วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2557

28 ธันวา 57 ร่วมสักการะสังขาร หลวงพ่อพูล ณ วัดไผ่ล้อม นครปฐม


พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ กิตติจิตโต หรือ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม เปิดเผยว่า ขอเชิญญาติคณะศิษยานุศิษย์ร่วมกราบสักการะสังขาร หลวงพ่อพูล พร้อมเปลี่ยนผ้าครอง และลงกระหม่อม ในพิธีเปลี่ยนผ้าครอง พระมงคลสิทธิการ หรือ หลวงพ่อพูล อัตตรักโข อมตะเถราจารย์แห่งวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ที่สร้างคุณูปการไว้มากมายในบวรพุทธศาสนาเป็นที่ประจักษ์ จวบจนเมื่อท่านละสังขาร สรีระของท่านไม่เน่าเปื่อย คงสภาพเดิมทุกประการ ทำให้ทุกวันนี้ บนศาลาการเปรียญที่ประดิษฐาน มีประชาชนจำนวนมากเดินทางมากราบสังขารทุกวัน

ในวันอาทิตย์ที่ 28 ธ.ค.2557 ตั้งแต่เวลา 18.09 น. พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ ประธานมูลนิธิหลวงพ่อพูล จัดพิธีถวายสักการะสรีระหลวงพ่อพูล สวดพระพุทธมนต์ ประกอบพิธีสรงน้ำเช็ดตัว เปลี่ยนผ้าครองสังขารหลวงพ่อพูล ที่ศาลาการเปรียญวัดไผ่ล้อม

สำหรับพิธีลงกระหม่อม โดยในระหว่างเวลาดังกล่าว หลวงพี่น้ำฝน เปิดโอกาสให้ญาติโยมพุทธศาสนิกชน เข้ากราบสักการะสังขารหลวงพ่อพูลอย่างใกล้ชิด สามารถ ก้มกราบน้อมศีรษะจรดแตะไปที่ปลายเท้าเพื่อความเป็นสิริมงคล สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม โทร.08-7698-4777, 08-7151-7799


*************************

เรื่องโดย : ข่าวสดออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ







วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ด่วน!! ไฟไหม้ "พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ" พระพันปี คู่สัมพันธ์ไทย-ลาว


เมื่อเวลา 03.00 น. วันที่ 13 ธ.ค. พ.ต.อ.ปรีชา จะบัง ผกก.สภ.นาตาล จ.อุบลราชธานี ได้รับแจ้งจาก พระครูพุทธมาธิคุณ เจ้าอาวาส วัดพระโต บ้านปากแซง ต.พะลาน อ.นาตาล ว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในอุโบสถที่ประดิษฐาน พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ พระพุทธรูปปางมาวิชัย สร้างด้วยอิฐผสมปูนขาว ที่มีอายุกว่า 1,400 ปี!! จึงพร้อมด้วย พ.ต.ท.ถนอม สิริโรจน์ธนสาร หัวหน้าพนักงานสอบสวนและรถดับเพลิง อบต.พะลานเข้าร่วมระงับเหตุนานประมาณ 30 นาที เพลิงได้สงบลง

โดยจุดที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดคือ บริเวณที่ตั้งโต๊ะหมู่บูชาที่ให้ประชาชนใช้จุดธูปเทียนบูชาพระ โดยไฟได้ลุกลามไหม้พรมที่ปูพื้น รวมทั้งข้าวของที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของพระพุทธรูปเสียหายทั้งหมด และควันไฟที่อบอยู่นาน ยังทำให้ภาพวาดที่ฝาผนังพระอุโบสถเสียหาย รวมทั้งมีเขม่าควันลอยไปติดตามตัวองค์พระจนเกิดเป็นคราบดำ แต่เปลวไฟไม่ได้สร้างความเสียหายให้ตัวองค์พระ และโครงสร้างอื่นๆ ของพระอุโบสถ สำหรับมูลค่าความเสียหาย ต้องรอผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณวัตถุมาตรวจสอบก่อน

พระครูพุทธมาธิคุณ ให้การว่า ช่วงหัวค่ำหลังพุทธศาสนิกชนพากันกลับหมดแล้ว พระเณรที่ดูแลพระอุโบสถที่ใช้ดิษฐาน พระพุทธรูปได้ปิดประตูโบสถ์ตามปกติ กระทั่งตกดึกพระเณรที่จำวัดอยู่ใกล้โบสถ์ได้กลิ่นควันไฟ จึงพากันลุกขึ้นมาดูและเห็นมีเปลวไฟในโบสถ์ จึงโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาช่วยดับไฟ

เจ้าหน้าที่สันนิษฐานสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ว่าน่า จะเกิดจากการดับธูปเทียนที่ประชาชนจุดบูชาไม่สนิท ทำให้เกิดเพลิงไหม้บริเวณพรมที่ใช้ปูให้ประชาชนนั่งกราบไหว้ ทั้งนี้ จะให้เจ้าหน้าที่แผนกพิสูจน์หลักฐานเข้ามาตรวจสอบ เพื่อสรุปสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ที่ชัดเจนอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ วัดพระโต บ้านปากแซง ถือเป็นพระพุทธรูปที่ชาวไทย และชาวลาวให้ความเคารพศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างมาก ตั้งประดิษฐานหันหน้าไปทางแม่น้ำโขง ทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปที่คอยปกปักดูแลประชาชน ที่ใช้พาหนะเดินทางทางเรือในแม่น้ำโขง สร้างขึ้นในราว พ.ศ.1154 โดยพระยาแข้วเจ็ดถัน

( ข่าวที่เกี่ยวข้อง http://mongkhonphra.blogspot.com/2014/04/2.html )



*************************


เรื่องโดย : ข่าวสดออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



 

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ร่วมบุญสร้างมหาเจดีย์ฯ วัดไทรน้อย นนทบุรี

วัดไทรน้อย ตั้งอยู่เลขที่ ๔๐ หมู่ ๑ ถนนบางกรวย-ไทรน้อย ต.ไทรน้อย อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ติดคลองพระพิมล ภายในอุโบสถ มีพระประธานประจำอุโบสถ ปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง ๕๙ นิ้ว สูง ๗๒ นิ้ว ตั้งชื่อวัดตามหมู่บ้านว่าวัดไทรน้อย มีโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม สอนนักธรรรมชั้นตรี-โท-เอก ปัจจุบันมี พระครูไพบูลย์อาทรกิจ เป็นเจ้าอาวาส

พระครูไพบูลย์อาทรกิจ ท่านเป็นพระนักเผยแผ่และพระนักพัฒนา ทั้งนี้ ท่านได้จัดโครงการบรรชาสามเณรภาคฤดูร้อนมากว่า ๒๐ ปีแล้ว รวมทั้งพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์วัดไทรน้อย เปิดสอนครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๕๐ และโครงหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นโครงการใหญ่ที่ท่านกำลังดำเนินการอยู่ คือ สร้างมหาเจดีย์มุนีภิรมย์ เพื่อฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งเพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม

มหาเจดีย์มุนีภิรมย์ มีขนาดกว้าง ๔๐.๕๐ เมตร ยาว ๔๐.๕๐ เมตร ความสูง ๔๙ เมตร มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงนครปฐม ทั้งนี้ ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยมีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ร่วมวางศิลาฤกษ์ งบประมาณการก่อสร้างประมาณ ๔๙ ล้านบาท ขณะนี้ดำเนินการก่อสร้างกำลังขึ้นชั้นสอง แล้วเสร็จประมาณ ๖๐% ทั้งนี้พระครูไพบูลย์อาทรกิจ ตั้งใจจะก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๐

พระครูไพบูลย์อาทรกิจ บอกว่า หลวงพ่อประสิทธิ์ สิทธิกาโร หรือชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อวัดไทรน้อย เป็นเกจิอาจารย์ชื่อดังด้าน ตะกรุดโทน ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันทั่วไป จนสร้างวัด สร้างโรงเรียน วัดไทรน้อยได้สวยงาม ปี ๒๕๐๐ ได้สร้างหอปริยัติธรรม ศาลาการเปรียญ กุฏิ และปี ๒๕๒๒ อุโบสถชำรุด โดยใช้เวลาสร้างประมาณ ๕ ปี เมื่อปี ๒๕๒๗ จึงได้จัดงานฝังลูกนิมิต ได้กราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ มาทรงเป็นประธานในพิธีตัดลูกนิมิตอุโบสถหลังใหม่

อย่างไรก็ตามระหว่างวันที่ ๒๘ พฤศิกายน-๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ทางวัดได้จัดงานประจำปีขึ้น ร่วมทั้งทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อสมบททุนสร้างมหาเจดีย์มุนีภิรมย์ และจัดซื้อที่ดินขยายเขตวัด ในงานนี้ทางวัดได้จัดพิธีพุทธาภิเษก พระพิมพ์มเหศวร และ พระพุทธมุนีภิรมย์ ขนาดหน้าตก ๙ นิ้ว เพื่อมอบเป็นที่ระลึกกับผู้ร่วมทำบุญ


เนื่องจากการก่อสร้างมหาเจดีย์มุนีภิรมย์ ต้องใช้ปัจจัยในการก่อสร้างเป็นจำนวนมาก วัดไทรน้อยจึงขอบอกบุญถึงผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ร่วมบุญร่วมกุศลใหญ่ในการกุศลครั้งนี้ ผู้ที่ร่วมกุศลสร้างมหาเจดีย์มุนีภิรมย์จะได้รับตะกรุดโทนกลางปลุกเสกเดี่ยว โดย หลวงพ่อประสิทธิ์ ตลอดไตรมาส ระหว่างปี ๒๕๔๗-๒๕๕๐ และบรรจุลงกรุในปี ๒๕๕๐ จนถึงปัจจุบัน ได้เปิดให้บูชาเพื่อนำเงินสมบททุนสร้างมหาเจดีย์มุนีภิรมย์ สอบถามรายละเอียดได้ที่วัดไทรน้อย โทร.๐-๒๙๒๓-๙๕๙๔ และ ๐๘-๖๕๐๔-๙๗๕๐


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




ลูกอมเสืออาคม สุดยอดมวลสาร รวมทุกตำนานแห่งเสือ!!


