวร พระองค์จะเจริญสมาธิอยู่ตลอดเวลา กระทั่งพระองค์สิ้นพระชนม์ ทางคณะแพทย์ที่ถวายการรักษา จะไม่มีการถวายยาที่มีผลต่อสติของพระองค์ เพราะต้องการให้พระองค์จากไปในขณะที่ยังทรงสามารถเจริญสมาธิได้อยู่ จึงถือได้ว่า พระองค์สิ้นพระชนม์อย่างสงบในระหว่างการเจริญสมาธิ
เมื่อเวลา 18.30 น.ที่พระอุโบสถวัดบวรฯ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานในการมอบคำสั่งเจ้าคณะภาค1-2-3 และ 12-13 (ธรรมยุต) ตั้ง สมเด็จพระวันรัต เป็น รักษาการเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร โดยอาศัยอำนาจตามความในข้อ 4 แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 19 ว่า ด้วยการแต่งตั้งรักษาการแทนเจ้าอาวาส ออกตามความใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 แก้ไขเพิ่มเติม 2535 โดยมีพระเถรานุเถระ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และคณะสงฆ์วัดบวรนิเวศวิหาร เข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ด้วย
*************************
เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น