หากกล่าวถึง วัตถุมงคล หรือ เครื่องราง ใน “สายเหนียว” ที่นักสะสมส่วนใหญ่มักจะนิยมเสาะหามาบูชากัน คงหนีไม่พ้น “เสือ” ด้วยเพราะเสือ คือ เจ้าแห่งพงไพร แม้แต่ศาสตราวุธใดๆ ก็ยากที่จะทำร้ายทำลาย อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจบารมี แฝงไว้ถึงความคงกระพันชาตรี เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี แคล้วคลาดและปลอดภัย

โดย “เสือ” ของหลายสำนักมักจะเน้นไปในทางดุ หากแต่ยังมีวัตถุมงคลประเภทเสือของสำนักหนึ่ง ที่ทั้ง “ดุและเมตตา” เรียกได้ว่า ครบถ้วนกระบวนพุทธคุณ!! อีกทั้งยังเกื้อหนุนให้โชคลาภมั่งมีทวีชัย เสือที่ว่านั่นคือ ลูกอมเสืออาคม หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม นครปฐม ที่จัดสร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ.2546

ลูกอมเสืออาคม หลวงพ่อพูล เป็นอีกหนึ่งวัตถุมงคลที่น่าเสาะหามาบูชา เพราะมวลสารในการสร้างถือได้ว่าไม่ธรรมดา อีกทั้งราคาก็ยังไม่แรง แต่หากเป็นเนื้อที่ค่อนข้างหายากค่านิยมอาจเลยผ่านจากหลักร้อยเป็นหลักพันจนสูงถึงหลักหมื่นแล้วแต่ความศรัทธา โดย ลูกอมเสืออาคม รุ่นแรก ของหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม นั้นหลอมมาจากชนวนศักดิ์สิทธิ์ (เสือโลหะ) ของพระเกจิอาจารย์ชื่อดังสำนักต่างๆ กว่า 100 ตัว ไม่ว่าจะเป็น 

- เสือหลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส จ.จันทบุรี 
- เสือหลวงพ่อมุม วัดนาลัก จ.ชุมพร 
- เสือพุทธาคม หลวงปู่ตี๋ วัดหลวงราชาวาส จ.อุทัยธานี 
- เสือ วัดเนรัญชรา จ.เพชรบุรี 
- เสือหลวงพ่อเกตุ วัดเกาะหลัก 
- เสือหลวงพ่อลำไย 
- เสือหลวงพ่อพรหมา 
- เสือโปร่งฟ้า เนื้อนวโลหะ และเนื้อทองผสม 
- เสือหลวงพ่อเณร วัดทุ่งเศรษฐี 
- เสือโลหะ ตำรับหลวงพ่อปาน (คลองด่าน) วัดปานประสิทธิธาราม จ.สมุทรปราการ
- เสือวัดสามจีน 
- เสือเนื้อเงิน นวโลหะ โลหะผสม หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม
- เสือหลวงปู่ธรรมรังสี จ.สุรินทร์ 

และ แผ่นยันต์เสือรูปแบบต่างๆ แผ่นยันต์ 108 นะปถมัง 14 รวมทั้งชนวนวัตถุมงคลเก่าชองวัดไผ่ล้อม พร้อมทั้งยัง บรรจุตะกรุดหัวใจพยัคฆ์ และผงเขี้ยวงาเก่าอันศักดิ์สิทธิ์ เช่น สิงห์งาช้างแกะเก่า หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์ , เขี้ยวเสือหลวงพ่อนก วัดสังกะสี , เขี้ยวเสือ พระเกจิเก่า และ งาช้างกระเด็น (แทงหักคาต้นไม้) ซึ่งนำมาบดเป็นผงผสมไว้อีกด้วย

ถือได้ว่า ลูกอมเสืออาคม หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม แห่งจังหวัดนครปฐมนั้น แทบจะรวบรวมพุทธคุณของตำนานวัตถุมงคล “เสือ” ทั่วไทยไว้ภายในองค์เดียวเลยก็ว่าได้ สำหรับผู้นิยมเสือท่านใด ที่สนใจจะเสาะหามาบูชาติดกาย เวลานี้อาจจะต้องรีบกันหน่อย เพราะหากขืนปล่อยเวลาให้ล่วงผ่าน นานวันนั้นจะยิ่งหายากและค่านิยมจะเพิ่มมากขึ้นแน่นอน



*************************


เรื่องโดย : ทีมข่าวมงคลพระ
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ





วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

รอดตาย!! เพราะบารมี หลวงพ่อพูล


เมื่อเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 3 ส.ค. 2548 พ.ต.ท.พีรพร บุญลอย รอง ผกก.สส.สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งมีเหตุ คนร้ายใช้ปืนชิงทรัพย์ และยิงเจ้าทรัพย์ได้รับบาดเจ็บ ที่กลางซอยแจ้งวัฒนะ 12 ใกล้บุญศิริอพาร์ตเมนต์ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงนำกำลังสายตรวจ และฝ่ายสืบสวน รุดไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุ

พบรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่น x1 สีแดง-ดำ หมายเลขทะเบียน มจธ 408 กรุงเทพมหานคร และรถจักรยานยนต์ฮอนด้า รุ่นเวฟ สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน กนบ 724 กรุงเทพมหานคร ล้มคว่ำอยู่กลางซอยทั้ง 2 คัน นอกจากนี้ ยังพบปืนลูกซองสั้น และปลอกกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 ที่ยิงไปแล้ว 1 ปลอก กระเป๋าใส่ธนบัตร ข้างในมีบัตรประชาชนระบุชื่อนายไพฑูรย์ นามวงษา อายุ 17 ปี อยู่บ้านเลขที่ 323/50 หมู่ 2 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. และบัตรนักเรียนชั้น ม.ต้น โรงเรียนดอนเมืองทหารอากาศบำรุง ของนายไพฑูรย์ จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

ส่วนผู้บาดเจ็บถูกพลเมืองดีนำส่งโรงพยาบาลชลประทาน ทราบชื่อต่อมาว่า นายวชิระ ดวงสุริยะเนตร อายุ 22 ปี อาชีพขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างภายในซอยแจ้งวัฒนะ 14 ถูกกระสุนปืนเข้าที่รักแร้ด้านขวา 1 นัด แต่กระสุนไม่ระคายผิว มีร่องรอยให้เห็นเป็นจ้ำเล็กน้อย แพทย์ล้างบาดแผลแล้วอนุญาตให้กลับบ้านได้ ส่วนคนร้ายทราบว่า มี 2 คน หลังก่อเหตุได้หลบหนีเข้าไปในพงหญ้าข้างทาง เจ้าหน้าที่นำกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้น แต่ไร้วี่แวว พบแต่ เพียงรองเท้าแตะ เสื้อยืด และหมวกของคนร้าย ที่ถูกถอดทิ้งไว้เท่านั้น

จากการสอบปากคำนายวชิระ ผู้เสียหายที่รอดตายหวุดหวิดให้การว่า ก่อนเกิดเหตุขี่รถจักรยานยนต์ หมายเลข ทะเบียน มจธ 408 กรุงเทพมหานคร กลับมาจากไปส่งน้องชายที่ จ.สมุทรปราการ กำลังจะเข้าบ้าน ปรากฏว่ามีคนร้าย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ เข้ามาประกบ ส่งสัญญาณให้หยุดรถ ก่อนทำทีถามหาร้านปะยาง เมื่อตนบอกไม่รู้จัก คนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายได้ชักปืนขู่บังคับ แล้วล้วงเอาเงินในกระเป๋าไป 5,000 บาท ก่อนยิงใส่ที่หน้าอกตน 1 นัด จนล้มคว่ำ พอตั้งสติได้และเห็นว่าไม่ได้เจ็บมาก จึงกัดฟันเข้าต่อสู้ จนมีพลเมืองดีผ่านมา คนร้ายจึงทิ้งรถจักรยานยนต์หลบหนี

นายวชิระยังกล่าวด้วยว่า การที่รอดตายในครั้งนี้ น่าจะมาจากการที่ตนนับถือ หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม เกจิอาจารย์ชื่อดังที่ละสังขารไปไม่นาน เพราะขณะเกิดเหตุได้ใช้มือกำ พระขุนแผนกุมารสมบัติ สิงห์เมตตาบารมี และ หนุมานเชิญธงทรงพลัง ที่คล้องคอไว้ติดตัว และระลึกถึง หลวงพ่อพูล จนทำให้รอดตายในครั้งนี้

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณวันที่ 5 มิ.ย. นายหัด วิไลเลิศ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 4 ต.หนองกระทุ่ม อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ถูกคนร้ายลอบยิงจำนวนหลายนัด ขณะขับรถกระบะกลับบ้านมาพร้อมกับภรรยาและเพื่อน รวม 3 คน เหตุเกิดที่ปากทางเข้าบ้าน โดยเจ้าตัวเชื่อว่า เหตุที่รอดชีวิตมาได้ทั้งคันรถ เป็นเพราะจีวรของ พระมงคลสิทธิการ หรือ หลวงพ่อพูล อัตตรักโข อดีตเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ที่พกติดรถมาตลอด ช่วยดลบันดาลให้แคล้วคลาดปลอดภัย



*************************


เรื่องโดย : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ





วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ สั่งยุติศึก! วัดสระเกศฯ


“สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” ยุติความขัดแย้ง วัดสระเกศฯ สั่ง “พระพรหมสุธี” คืนหน้าที่ดูแลภูเขาทองให้ “พระพรหมสิทธิ” เช่นเดิม ส่วนผู้ช่วยเจ้าอาวาสอีก 2 รูป อยู่ในระหว่างพิจารณา ขณะที่อดีต 7 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรฯ ที่ถูกสั่งพักงานกรณีต้านการแต่งตั้งเจ้าอาวาสเมื่อปี 2553 มีลุ้นได้คืนตำแหน่ง รอผลประชุม มส. 30 ต.ค.นี้

กรณีความขัดแย้งภายใน วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร ระหว่าง พระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) หรือ เจ้าคุณเสนาะ เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค 12 และ พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ เจ้าคณะภาค 10 ซึ่งพระพรหมสุธี มีการสั่งพักงานพระพรหมสิทธิ ในการดูแลภูเขาทอง พร้อมกับผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ อีก 2 รูป โดยอ้างว่ามีการบริหารงานที่ไม่โปร่งใสเกี่ยวกับเงินบริจาคต่างๆ จากผู้มาทำบุญที่ภูเขาทอง ถึงกับให้คนไปแจ้งความยัง สน.สำราญราษฎร์ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่รับแจ้งความ เพราะเห็นว่ามีหลักฐานไม่เพียงพอ แต่อย่างไรก็ตามทำให้บรรยากาศภายในวัดสระเกศฯ เกิดการแบ่งแยกเป็น 2 ฝ่าย ระหว่างฝ่ายพระพรหมสุธี และฝ่ายพระ พรหมสิทธิ อีกทั้งสถานการณ์ยังลามไปถึงกลุ่มผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพระพรหมสุธี ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนไปยัง มหาเถรสมาคม (มส.) ให้พิจารณาในเรื่องดังกล่าว ทั้งยังลุกลามไปถึงการขุดคุ้ยประเด็นความขัดแย้งภายในวัดโสธรวราราม ในยุคที่พระพรหมสุธี เป็นรักษาการเจ้าอาวาสด้วยนั้น

ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊ก “ตีแผ่ความจริง คนไร้คุณธรรม ไร้ความเป็นผู้นำ” ซึ่งติดตามพฤติกรรมความเคลื่อนไหวในเรื่อง ดังกล่าวมาตลอด ได้เปิดเผยข้อมูลระบุว่า สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้มีบัญชาให้พระพรหมสุธี คืนตำแหน่งหน้าที่ดูแลภูเขาทอง แก่พระพรหมสิทธิ ตามบัญชาของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ที่เคยสั่งเสียไว้ให้พระพรหมสุธีเป็นเจ้าอาวาส และให้พระพรหมสิทธิดูแลภูเขาทอง นอกจากนี้ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ยังมีบัญชาให้คืนตำแหน่ง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรฯ ให้กับอดีต 7 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรฯ ที่ถูกพักงาน ไปนานกว่า 4 ปี ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่พระพรหมสุธี ยังดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสวัดโสธรฯ โดยที่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการเปิดเผยผลการสอบสวนข้อเท็จจริงของ 7 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรฯ ว่ามีความผิดหรือไม่

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวโทรศัพท์สอบถามข้อเท็จจริงทั้ง 2 เรื่องจากพระพรหมสุธี และได้รับคำตอบว่า การคืนตำแหน่งการดูแลภูเขาทองให้แก่พระพรหมสิทธิเป็นเรื่องจริง โดยตนได้คืนตำแหน่งการดูแลภูเขาทองแล้ว 1 ตำแหน่ง ตามบัญชาของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ส่วนทีมงานที่เหลือกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา ส่วนการคืนตำแหน่ง 7 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรฯ นั้น คงต้องรอความชัดเจนจากผลการประชุมมส.ในวันที่ 30 ต.ค.นี้ เนื่องจากเป็นตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง การจะพิจารณาในเรื่องใดก็ตาม รวมทั้งการคืนตำแหน่งจะต้องเป็นมติของ มส.

สำหรับรายชื่อผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรฯที่ถูกสั่งพักงานมานานกว่า 4 ปี โดยที่ยังไม่มีการเปิด เผยผลการสอบสวนข้อเท็จจริงนั้น ประกอบด้วย 

1.พระปริยัติกิจวิธาน (อมรภิรักษ์) 
2.พระครูโสภณสรกิจ (วิรัตน์) 
3.พระครูภาวนากิจพิลาส (บุญยิ่ง) 
4.พระครูปริยัติปัญญาธร (ปรีดี) 
5.พระครูศรีปริยัติวิมล (เอื้อ) 
6.พระมหาปรีชา เตชวณฺโณ 
7.พระครูสุตภาวนาพิธาน (สันติภัทร) 

โดยสาเหตุที่ถูกสั่งพักงาน เนื่องจากออกมาต่อต้านการแต่งตั้ง พระเทพสิทธิญาณรังษี เป็นเจ้าอาวาสวัดโสธรฯ เมื่อปี 2553 ซึ่งขณะนั้นมีสมณศักดิ์ที่พระราชมงคลรังษี เพราะเห็นว่าพระเทพสิทธิญาณรังษี ไม่ใช่พระวัดโสธรฯ และการแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดพระอารามหลวง ควรแต่งตั้งพระสงฆ์ภายในวัดจึงจะมีความเหมาะสม ทั้งนี้ การออกมาเรียกร้องดังกล่าวเป็นที่มาของการถูกตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงของผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรฯทั้ง 7 รูป และถูกสั่งพักงานตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย.2553 เป็นต้นมา และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยผลการสอบสวนข้อเท็จจริงว่าผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรฯทั้ง 7 รูป มีความผิดหรือไม่



*************************


เรื่องโดย : ไทยรัฐออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

25 ตุลา 57 ร่วมพิธีขอขมากรรม ณ ร.ร.ท่าม่วงราษฎร์บำรุง กาญจนบุรี


พระท่ากระดาน ได้มีการขุดพบจากกรุขึ้นครั้งแรกที่เป็นทางการก็ราวปี พ.ศ.๒๔๖๐ ที่กรุวัดท่ากระดานกลาง ต.ท่ากระดาน อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี และมีการขุดพบกันอีกหลายๆ กรุในเวลาต่อมาภายใน จ.กาญจนบุรี ทั้งที่ขุดพบเป็นทางการและที่ไม่เป็นทางการ เช่น พบที่กรุวัดท่ากระดารเหนือ กรุวัดท่ากระดานใต้ กรุท่าเสา และกรุลั่นทม นอกจากจะพบพระพิมพ์ท่ากระดานในเขต อ.ศรีสวัสดิ์ แล้วยังพบในเขต อ.เมืองกาญจน์ อีกหลายกรุ เช่น ที่กรุวัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ) กรุเขาชนไก่ และที่กรุวัดหนองบัว เป็นต้น ฯลฯ

นายนิพล เฮงเส็ง หรือ นุ เพชรรัตน์ นายกสมาคมศิษย์เก่าท่าม่วงราษฎร์บำรุง บอกว่า การสร้างพระท่ากระดาน ไม่ว่าจะเป็นพิมพ์ไหน ยังเชื่อกันว่าตะกั่วที่นำมาสร้างพระนั้น เป็นตะกั่วที่ได้ทำการหลอมกันมานานเป็นพันปีแล้ว ในสมัยอู่ทองได้นำเอาตะกั่วเก่าเหล่านี้มาหลอมเทเป็นพระพิมพ์ท่ากระดานอีกที จึงมีการเรียกตะกั่วเก่าที่นำมาสร้างพระท่ากระดานนี้ว่า "ตะกั่วพันปี" ซึ่งก็มีการเรียกกันมานมนาน ครั้งโบร่ำโบราณ ตั้งแต่รุ่นปู่ย่า ตายาย กันแล้ว ปัจจุบัน พระท่ากระดาน ไม่ว่าจะเป็นพระพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่ หรือ พิมพ์ไหนๆ ก็ตาม ถือว่าเป็นพระที่หาชมของแท้ได้ยากยิ่งทุกพิมพ์ ของเก๊ทำเลียนแบบกันมากมายหลายฝีมือ มีทั้งเก๊เก่า เก๊ใหม่

ภายหลังต่อมามีด้วยกันหลายวัด ได้จัดสร้างพระพิมพ์ท่ากระดานขึ้นมาใหม่ โดยบางวัดก็ใช้ตะกั่วเก่า บางวัดก็ใช้ตะกั่วใหม่ หรือสร้างเป็นประเภทเนื้อผงก็มี แต่พระท่ากระดานที่ได้รับความนิยมก่อนเขา ก็น่าจะเป็นพระท่ากระดานของ หลวงปู่เหรียญ ที่สร้างจาก วัดหนองบัว ซึ่งมีทั้งเนื้อผง และเนื้อตะกั่วใหม่ และ วัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง อ. ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ซึ่งมี พระครูโสภณประชานารถ หรือ หลวงพ่อนารถ นาคเสโน เป็นอดีตเจ้าอาวาส ก็เป็นอีกวัดหนึ่งที่สร้างพระพิมพ์ท่ากระดานเช่นกัน



หลวงพ่อนารถ ท่านเป็นชาวเมืองกาญจนบุรี โดยกำเนิด เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๔๔ ต.หุน้ำส้ม อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี เมื่ออายุได้ ๒๙ ปี ท่านได้มาอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง อ.ท่าม่วง ตรงกับวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๗๓ ซึ่งมีพระวิสุทธิรังษี (เปลี่ยน วัดใต้) วัดไชยชุมพลชนะสงคราม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูยติวัตรวิบูล (หลวงพ่อพรต) วัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง เป็นพระกรรมวาจา และพระปลัดจู วัดไชยชุมพลชนะสงคราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์

สมัยหลวงพ่อนารถยังดำรงชีวิต ท่านเป็นพระที่เก่งกล้าวิชาอาคมด้วยกันหลายแขนง ท่านเป็นพระที่เก่งมากด้านวิปัสสนากรรมฐาน ด้านวิชาคงกระพัน และวิชาแก้คุณไสย หลวงพ่อนารถท่านได้มรณภาพ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๐ สิริอายุได้ ๘๖ ปี ๗ เดือน ๑๙ วัน โดยอาการสงบ

เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๙ ศิษย์ของหลวงพ่อนารถท่านหนึ่ง ได้ให้คำแนะนำหลวงพ่อนารถให้ไปขุดค้นหาของมีค่าศักดิ์สิทธิ์ต่า ๆ ในเขต อ.ศรีสวัสดิ์ เพราะว่าแถวนี้อีกไม่นานน้ำจะท่วมจากการสร้างเขื่อน ต่อมาหลวงพ่อพร้อมคณะลูกศิษย์จึงตกลงเดินทางค้นหากัน ขณะเฝ้าขุดค้นหาอยู่หลายวัน ไม่ปรากฏพบว่าพบสมบัติ หรือข้าวของศักดิ์ที่มีค่าต่างๆ เลย และแล้วอยู่มาคืนหนึ่ง หลวงพ่อนารถท่านได้นิมิตว่าได้พบพระฤาษีตนหนึ่งมาบอกท่านว่าสมบัติที่ท่านค้นหาอยู่นั้นอยู่จุดตรงไหน

นุ เพชรรัตน์ เล่าต่อว่า เมื่อหลวงพ่อท่านตื่นขึ้นมาท่านจึงได้ชักชวนลูกศิษย์ไปขุดตรงที่ฤาษีบอกจุดตำแหน่งที่มีสมบัติ และเมื่อขุดไปแล้วก็พบเจอสิ่งของจริงๆ พบพระที่ชำรุด พบเศษขอบพระที่เทล้นพิมพ์แล้วตัดออก แต่ของที่ขุดพบเจอส่วนใหญ่กลับกลายเป็นก้อนตะกั่ว ที่เทหล่อเป็นก้อนคล้ายกับฝาขนมครก ในจำนวนมากหลายตัน ทุกชิ้นล้วนเป็นเนื้อตะกั่วสนิมแดงทั้งสิ้น มีสนิมแดงเกาะอยู่ทั่วก้อน ซึ่งเป็นตะกั่วชนิดเดียวกันกับพระท่ากระดาน กรุเก่า และภายในกรุที่ขุดพบพระท่ากระดาน ยังพบก้อนตะกั่วที่มีลักษณะเดียวกัน ลงอักขระขอมโบราณกำกับไว้บนก้อนตะกั่ว ซึ่งบรรจุไว้ด้วยกันอีกจำนวนหนึ่ง

"พุทธคุณ วัตถุมงคลทุกชนิดของหลวงพ่อนารถนั้นเป็นที่พิสูจน์กันทั่วไปแล้วว่าท่านเป็นเกจิอาจารย์มีคุณเวทย์ที่เก่งกล้ามากทุกด้าน ทั้งแคล้วคลาด คงกระพัน เมตตา ป้องกันคุณไสย และโภคทรัพย์ดีเยี่ยม ส่วนวัตถุมงคลที่สร้างจากเนื้อตะกั่วเก่าของศรีสวัสดิ์ด้วยแล้ว ยิ่งสร้างความขลังเป็นทวีคูณ เฉกเช่นเดียวกันกับห้อยพระท่ากระดาน กรุเก่าทุกประการ" นุ เพชรรัตน์ กล่าว

สร้างพระเพื่อบูรณะวัดสร้างโรงเรียน

ระหว่าง พ.ศ.๒๕๑๙-๒๕๒๐ หลวงพ่อนารถท่านได้นำตะกั่วเก่าที่ขุดได้มาจัดสร้างพระเครื่องออกจำหน่ายเพื่อเป็นทุนในการสร้างโบสถ์ วัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง และอีกส่วนหนึ่งได้จัดเป็นทุนให้ชาวบ้านไปบูรณะวัดในเขต อ.ศรีสวัสดิ์

การสร้างพระเครื่องของหลวงพ่อนารถท่านใช้ตะกั่วเก่ามารีด แล้วกดเป็นพิมพ์พระเลย (ไม่มีการหลอมตะกั่ว) ส่วนใหญ่เป็นรูปพิมพ์เลียนแบบพระท่ากระดานยุคเก่า เป็นพิมพ์รูปแบบอื่นก็มีบ้างแต่ไม่มากนัก

พิมพ์หลักๆ ได้แก่ พิมพ์พระท่ากระดาน พิมพ์ใหญ่ หน้าแก่ (หน้าฤาษี) พระท่ากระดาน พิมพ์ใหญ่ หน้าหนุ่ม พระท่ากระดาน พิมพ์ใหญ่ หน้ากลาง พระท่ากระดาน พิมพ์เล็ก พิมพ์กลีบบัว

พระท่ากระดาน ของ หลวงพ่อนารถ ทุกพิมพ์มีทั้งที่ปิดทอง และไม่ปิดทอง วัตถุมงคลของหลวงพ่อนั้นจำนวนไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ท่านได้ใช้ชันโรงใต้ดินที่ท่านเก็บเอาไว้นำมาติดที่องค์พระเพื่อเพิ่มความขลังยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามเมื่อครั้งที่หลวงพ่อนาถยังมีชีวิตอยู่ท่านได้จัดสร้างและทำพิธีปลุกเสกไว้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๖ และมอบให้เป็นกรรมสิทธิ์ของ ร.ร.ท่าม่วงราษฎร์บำรุง ถนนแสงชูโต ต.ท่าม่วง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ทางโรงเรียนยังได้เก็บเหรียญไว้อยู่จำนวนหนึ่ง จึงนำออกมาให้เช่าบูชาเพื่อสมทบทุนดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ในราคาเหรียญละ ๒,๐๐ บาท โดยผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ สมาคมศิษย์เก่า ร.ร.ท่าม่วงราษฎร์บำรุง ๐-๓๔๖๑-๑๗๔๗ และ ๐-๓๔๖๑-๑๐๓๔ ต่อ ๑๑๐

ร่วมมือเป็นเจ้าภาพร่วมพิธีขอขมากรรม


เนื่องด้วยในวันเสาร์ที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๗ สมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนท่าม่วงราษฎร์บำรุง ได้จัดงาน พิธีขอขมากรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง ล้างสนิมในใจ โดยมี พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาส วัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม เป็นเจ้าพิธีกรรม อันเชิญญาณบารมี ด้วยเดชะบุญญาภินิหารแห่ง หลวงพ่อนารถ สุดยอดพระเถระแห่งเมืองกาญจนบุรี - หลวงพ่อพูล พระอมตะเถราจารย์แห่งเมืองนครปฐม ล้างสิ่งอัปมงคล เสริมสิริมงคลชีวิต

หลวงพี่น้ำฝน กล่าวว่า พื้นที่เดิมของโรงเรียนท่าม่วงราษฎร์บำรุงเป็นป่าช้าเก่า อาถรรพณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับโรงเรียนแห่งนี้คือ ในแต่ละปีจะมีเด็กนักเรียน ๒-๕ คน เสียชีวิตโดยอุบัติเหตุ คุณนุ เพชรรัตน์ จึงนิมนต์ให้ไปจัดงานพิธีขอขมากรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ทางโรงเรียน รายได้ทั้งหมดสมาคมศิษย์เก่าจะนำไปมอบให้แก่เด็กๆ นักเรียนมัธยมศึกษา โรงเรียนท่าม่วงราษฎร์บำรุง และบางส่วนนำไปมอบให้นักเรียนมัธยมศึกษาและนักเรียนประถมในเขต อ.ท่าม่วง และโรงเรียนใกล้เคียง เพื่อเป็นทุนการศึกษาและประกอบกิจกรรมต่างๆ ของเด็กๆ เท่านั้น

กำหนดการเวลา ๑๘.๐๙ น. บัณฑิตศิษย์มีครู อาจารย์เชน พงษ์พรหม ณภัทรไพบูลย์ อาจารย์กบ สักกเทพ วานิช อ่านโองการบูชาเทพยดา พร้อมบูชาถวายเครื่องสังเวยต่อเทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย หลวงพี่น้ำฝน นำกล่าวขอขมากรรมถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง จากนั้นหลวงพี่น้ำฝน พร้อมคณะสงฆ์ สวดถอนกรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง

หมายเหตุ : ผู้เข้าร่วมพิธีต้องมาด้วยตนเอง และควรมาก่อนเวลา โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น สอบถามรายละเอียดโทร.๐๘-๗๗๕๖-๗๕๕, ๐๘-๗๖๙๘-๔๗๗๗๗ หรือที่ www.watpailom.org

"พุทธคุณแห่งวัตถุมงคลทุกชนิดของหลวงพ่อนารถ นั้นเป็นที่พิสูจน์กันทั่วไปแล้วว่าท่านเป็นเกจิอาจารย์มีคุณเวทย์ที่เก่งกล้ามากทุกด้าน ทั้งแคล้วคลาด คงกระพัน เมตตา ป้องกันคุณไสย และโภคทรัพย์ดีเยี่ยม"


*************************


เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557

หลวงลุงผูก พระเกจิผู้เปรื่องวิชา เปี่ยมด้วยเมตตาแต่คมในฝัก


พระพิพัฒน์วิริยาภรณ์ หรือ หลวงพ่อผูก หรือที่ชาวนครปฐมนิยมเรียกท่านว่า หลวงลุงผูก ท่านเป็นสุดยอดพระนักปฏิบัติที่มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ท่านเกิดเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2462 ตลอดชีวิตของท่านสร้างแต่คุณงามความดี ไม่เคยสร้างความเดือนร้อนให้แก่สังคม ในสมัยหนุ่มท่านได้สร้างคุณประโยชน์แก่ทางราชการไว้เป็นอย่างมาก โดยรับราชการเป็นทหารผ่านศึกในสมัยสงครามอินโดจีน และเมื่อบวชท่านก็ได้สร้างสาธารณะประโยชน์ต่างๆ ไว้เพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนา เช่น ก่อสร้างพระอุโบสถ 3 แห่ง ได้แก่ วัดน้อยเจริญสุข อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม , วัดสุขวราราม อ.ดอนตูม จ.นครปฐม , วัดคีรีวงศ์ อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี สำหรับ วัดพระปฐมเจดีย์ ท่านได้ก่อสร้างเมรุวัดพระปฐมเจดีย์ สร้างศาลาบำเพ็ญกุศล และสร้างกุฏิเสนาสนะสงฆ์

หลังจากที่หลวงลุงพ้นจากราชการทหาร ด้วยจิตใจที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ท่านจึงได้อุปสมบทที่ วัดพระปฐมเจดีย์ เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ.2489 โดยตั้งใจอย่างแนวแน่ว่าจะขอตายในผ้าเหลือง หลวงลุงผูกท่านเป็นพระที่เปี่ยมด้วยเมตตา ท่านจึงเป็นที่นับถือ รักใคร่ ต่อผู้พบเห็นไม่ว่าท่านนั้นจะสูงวัยกว่าหรืออ่อนวัยกว่าก็ตาม ด้วยบุคลิกที่ท่านเป็นคนอารมดี ใจเย็น จึงเป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์ ท่านเป็นศิษย์เอกของ หลวงพ่อบุญธรรม ซึ่งเป็นพระอนุสาวนาจารย์ของท่าน หลวงพ่อบุญธรรมให้ความรักและเมตตาหลวงลุงผูกเป็นอันมาก ดังนั้นวิชาอาคมต่างๆ ของหลวงพ่อบุญธรรมที่สืบทอดมาจาก หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จึงได้ถ่ายทอดให้หลวงลุงผูก จนหมดสิ้น ไม่ว่าการเขียนผง การลงอักขระยันต์สำคัญต่างๆ เช่น ยันต์เกราะเพชร นอกจากนี้หลวงลุงผูกยังได้ไปศึกษาเพิ่มเติมกับ พลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา และ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม อีกด้วย
หลวงลุงผูก ท่านเป็นพระที่คมในฝัก นอบน้อมถ่อมตน ไม่โอ้อวดว่าท่านมีอะไรดี ท่านจะไม่แสดงออก แต่เพรชก็ย่อมเป็นเพชรอยู่วันยังค่ำ ดังนั้นในบรรดาศิษย์ของท่านย่อมทราบดีว่าพระเครื่องของท่านมักแสดงปาฏิหารย์ให้ปรากฎเสมอ โดยเฉพาะชาวตลาดบนและตลาดล่างให้ความเคารพนับถือหลวงลุงผูกและเชื่อมั่นในพระเครื่องของท่านว่าดีทางเมตตามหานิยม โชคลาภและดีทางค้าขาย พระเครื่องของหลวงลุงผูกท่านสร้างแต่ละรุ่นเป็นจำนวนน้อย (หลักร้อยไม่เกินหลักพัน) ดังนั้นพระเครื่องของท่านจึงอยู่ในมือศิษย์ของท่านเท่านั้น ไม่มีโอกาสจะตกมาอยู่ในมือของบุคคลภายนอก อย่างเช่น เหรียญรุ่นแรกปี พ.ศ.๒๕๑๒สร้างจำนวน ๒๕๑๒ เหรียญ เหรียญส่วนใหญ่จะตกอยู่ในมือศิษย์ของท่านเพียงไม่กี่คนเท่านั้น (บางคนบูชาเป็นร้อยเหรียญหรือหลายร้อยเหรียญ) 

หลวงลุงผูกท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่แก่กล้าวิชาอาคมรูปหนึ่ง แม้แต่ หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม ก็ยอมรับนับถือว่าท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่แก่กล้าวิชาอาคม หลวงพ่อแช่มจะกำชับลูกศิษย์ของท่านว่าในพิธีพุทธาภิเษกพระเครื่องพระบูชาของวัดดอนยายหอม ต้องนิมนต์หลวงลุงผูกร่วมปลุกเสกทุกครั้ง นอกจากหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอมจะให้ความนับถือหลวงลุงผูกแล้ว หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ก็ยังให้ความนับถือหลวงลุงผูกเช่นกัน จะเห็นได้จากพิธีพุทธาภิเษกวัดบางพระจะต้องนิมนต์หลวงลุงผูกร่วมพิธีเสมอ 


ในสมัยที่หลวงลุงผูกมีชีวิตอยู่ท่านได้สร้างพระเครื่องพระบูชาหลายรุ่น พระเครื่องของท่านนอกจากท่านจะปลุกเสกเดี่ยวแล้ว ท่านยังได้นำพระเครื่องของท่านไปให้ หลวงพ่อเงินวัดดอนยายหอม และ หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา ปลุกเสกเป็นการส่วนตัวอีกด้วย นอกจากนี้ท่านยังได้นำพระเครื่องของท่านเข้าพิธีพุทธาภิเษกสำคัญๆ ของวัดพระปฐมเจดีย์และวัดอื่นๆ ที่ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปร่วมปลุกด้วย ซึ่งในพิธีดังกล่าวจะนิมนต์พระเกจิอาจารย์ดังๆ มาร่วมปลุกเสกเสมอ

หลวงลุงผูก ท่านเป็นพระที่มีใจเด็ดเดี่ยวตั้งใจจริง ทำอะไรก็ทำจริงจัง การสร้างพระเครื่องของท่านจะสร้างด้วยความตั้งใจ ท่านมักจะกล่าวกับศิษย์ใกล้ชิดเสมอว่า การสร้างพระต้องทำให้ขลัง ดีข้างนอกดีข้างใน จะได้เป็นศิริมงคลแก่ตัวเองเมื่อบูชาติดตัว พระเครื่องของท่านจึงปลุกเสกนานไม่น้อยกว่า ๒ พรรษา และนำไปเข้าพิธีพุทธาภิเษกหลายครั้ง จนมั่นใจในพุทธานุภาพแล้ว จึงนำไปแจกจ่ายให้แก่ศิษย์เพื่อความเป็นศิริมงคล



*************************


เรื่องโดย : ทีมข่าวมงคลพระ
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

เจ้าอาวาสวัดสระเกศ เคลียร์ชัด ทุกกรณี!!


พระพรหมสุธี (เสนาะ ปัญญาวชิโร) เจ้าอาวาส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เจ้าคณะภาค 12 กรรมการมหาเถระสมาคม ให้สัมภาษณ์พิเศษกับทีมข่าว กรณีมีแถลงการณ์โจมตี หลังได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอวาสวัดสระเกศฯ และ นายชัยธนพล ศรีจิวังษา ผู้ประสานงานองค์กรเครือข่ายภาคประชาชนพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ (อพช.) เข้าร้องเรียนกับกรมสอบสวนพิเศษ กล่าวโทษ และให้ตรวจสอบพฤติกรรมของพระพรหมสุธีว่า มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริต ร่ำรวย มีรถยนต์หรู่ร่วม 20 คัน โดยพระพรหมสุธี กล่าวปฏิเสธในทุกกรณี

"จริงๆอาตมาอยากให้เงียบที่สุด ไม่อยากให้เป็นข่าว อยากปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปเรื่อยๆ ถือว่าไม่ได้เป็นไปตามข่าว แต่เมื่อโยมติดต่อมา อาตมาก็จะเล่าให้ฟัง...ข่าวก็คือข่าว ขอปฏิเสธในทุกกรณี หาว่าอาตมามีเงินเป็น 1000 ล้าน มันเป็นไปไม่ได้ การปล่อยข่าวออกมา เพื่อโยงให้เห็นว่า มีเงินมาก ได้มาจากการโกงเงินวัดหรือเปล่า...ไม่มีหรอกเงินขนาดนั้น เป็นวิธีการสร้างข่าว เพื่อให้เกิดความแตกตื่น" เจ้าอาวาสวัดสระเกศ กล่าว

เมื่อถามว่า เงินสะสมของวัดตั้งแต่สมัยสมเด็จเกี่ยวฯ เป็นเจ้าอาวาส ยังอยู่ครบถ้วนหรือไม่ พระพรหมสุธี กล่าวย้ำว่า อาตมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสแค่ 7 เดือน ยังไม่ได้ใช้เงินสะสมของวัดเลย เงินที่ใช้อยู่เป็นเงินที่ญาติโยมมาทำบุญในช่วงที่อาตมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอวาสแล้ว และตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นว่า จะไม่ใช้เงินสะสมของสมเด็จเกี่ยวฯ

เมื่อถามว่า ใบปลิวที่ออกมาโจมตีเป็นปัญหาความขัดแย้งภายในวัดหรือไม่ โดยเฉพาะเกี่ยวกับตำแหน่งเจ้าอวาส พระพรหมสุธี กล่าวว่า ก็อาจจะมีผู้ประสงค์ไม่ดี แต่ก็เป็นเรื่องของพระ เรื่องของสงฆ์ จะพูดอะไรออกไปก็ต้องระวัง พูดมากไปก็ไม่ดี เพราะคนเราไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์ หรือฆาราวาส ก็มีทั้งคนรัก และคนไม่รัก แต่จะให้ชี้ชัดลงไปว่าใครทำ เราไม่อยากชี้ชัดลงไป แต่ก็รู้ๆกันอยู่ อย่างที่ทุกคนเข้าใจ

ส่วนข้อกล่าวหาเรื่องมีรถหรู่ร่วม 20 คัน พระพรหมสุธี กล่าวว่า ไม่ถึงขนาดนั้น ไม่ถึง 20 คัน แต่มีหลายคัน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นรถยนต์ที่ญาติโยมนำมาถวลายตั้งแต่สมัยเป็นรองเจ้าอาวาส พร้อมกับยกตัวอย่างว่า มีผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์บางฉบับ ก็นำรถมาถวายต่อเนื่องถึง 3 คัน เจ้าของโรงพยาบาลบางแห่ง ก็นำรถมาถวายทุก 3 ปี และคนที่นำรถมาถวายทุกวันนี้ก็ยังอยู่ สามารถที่จะมายืนยันได้ แต่อาตมาไม่อยากเอ่ยชื่อเขา เดี๋ยวจะขยายเรื่องไปอีก และทุกวันนี้รถทุกคันก็ยังอยู่ ใช้งานได้หมดทุกคัน เราก็ซ่อมบำรุงดูแลไปตามสภาพ คันหนึ่งก็ถวายให้หลวงพ่อในวัดไปใช้ เนื่องจากอาพาธต้องไปโรงพยาบาลบ่อย อีกคันก็ไว้รับส่งพระ-เณรในวัด ส่วนอาตมาเองก็มีรถเบนซ์ใช้อยู่คันเดียว ที่เหลือเป็นรถตู้ รถเก๋งบ้าง

เช่นเดียวกับข้อกล่าวหาใช้ตำแหน่งเจ้าคณะภาค และกรรมการมหาเถรสมาคมวิ่งเต้นตำแหน่งในวงการสงฆ์ พระพรหมสุธี กล่าวว่า อาตมาเป็นเจ้าคณะภาค 12 จริง และเป็นมานานแล้วด้วย ถ้าอาตมาใช้ตำแหน่งเจ้าคณะภาค 12 หรือใช้ตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมวิ่งเต้นแล้วรับเงิน อาตมาคงอยู่ไม่ได้แล้ว "รับเงินมาแล้วจะมีหลักประกันอะไรว่าจะได้รับตำแหน่งตามนั้น เพราะการพิจารณาตำแหน่งในวงการสงฆ์ต้องผ่านมหาเถรสมาคม ที่มีพระระดับสมเด็จถึง 21 รูปเป็นกรรมการ พระผู้ใหญ่ทั้งนั้น ทุกคนมีสิทธิ์เสนอ มีสิทธิ์ที่จะพูด หรือจะต้องวิ่งเต้นผ่านพระสมเด็จทั้ง 21 รูป

"การพิจารณาตำแหน่งในวงการสงฆ์ อาตมาคิดว่าใสสะอาด 100 เปอร์เซ็น เพราะต้องผ่านการพิจารณาจากมหาเถระ พระชั้นผู้ใหญ่ทั้งนั้น รับเงินมาก็การันตีไม่ได้ว่าจะได้ตำแหน่ง ปิดปากพระสมเด็จทุกรูปไม่ได้หรอก และในวงการสงฆ์เวลาพิจารณาก็ไม่มีการโหวต พูดกันด้วยเหตุด้วยผล ตามความเหมาะสม"

ยังมีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับสีกา เข้าออกในกุฏี พระพรหมสุธี อธิบายว่า ในวงการสงฆ์ การทำลายกัน วิธีการที่ง่ายที่สุด ก็คือสีกา เอาเรื่องสีกาขึ้นมากล่าวหา แต่ทั้งหมดมันอยู่ที่ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน ถ้าอาตมาเป็นอย่างที่กล่าวหา อาตมาอยู่ไม่ได้แล้ว ไปนานแล้ว ลองดูอย่างพระนิกร พระยันตระ ก็อยู่ไม่ได้

ส่วนเรื่องธุรกิจสวนกล้วยไม้ และบ้านจัดสรร พระพรหมสุธี กล่าวว่า เป็นธุรกิจของครอบครัวที่เขาทำมานานกว่า 10 ปีแล้ว เป็นของน้องชาย (เอกวัฒน์ ฝังมุข)

"เป็นธุรกิจของครอบครัว ที่น้องชายเขาทำมากว่า 10 ปีแล้ว ญาติร่วมสายโลหิต ความเป็นพี่เป็นน้องกันก็ต้องมี เขาก็ทำมาหากินกันไปนะ เหมือนโยมเป็นนักข่าว แต่อาจมีพี่ๆน้องๆคนอื่น ทำอีกอาชีพหนึ่ง ต่างคนต่างทำมาหากินกันไป ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ความเป็นพี่เป็นน้องกันก็ต้องมี"

ส่วนข้อกล่าวหาเรื่องเงิน 67 ล้านบาท ที่ใช้ในการจัดงานศพสมเด็จเกี่ยว พระพรหมสุธี กล่าวว่า อาตมาจะอธิบายให้ฟังว่า รัฐบาลให้งบประมาณมาจัดงานศพสมเด็จเกี่ยว 67 ล้านบาท วัดฯก็รับเงินมาเปิดบัญชีแยกไว้ต่างหาก และได้ใช้งบประมาณไปแล้วส่วนหนึ่งในการจัดการงานศพสมเด็จเกี่ยว งบประมาณยังใช้ไม่หมด บางรายการยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ เช่น การจัดสร้างโต๊ะหมู่บูชาถวายวัดต่างๆ ที่สั่งไปทั้งหมด 100 ชุด เพิ่งเสร็จ 20 ชุด งบประมาณจึงยังไม่ได้เบิกจ่าย ยังเก็บไว้อยู่ แต่เงินจะเหลืออยู่เท่าไหร่ ก็ยังไม่ทราบ

"อาตมาคิดว่า เมื่องานเสร็จแล้วจะรายงานไปยังรัฐบาล เพราะเป็นเงินภาษีของประชาชน ถ้ามีเงินเหลือจะถามรัฐบาลว่าจะเอาคืนหรือไม่ ถ้ารัฐบาลไม่เอาคืน ตั้งใจจะตั้งเป็นกองทุนสมเด็จพระพุฒาจารย์ เพื่อใช้ในกิจการพุทธศาสนา หรือทุนการศึกษาของพระสงฆ์"



*************************


เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

มจร และ พศ.ใช้นกพิราบนำขันติธรรม สร้างสันติสุขAEC


มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ร่วมกับ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) จะจัดการประชุมผู้นำศาสนาเพื่อสันติภาพในประชาคมอาเซียน ครั้งที่ 1 เรื่อง ขันติธรรมทางศาสนา ระหว่างวันที่ 24-29 กันยายน พ.ศ.2557 ที่โรงแรมคลาสสิก เคมิโอ จ.พระนครศรีอยุธยา และที่ หอประชุม "มวก ๔๘ พรรษามหาวชิราลงกรณ์" มจร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 ก.ย.นี้เวลา 14.30 น.ที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม โดยการจัดการประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ประกอบด้วย 

1.เพื่อสร้างเวทีให้ผู้นำศาสนาต่างๆ ในประชาคมอาเซียน ได้นำเสนอองค์ความรู้ และหลักการสำคัญเกี่ยวกับขันติธรรมทางศาสนาตามที่ปรากฏในคัมภีร์ และความเชื่อของแต่ละศาสนา

2.เพื่อให้ผู้นำศาสนาในประชาคมอาเซียนได้ร่วมกันถอดบทเรียนเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันอย่างมีขันติธรรมในประชาคมอาเซียนของแต่ละศาสนิกชนในประชาคมอาเซียน

3.เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายระหว่างผู้นำศาสนาในประชาคมอาเซียน ซึ่งจะเอื้อต่อการเรียนรู้การอยู่ร่วมกันบนความแตกต่างหลากหลาย ทางด้านศาสนาสังคมและวัฒนธรรมอย่างมีขันติธรรม และอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

4.เพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติเพื่อผลักดันให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาระดับโลกในอนาคต โดยผ่านการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์กรทางพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ ทั่วภูมิภาค

ล่าสุดคณะกรรมการเตรียมการจัดงานได้จัดทำโลโก้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของงาน เป็นรูป นกพิราบ ที่สื่อถึงสันติภาพ มีตราสัญลักษณ์ของศาสนา 10 ศาสนาที่มีประชาชนในอาเซียนนับคือจัดวางเป็นรูปวงกลหมุนได้และมีตราสัญลักษณ์อาเซียนคือ รวงข้าว อยู่ตรงกลาง โดยสื่อความหมายว่า หลักการทางศาสนาทั้ง 10 ศาสนานี้ โดยเฉพาะหลักขันติธรรมจะนำพาประชาคมอาเซียนให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข อยู่กันอย่างมีสันติภาพในภาวะที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ผู้สนใจในสามารถติดต่อสอบถาม หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 035 248098 โครงการปริญญาโทหลักสูตรสาขาสันติศึกษา มจร หรือเว็บไซต์ http://www.relepac.com/2014/en/ รวมถึงเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/pages/Religious-Leaders-for-Peace-in-ASEAN-Community/603335479779064

ขณะเดียวกันที่ห้องประชุมอาคารสุชีพ ปุญญานุภาพ มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย (มมร.) ศาลายา จ.นครปฐม สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) ในฐานะนายกสภา มมร. กล่าวให้โอวาทในพิธีเปิดการประชุมเตรียมความพร้อมสู่อาเซียน ว่า ในโอกาสที่มมร.เตรียมความพร้อมเพื่อการรับมือความเปลี่ยนแปลงและเผชิญหน้ากับสังคมที่มีวิถีชีวิตที่แตกต่าง นับเป็นสิ่งที่มมร.โดยเฉพาะคณะผู้บริหารจะต้องพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบและระมัดระวัง ต้องอาศัยความร่วมมือกับคณาจารย์ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนนักศึกษาทุกท่านทุกคน ซึ่งจะต้องเดินหน้าไปด้วยกัน ก้าวไปด้วยกันอย่างพร้อมเพรียงด้วยการมีสติและปัญญากำกับเพื่อการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ คือ ความเป็นเลิศด้านวิชาการ สิ่งเหล่านี้ต้องดำเนินไปด้วยความพร้อมเพรียงของเราทั้งหลาย

ด้าน พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธัมฺมสากิโย) รักษาการรองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ มมร. กล่าวว่า ในปี 2558 ประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน 10 ประเทศ จะรวมกันเป็นหนึ่งประชาคม ภายใต้คำขวัญที่ว่า “หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งอัตลักษณ์ หนึ่งประชาคม” โดยมีประชากรทั้งหมดกว่า 600 ล้านคน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 4.6 ล้านตารางกิโลเมตร ก็คือประชากรทั้ง 10 ประเทศ จะสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันภายในภาคพื้นอาเซียนอย่างเป็นอิสระ สามารถที่จะเข้าศึกษาในสถานศึกษา และทำงานในที่ทำการภายในภาคพื้นอาเซียนได้โดยไม่มีข้อจำกัด และเมื่อสภาพของสังคมเปลี่ยนไป จึงจำเป็นที่มมร. จะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่สังคมใหม่นั้นอย่างกลมกลืน และสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงนั้น ให้ดำรงอยู่ในสังคมนั้นอย่างเหมาะสมและมีความสุข

“มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาจะต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่า จะปรับตัวอย่างไรเพื่อการอยู่รอดอย่างมีศักดิ์ศรี และมีเกียรติ ภายใต้สถานการณ์แข่งขันที่จะรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นการจัดประชุมนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมของบุคลากร โดยมีการกำหนดนโยบายและบทบาทที่ชัดเจน วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาหลักสูตร และส่งเสริมด้านวัฒนธรรมของไทยอย่างเหมาะสมภายใต้ความหลากหลายและแตกต่างทางวัฒนธรรมในกลุ่มประเทศประชาคมอาเซียน” พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ กล่าว



*************************


เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ





วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

สิ้นแล้ว!! อดีตพระ "นิกร ธรรมวาที"


อดีตพระนิกร ธรรมวาที
นักเทศน์เสียงทองแห่งยุค มีผู้คนแห่ไปฟังการเทศน์ไม่ขาดสาย เสียชีวิตแล้วด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก หลังทางแพทย์ได้ให้การรักษาเยียวยา เป็นระยะเวลา 5 วัน ก็มาสิ้นลมจากไปอย่างสงบ

วันที่ 12 ก.ย.57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีคณะชาวบ้านสันปง ต.สันทราย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ได้เดินทางมารับศพ นายธรรมรัตน์ ยศคำจู หรือ วงศ์ธรรมชู อายุ 61 ปี หรืออดีต "พระครูใบฎีกานิกร ธรรมวาที" แห่งวัดสันปง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ที่โรงพยาบาลนครพิงค์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

โดยนายธรรมรัตน์ นั้นเข้ารับการรักษาตัวเมื่อวันที่ 7 ก.ย. 57 ด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก ทางแพทย์ได้ให้การรักษาเยียวยา แต่ก็มาสิ้นลมอย่างสงบ เมื่อเวลา 23.05 น. วันที่ 11 ก.ย.57 โดยกลุ่มชาวบ้านได้นำศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้านพัก ที่บ้านสันปง อ.พร้าว โดยอาจจะตั้งศพเป็นเวลา 7 วัน

สำหรับประวัติอดีตพระนิกร ธรรมวาที เป็นเจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ดอยนางแล บ้านสันปง ต.สันทราย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ อดีตพระนักเทศน์เสียงทองแห่งยุค มีผู้คนแห่ไปฟังการเทศน์ไม่ขาดสาย จนถึงขั้นต้องเปิดสำนักปฏิบัติธรรมหลายสิบแห่งทั่วประเทศ

กระทั่งเมื่อปี 2533 พระนิกรได้สร้างความปวดร้าวให้แก่ชาวพุทธ เมื่อแอบมีความสัมพันธ์กับ นางอรปวีณา บุตรขุนทอง จนมีลูกด้วยกัน เป็นข่าวโด่งดังติดต่อกันนับเดือน เพราะพระนิกรพยายามตอบโต้ข่าวว่า มีผู้อิจฉาในชื่อเสียงของตน อีกทั้งบรรดาลูกศิษย์ก็พยายามหาหนทางตอบโต้ข้อกล่าวหาว่า เป็นการกลั่นแกล้งโดยไม่เชื่อว่า พระที่ยึดมั่นในศีลธรรมและเทศน์ได้ไพเราะจะทำตัวเช่นนั้น แม้มีหลักฐานมากมายจนถึงขั้นปาราชิก แต่พระนิกร ยังไม่ยอมสึกออกจากความเป็นพระ จนต้องมีการรวบรวมหลักฐานดำเนินคดี

ในที่สุดศาลสงฆ์ มีมติระบุความผิดพระนิกรว่า เป็น "ปฐมปาราชิก" คือการเสพเมถุนกับอิสตรี ขาดจากความเป็นพระ แม้จะกลับมาบวชใหม่ก็ไม่สามารถดำรงความเป็นสมณเพศได้ เปรียบดังตาลยอดด้วนที่ไม่สามารถเจริญเติบโตและงอกเงยได้อีกต่อไป

จากนั้นก็ได้เก็บตัวเงียบแต่ยังคงนุ่งขาวห่มขาว อยู่บนสำนักปฏิบัติธรรมดอยนางแล และยังมีลูกศิษย์เป็นชาวต่างประเทศมาเยี่ยมเยือนไปมาหาสู่ตลอด จนมีข่าวล้มป่วยลงและเสียชีวิตดังกล่าว


*************************

เรื่องโดย : ไทยรัฐออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ


วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

ด่วน!! หลวงปู่พิม เกจิดังชัยภูมิ ประกาศจะละสังขารคืนนี้!! (9 ก.ย. 57)


หลวงปู่ธนวัฒน์ สิริพิมโพ หรือ หลวงปู่พิม เจ้าอาวาสวัดป่าเวฬุวัน จังหวัดชัยภูมิ พระเกจิชื่อดังภาคอีสาน เตรียมละสังขารคืนนี้ (วันที่ 9 กันยายน 2557) เวลา 21.00 น.ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิด โดยเลือกละสังขารที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างกุฏิภายในวัดด้วยวิธีเข้าไปนอนภาวนาในโลงที่เตรียมไว้ ขณะที่พุทธศาสนิกชน-ศิษย์แห่ทำบุญแน่นวัด

วันนี้ (9 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ วัดป่าเวฬุวัน บ้านท่าเริงรมย์ ต.ทุ่งพระ อ.คอนสา จ.ชัยภูมิ ได้มีพุทธศาสนิกชนและลูกศิษย์จากทั่วประเทศเดินทางมาร่วมทำบุญและปฎิบัติธรรมกันจำนวนมาก หลังจากมีการบอกเล่ากันปากต่อปากว่า หลวงปู่ธนวัฒน์ สิริพิมโพ หรือ "หลวงปู่พิม" เจ้าอาวาสวัดป่าเวฬุวัน อายุ 65 ปีเตรียมละสังขารในคืนวันที่ 9 ก.ย.นี้ เวลา 21.00 น.ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิด โดยเลือกละสังขารที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างกุฏิภายในวัดด้วยวิธีเข้าไปนอนภาวนาในโลงที่เตรียมไว้ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาหลวงปู่พิม มีโรคประจำตัว เช่น กรดไหลย้อน แผลในกระเพาะอาหาร และโรคเก๊าท์ที่ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น อย่างต่อเนื่อง

สำหรับหลวงปู่ธนวัฒน์ สิริพิมโพ หรือ หลวงปู่พิม เจ้าอาวาสวัดป่าเวฬุวัน เกิดเมื่อ พ.ศ.2492 เดิมเป็นชาว จ.เพชรบูรณ์ จากนั้นย้ายภูมิลำเนามาอยู่ที่ จ.ร้อยเอ็ด เมื่อเป็นหนุ่มเดินทางไปขายแรงงาน ขับรถเทลเลอร์ที่ประเทศซาอุดิอารเบีย ระหว่างทำงานอยู่นานกว่า 13 ปี มีความสนใจ เลื่อมใสพระพุทธศาสนา และศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อตัดสินใจเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อปี 2536 จึงเข้าสู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ที่วัดอนงค์คาราม อารามหลวง กรุงเทพมหานคร ศึกษาพระธรรมอยู่ประมาณ 1 ปี จนปี 2537 ตัดสินใจออกเดินธุดงค์ไปทั่วประเทศ กระทั่งปี 2541 มาพบเห็นสถานที่บ้านท่าเริงรมย์ ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ แห่งนี้ซึ่งเชื่อว่าเป็นพุทธภูมิเดิม จึงตัดสินใจสร้างวัดป่าเวฬุวันขึ้นจนถึงปัจจุบัน

หลวงปู่พิม เปิดเผยว่า "อาตมาเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นองค์สุดท้ายยึดปฏิบัติตามแนวคำสอนของหลวงปู่อย่างเคร่งครัด เมื่อปี 2538 เห็นและรู้วันเวลามรณภาพของตัวเอง บอกลูกศิษย์คนใกล้ชิดไว้ โดยไม่ได้ป่าวประกาศให้คนทั่วไปรับรู้ เมื่อถึงเวลาก็จะละสังขารตามกำหนด คือวันที่ 9 ก.ย.57 นี้ เมื่อพระอาทิตย์ตกดินอาตมาห้ามทุกคนเข้ามาในบริเวณกุฎิ เพื่อจะทำสมาธิและนอนในโลงที่เตรียมไว้และจะแยกร่างปลงสังขารในเวลา 21.00 น. ระหว่างนี้ได้สั่งห้ามทุกคนเข้ามาจนกว่าจะครบ 3 วันคือวันที่ 11 ก.ย. 57 เวลาประมาณ 13.00 น.จึงให้ลูกศิษย์เข้ามานำร่างไปไว้ยังสถานที่ประกอบพิธีที่อยู่ใกล้กันเพื่อนำร่างไปเผาในเวลา 21.00 น."

"อาตมารู้วันเวลามานานแล้ว ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเสียใจ การตายเป็นเรื่องธรรมดา เป็นปกติของมนุษย์ สิ่งที่สั่งเสียไว้คือให้ลูกศิษย์ลูกหาได้ยึดถือรักษาศีลตามที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้สอนไว้เท่านั้น ส่วนในวัดพระมหาบัว ปิยวัณโณ จะเป็นเจ้าอาวาสต่อจากอาตมาจะดูแลและสั่งสอนลูกศิษย์ต่อไป ข้อที่สั่งเสียไว้ก่อนตายคืออย่าสร้างวัตถุ เช่น โบสถ์ กำแพงวัด ประตูวัด เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ถือเป็นวัตถุนอกกายที่ไม่มีความจำเป็นกับการรักษาศีล ปฏิบัติธรรม" หลวงปู่พิมกล่าว

ทางด้าน นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่ยังไม่สามารถให้รายละเอียดเรื่องนี้ได้ เพราะยังไม่ทราบรายละเอียด พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดชัยภูมิ ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วและให้รายงานข้อมูลมาที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติด้วย


*************************

เรื่องโดย : manager ออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2557

ร่วมบุญ สร้าง รพ.ชุมชนวัดลาดปลาดุก


วัดลาดปลาดุก ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี วัดตั้งอยู่ริมคลองบางไผ่และคลองลาดปลาดุก ซึ่งเป็นคลองติดต่อกับคลองพิมลราชปัจจุบัน มีถนนแยกจากถนนตลิ่งชัน-สุพรรรบุรี เขาไปถึงวัด ประวัติความเป็นมา ประมาณ พ.ศ.๒๔๕๐ มีราษฎรเข้ามาจับจองบุกเบิกที่ดินบริเวณที่เป็นป่าในที่ลุ่มคลองลางไผ่ถึงหนองเพรางายเกิดเป็นชุมชนขึ้น มีการขุดทางน้ำเพื่อทำการเกษตร มีการคมนาคมทางเรือบริเวณที่ลุ่มแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยปลานานาพันธุ์ โดยเฉพาะปลาดุก แม้ในฤดูแล้งบริเวณนี้ยังคงมีหนองน้ำและปลามาอยู่รวมกันจำนวนมากมาย ชาวบ้านจึงเรียกว่า ลาดปลาดุก เมื่อมีผู้คนมาอยู่กันมากขึ้นประมาณ พ.ศ.๒๔๖๕ ชาวบ้านได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นริมคลองลาดปลาดุกเป็นวัดเล็กๆ อยู่กลางทุ่งนา เนื่องจากวัดตั้งอยู่ริมคลองลาดปลาดุก จึงมีชื่อว่า วัดลาดปลาดุก

ปัจจุบันวัดลาดปลาดุกมีเนื้อที่ ๒๒ ไร่ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๗๓ และต่อมาเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันได้ซื้อที่ด้านทิศตะวันออกเพิ่มอีก ๑๒ ไร่ ใช้เป็นที่อเนกประสงค์ และปลูกป่าไม้สัก, ไม้ตะเคียน เมื่อแรกสร้างวัดนั้นการเดินทางของชาวบ้านมีเพียงทางเรือเท่านั้น ปัจจุบันถนนเข้าสู่วัดหลายสาย ถนนสายหลักคือ ถนนตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี ทำให้วัดลาดปลาดุกติดต่อกับชุมชนอื่นๆ ได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น และได้เปลี่ยนสภาพจากวัดในชุมชนกลางทุ่งนามาเป็นวัดในชุมชนเมืองในปัจจุบันนี้

อุโบสถหลังใหม่สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๗ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่ ๕ ห้องกว้าง ๖ เมตร ยาว ๒๕ เมตร อาคารอุโบสถตั้งอยู่บนฐานไพทีที่มีความสูงแสนเป็นลานประทักษิณที่มีความกว้างเดินได้รอบอุโบสถบนฐานไพทีทำกำแพงแก้วล้อมอุโบสถและตั้งซุ้มเสมา ฐานไพทีเป็นห้องโถงอยู่ใต้อาคารอุโบสถบันไดขึ้นบนลานประทักษิณอุโบสถอยู่ที่ด้านหน้า ด้านหลัง และด้านข้างทั้ง ๒ ด้าน ได้ทำพิธีผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิตเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๒

ปัจจุบันวัดลาดปลาดุก มี พระพิมลศีลาจาร หรือ หลวงพ่อแสวง ปภังกโร เป็นเจ้าอาวาส ท่านเรียนวิชาจากสาย หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน และ สมเด็จพระวันรัตแดง จาก หลวงปู่เผือก วัดโมลี และหลวงพ่อเปลี่ยน วัดละหาร และ หลวงพ่อแสวง ได้ศึกษากับ สมเด็จพระโฆษาจารย์ (เจริญ) วัดเขาบางทราย ด้วย ปัจจุบันท่านอายุ ๗๘ ปี เป็นพระที่สันโดษ มีจิตที่เข้มแข็งได้กรรมฐานเป็นอารมณ์ ชาวบ้านย่านวัดลาดปลาดุกและบางบัวทอง ต่างรู้ว่าท่านเป็นพระที่ดีไม่เป็นสองรองใคร โดยเฉพาะ เหรียญตาโบ้หนังเด้ง นั่นคือเหรียญรุ่นแรกของท่านที่มีประสบการณ์ต่างๆ ที่ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออกบ้าง หรือแคล้วคลาดเรื่องต่างๆ บ้าง จนตอนนี้ทำให้เหรียญรุ่นแรกมีราคาถึงครึ่งหมื่นแล้ว

ในโอกาสที่หลวงพ่อสิริอายุครบ ๘๐ปี ในวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ที่จะถึงนี้ ขอเชิญร่วมบุญมหากุศล สร้างโรงพยาบาลชุมชนกับ หลวงพ่อแสวง ปภังกโร เพื่อให้การก่อสร้างโรงพยาบาลชุมชนบรรลุตามเป้าหมายที่สร้างไว้ในปีนี้ ท่านออกวัตถุมงคลหลายอย่าง อาทิ ล็อกเกต รุ่นแรก แหวนแก้เคล็ด และกำไร แสวงทรัพย์ โดยเฉพาะแหวนแก้เคล็ด รุ่น ยันต์พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ นี้ ทุกๆ วงผ่านพิธีการปลุกเสกจากพระเกจิคณาจารย์ชื่อดังอย่างเข้มขลัง ได้แก่


หลวงพ่อแสวง วัดลาดปลาดุก นนทบุรี เป็นที่นับถืออย่างมาก มีลูกศิษย์มากมายทั้งในพื้นที่และต่างพื้นที่ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ต่างนับถือ เดินทางมากราบสักการะท่านถึงกุฏิ เพื่อความเป็นสิริมงคล ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบุญได้ที่ วัดลาดปลาดุก โทร.๐๘-๕๕๑๖-๓๗๒๓ และ ๐๘-๓๒๔๙-๖๓๐๘



*************************


เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ





วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

มติ มส.ตั้ง พระพรหมเวที เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์


เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2557 ที่ผ่านมา ณ อาคารสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) พุทธมณฑล จ.นครปฐม สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) โดยมีวาระสำคัญคือ การพิจารณาเลื่อน และตั้งสมณศักดิ์ ให้กับพระสงฆ์ที่ทำคุณประโยชน์แก่ชาติและพระพุทธศาสนา เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5 ธ.ค.2557 โดยได้หารือนานกว่า 2 ชั่วโมง และมีมติเสนอรายชื่อพระสงฆ์ตามโควตาสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ที่ว่างลง ดังนี้ ฝ่ายมหานิกาย พระราชาคณะชั้นสามัญ 28 รูป สายต่างประเทศ 8 รูป พระราชาคณะชั้นราช 17 รูป สายต่างประเทศ 3 รูป พระราชาคณะชั้นเทพ 7 รูป สายต่างประเทศ 1 รูป พระราชาคณะชั้นธรรม 4 รูป พระราชาคณะเจ้าคณะรองชั้นหิรัญบัฏ หรือรองสมเด็จพระราชาคณะ 4 รูป และสมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ หรือ สมเด็จพระราชาคณะ 1 รูป ขณะที่ในส่วนของฝ่ายธรรมยุตมีโควต้าสมณศักดิ์พระสงฆ์ที่ว่างลง ดังนี้ พระราชาคณะชั้นสามัญ 8 รูป พระราชาคณะชั้นราช 4 รูป รวมทั้ง 85 รูป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อที่ทางที่ประชุมมหาเถรฯ มีมติเสนอรายชื่อเพื่อสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ คือ พระพรหมเวที (สนิท ชวนปญฺโญ) เจ้าอาวาส วัดไตรมิตรวิทยาราม กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก โดยคาดว่าจะได้ชื่อสมณศักดิ์ที่ “สมเด็จพระพุฒาจารย์” แทน สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) อดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ และอดีตเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก 

ทั้งนี้เนื่องจากที่ประชุมมหาเถรฯ เห็นว่า พระพรหมเวที มีคุณสมบัติพร้อม โดยมีตำแหน่งทางการปกครองเป็นเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก และเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ทั้งยังจบการศึกษาบาลีชั้นสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย คือ ระดับเปรียญธรรม (ป.ธ.) 9 ประโยค

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังจากนี้จะมีการนำรายนามพระสงฆ์ที่ได้รับการพิจารณาตามมติมหาเถรฯ ในครั้งนี้ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงพิจารณาโปรดเกล้าฯ รับพระราชทานสัญญาบัตร พัดยศ และผ้าไตร ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง เนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธ.ค.นี้

ทั้งนี้ ที่ประชุม มส. ยังได้เห็นชอบแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดราชผาติการาม พระอารามหลวง เนื่องจาก พระธรรมปัญญาจารย์ (สุพจน์ ปภสสโร) เจ้าอาวาสวัดราชผาติการาม ได้ถึงมรณภาพ บัดนี้เจ้าคณะภาค 1-2-3 และ 12-13 (ธรรมยุต) เสนอแต่งตั้ง พระธรรมปาโมกข์ (สุนทร สุนทราโภ) อายุ 71 พรรษา 51 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชผาติการาม และผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดราชผาติการาม ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดราชผาติการาม และ มส.ยังได้เห็นชอบการเสนอแต่งตั้ง พระครูกิตติสารสุมณฑ์ (สุพัฒน์) ฉายา สุวฑโฒ อายุ 62 พรรษา 31 วัดศรีสุทธาวาส ต.กุดป่อง อ.เมืองเลย จ.เลย ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดเลย (ธรรมยุต)

รวมไปถึงยังได้เห็นชอบกรณี พระพรหมสุธี เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ในฐานะประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ เสนอขอแต่งตั้งพระธรรมทูตสายประเทศอังกฤษที่ว่างลง เนื่องจาก พระมหาประเสริฐ ฐิตคุโณ ได้ขอลาออกจากตำแหน่งพระธรรมทูต จึงได้แต่งตั้ง พระมหาภาสกรณ์ ฉายา ปิโยภาโส ป.ธ.9 วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เขตพระนคร


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ






วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

30 สิงหา งานใหญ่!! สมเด็จฯ วางศิลาฤกษ์ "อาคารหลวงพี่น้ำฝน"


โรงเรียนอนุบาลนครปฐม
ปัจจุบันตั้งอยู่ที่เลขที่ ๙๙ ถ.เทศา ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม เป็นโรงเรียนรัฐบาล จัดการศึกษาเป็น ๒ รูปแบบ คือ ๑.จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ภาคปกติ) ชั้นอนุบาล ๑-ชั้น ป.๖ และ ๒. จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ ชั้นอนุบาล ๓ ขวบ ถึงชั้น ป.๖ มีนักเรียนทั้งสิ้น ๒,๓๓๘ คน มีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน ๑๖๑ คน โดยมี นายสาธิต นะวาระ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลนครปฐม และ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม และกรรมการสถานศึกษาร่วมบริหารจัดการศึกษา

ล่าสุดได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียนโรงเรียนอนุบาลนครปฐม ลักษณะเป็นอาคารคอนกรีต ๔ ชั้น ขนาด ๒๔ ห้อง วงเงินที่ได้รับจัดสรรจากรัฐบาลจำนวน ๒๑,๗๑๘,๐๐๐ บาท แต่การก่อสร้างอาคารเรียนนี้ ต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น ๗,๖๗๘,๐๐๐ บาท โดยต้องระดมทุนบริจาคสมทบเพิ่มเติมอีก ๖,๐๐๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยมี นายสาธิต พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ และกรรมการสถานศึกษาเป็นประธานในการดำเนินการหาเงินบริจาคเพื่อสมทบการก่อสร้างอาคารเรียนจำนวนดังกล่าว ที่สำคัญการก่อสร้างอาคารเรียนใช้ระยะเวลาทำงานทั้งสิ้น ๔๙๕ วัน คาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์และพร้อมใช้งาน พ.ศ.๒๕๕๘ เพื่อประโยชน์ในทางการศึกษาของเด็กๆ เยาวชนไทยสืบต่อไป


ในการนี้ได้กราบอาราธนานิมนต์ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กทม. และท่านเจ้าประคุณได้เมตตารับเป็นองค์ประธานวางศิลาฤกษ์ อาคารเรียน “พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน” ณ โรงเรียนอนุบาลนครปฐม ในวันเสาร์ที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๗ เวลา ๑๔.๐๙ น. พร้อมด้วยพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ เจริญชัยมงคลคาถา เช่น 

พระพรหมสุธี กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค ๑๒ วัดสระเกศ กทม. 
- พระพรหมมุนี กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค ๑๔-๑๕ ธรรมยุต วัดราชบพิธ กทม. 
- พระพรหมดิลก กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร วัดสามพระยา กทม. 
- พระธรรมปริยัติเวที เจ้าคณะภาค ๑๕ วัดพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม 
- พระเทพสุธี เจ้าคณะภาค ๑๔ วัดนิมมานรดี กทม.
- พระราชธรรมาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดสมุทรปราการ วัดกลางวรวิหาร จ.สมุทรปราการ 
- พระราชวิริยาลังการ รองเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม วัดไร่ขิง จ.นครปฐม เป็นต้น

ทั้งนี้ มีกำหนดการพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารเรียน “พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน” (ตอกเข็ม) เวลา ๑๒.๐๐ น. คณะสงฆ์ คณะกรรมการสถานศึกษา คณะผู้บริหาร คณะครู ผู้ปกครองนักเรียน และแขกผู้มีเกียรติพร้อมกัน ณ บริเวณพิธี เวลา ๑๒.๑๙ น. พิธีบวงสรวง ประธานในพิธีจุดเทียนชัย จุดเทียนเครื่องบายศรี และจุดเทียนขันน้ำมนต์ จุดธูปบูชา พราหมณ์อ่านคำบวงสรวง ประธานกล่าวคำส่งเทวดา โปรยข้าวตอกดอกไม้

เวลา ๑๔.๐๐ น. พิธีวางศิลาฤกษ์ พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป พร้อมบริเวณพิธี สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ประธานในพิธี เดินทางถึงบริเวณพิธี

พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน และ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลนครปฐม ถวายเครื่องสักการะ ประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล สงฆ์ให้ศีล จุดธูปเทียนบูชาฤกษ์ ผู้อำนวยการกล่าวรายงาน พิธีประทานเกียรติบัตร ประธานเจิมแผ่นศิลาฤกษ์ วางศิลาฤกษ์ พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา อนุโมทนา เสร็จพิธี จึงเรียญเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมงานอย่างพร้อมเพรียงกัน


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ปลัดขิก ศิลปะแห่งเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์

ปลัดขิก หรือ ขุนเพ็ด จัดเป็นเครื่องรางของขลังที่ได้รับความนิยมของคนไทย ปลัดขิกส่วนมากแกะสลักมาจากไม้ที่เชื่อกันว่าเป็นไม้มงคล หรือบางทีอาจทำจาก หิน ทองเหลือง ทองแดง กัลปังหา เขา งา เขี้ยวของสัตว์ แกะสลักเป็นรูปร่างเหมือนอวัยวะเพศชายแต่ไม่มีหนังหุ้มปลายอวัยวะ มีขนาดต่าง ๆ กัน เมื่อทำการแกะสลักแล้วก่อนนำมาบูชาเป็นเครื่องรางของขลังจะต้องทำการปลุกเสกโดยผู้มีความรู้ด้านไสยศาสตร์ หรือ พระเกจิอาจารย์ผู้เรืองวิทยาคม

ส่วนชื่อเรียก ปลัดขิก ไม่ปรากฏชัดว่าเหตุใดจึงเรียกเช่นนั้น ส่วนคำว่า ปลัด หมายถึง ตำแหน่งรองจากตำแหน่งที่เหนือกว่า หรือสันนิษฐานว่าพ้องเสียงมาจากคำว่า ปราศวะ ในภาษาสันสกฤต แปลว่าเคียงข้าง เนื่องจากผู้บูชาปลัดขิกนิยมแขวนไว้ที่เอว หรือหากเป็นเด็กจะแขวนที่คอ

ในประเทศไทยไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเริ่มมีการแพร่หลายตั้งแต่สมัยใด แต่ ปลัดขิก ในความเชื่อของคนไทยนั้น มีความแแตกต่างจาก ศิวลึงค์ ของชาวฮินดู เนื่องจากปลัดขิกที่คนไทยนำมาบูชานั้นสร้างขึ้นจากผู้มีวิชาความรู้ด้านไสยศาสตร์และทำการปลุกเสกเพื่อให้เป็นเครื่องรางของขลัง โดยในสมัยโบราณคนไทยนิยมห้อยปลัดขิกไว้กับเอว หรือห้อยคอสำหรับเด็กผู้ชาย ซึ่งการทำเช่นนี้เพราะมีความเชื่อว่า หากมีปลัดขิกติดตัวจะช่วยป้องกันอันตรายต่างๆได้ หรือบางคนนำมาบูชาไว้กับสถานประกอบการค้าขายเพราะเชื่อว่าจะทำให้ค้าขายมีกำไรมีคนอุดหนุนกิจการมากยิ่งขึ้น 

นอกจากนี้ ปลัดขิก ยังถูกมองว่าเป็นงานศิลปะชนิดหนึ่ง เพราะมีการแกะสลักเป็นรูปลิง หรือรูปร่างหญิงเปลือยกาย ซึ่งล้วนแต่มีความเชื่อเจือปนอยู่ด้วยเสมอ เช่น ลิงอาจหมายถึงความคล่องแคล่ว , หญิง อาจหมายถึงเสน่ห์ 

พระเกจิอาจารย์ผู้เรืองวิทยาคมแห่งสยามหลายรูป นิยมสร้างเครื่องรางชนิดนี้กันอย่างแพร่หลาย บ้างก็ลงอักขระเลขยันต์ เช่น อะ อุ มะ หรือ โอม อันเป็นการสรรเสริญ พระพรหม พระวิษณุ และ พระศิวะ ในศาสนาฮินดู บ้างก็จารจารึกอักขระศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ โดยพระเกจิอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงทางด้านการสร้างปลัดขิกก็คือ หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก จ.ฉะเชิงเทรา หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ จ.ชลบุรี หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส จันทบุรี และ หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก เป็นต้น


*************************

เรื่องโดย : ทีมข่าวมงคลพระ
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ







หลวงพ่อเสงี่ยม อาริโย พระนักพัฒนา แห่ง วัดห้วยจระเข้


วัดห้วยจระเข้ ตั้งอยู่เลขที่ ๔๔๗ ถ.พิพิธประสาท ด้านหน้าวัดใกล้คลองเจดีย์บูชา ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม เดิมมีชื่อวัดว่า วัดนาคโชติการาม ต่อมาเปลี่ยนเป็น วัดใหม่ห้วยจระเข้ ปัจจุบันได้ชื่อเป็นทางการว่า วัดห้วยจระเข้ เจ้าอาวาสรูปแรกของวัดคือ หลวงปู่นาค โชติโก (พระครูปัจฉิมทิศบริหาร) ท่านเป็นผู้สร้างวัดนี้ให้เป็นวัดบริวารขององค์พระปฐมเจดีย์ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ปัจจุบันมี พระครูทักษิณานุกิจ อายุ ๙๐ ปี หรือ หลวงพ่อเสงี่ยม อาริโย เป็นเจ้าอาวาส

"เสงี่ยม แขวงอินทร์" เป็นชื่อและสกุลเดิมของหลวงพ่อเสงี่ยม เกิดวันอาทิตย์ที่ ๑ กันยายน พ.ศ.๒๔๖๗ ปี ชวด บิดาชื่อพุ่ม มารดาชื่อทอง ที่บ้านเลขที่ ๑ หมู่ ๓ ต.กลอนโด อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี ก่อนบวชเป็นตำรวจขบวนการเสรีไทย

บรรพชา-อุปสมบท เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๒ ณ วัดหนองสองห้อง ต.หนองสองห้อง อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร โดยมี พระครูธรรมสาพิศ (หลวงพ่อแม้น) วัดใหญ่โพธิหัก เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระอาจารย์แม้น วัดใหญ่โพธิหัก เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อบวชแล้วได้เรียนตำราอาคมตำรับตำราอักษรเลขยันต์กับหลวงพ่อสาย อยู่ ๒ ปี จากนั้นย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่ วัดพระงาม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม เพื่อศึกษาต่อภาษาบาลี ซึ่งหลวงพ่อเป็นนักเรียนบาลีรุ่นแรกของโรงเรียนสหศึกษาบาลี เป็นโรงเรียนบาลีของคณะสงฆ์จังหวัดนครปฐม หลวงพ่อได้ศึกษาพระบาลีจนสอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค จากนั้นเป็นครูสอนภาษาบาลี ตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๔๙๙-๒๕๒๗ รวม ๒๘ ปี และพ.ศ.๒๕๒๗ ก็ได้ย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดห้วยจระเข้ ซึ่ง หลวงปู่ล้ง เป็นเจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์

หลวงพ่อเสงี่ยมได้ศึกษาพระบาลีจนสอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค จากนั้นเป็นครูสอนภาษาบาลีตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๙ -๒๕๒๗ รวม ๒๘ ปี และเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๗ ก็ได้ย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดห้วยจระเข้ ซึ่งมีหลวงปู่ล้ง เป็นเจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์

เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูรักษาองค์พระปฐมเจดีย์ ในราชทินนามพระครูทักษิณานุกิจ พ.ศ.๒๕๐๗ เป็นพระธรรมทูตประจำอำเภอเมือง นครปฐม พ.ศ.๒๕๑๘ เป็นรองเจ้าคณะอำเภอเมืองนคร ปฐม พ.ศ.๒๕๑๙ เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ.๒๕๒๗ เป็นเจ้าอาวาสวัดห้วยจระเข้ พ.ศ.๒๕๒๘-ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการโครงการบรรพชาสามเณรหมู่ภาคฤดูร้อน มีเด็กเข้ามาบวชปีละประมาณ ๑๕๐ คน

พ.ศ.๒๕๓๖ เป็นประธานศูนย์เผยแผ่พระพุทธศาสนาประจำจังหวัดนครปฐม พ.ศ.๒๕๓๗ เป็นผู้อำนวยการศูนย์สงเคราะห์พุทธมามกะ วัดห้วยจระเข้ พ.ศ.๒๕๔๐ เป็นพระวินยาธิการประจำอำเภอเมืองนครปฐม พ.ศ.๒๕๔๑ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสานาวันอาทิตย์ พ.ศ.๒๕๔๒ เป็นประธานหน่วยอบรมประชาชนประจำ ตำบลพระปฐมเจดีย์ พ.ศ.๒๕๔๔ เป็นเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดนครปฐม แห่งที่ ๒ วัดห้วยจระเข้ พ.ศ.๒๕๔๗ เป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม พ.ศ.๒๕๔๙ เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม

ทุกวันนี้แม้วัยจะล่วงเลยมาถึง ๙๐ ปี แต่หลวงพ่อเสงี่ยมยังคงดำเนินชีวิตดุจเดิมด้วยความมักน้อย สันโดษ ไม่ยินดียินร้ายในลาภสักการะทั้งหลายทั้งปวง เคร่งครัดในศีลาจารวัตร ทำให้เป็นที่เคารพนับถือของศิษยานุศิษย์ตลอดจนพุทธศาสนิกชนทั่วไป


หลวงพ่อเสงี่ยม เป็นพระนักปกครอง นักเผยแผ่พระพุทธศาสนา หลังจากจำพรรษาครองวัดห้วยจระเข้ ได้พัฒนาวัดห้วยจระเข้ ทั้งในด้านศาสนวัตถุ กุฏิสงฆ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ถนนพื้นภายในวัดให้เจริญเรียบร้อยดูสวยงามร่มรื่นสะอาดตา ท่านพัฒนาวัดจนวัดห้วยจระเข้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๙ และเป็นวัดพัฒนาที่มีผลงานดีเด่น เมื่อพ.ศ.๒๕๔๓

ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านเป็นประธานศูนย์เผยแผ่พระพุทธศาสนาประจำจังหวัดนครปฐม เป็นนักเทศน์ที่มีฝีปากกล้าสำนวนโวหารเป็นที่ไพเราะจับหูผู้ฟัง ตอนเช้ามืดเวลาประมาณ ๐๕.๐๐ น. ท่านจะบรรยายธรรมตามสายเครื่องกระจายเสียงของวัดทุกวัน ถ้าวันใดท่านไม่ได้พูดธรรมะ โยมที่ฟังประจำจะมาถามว่าท่านป่วยหรือเปล่า ทำไมเมื่อเช้ามืดไม่พูดธรรมะ

นอกจากนี้แล้วหลวงพ่อเสงี่ยมท่านเคร่งครัดกฎระเบียบและพระธรรมวินัยมาก ท่านจะสอนให้พระเณรฟังเสมอเรื่องข้อวัตรปฏิบัติของพระภิกษุ-สามเณร เรื่องกฎระเบียบพระธรรมวินัยแล้ว ยังสอนพระภิกษุ-สามเณรเป็นประจำ ว่ารู้จักหน้าที่ทำตามหน้าที่จะเกิดศักดิ์ศรีทั้งทางโลกและทางธรรม อีกทั้งยังได้สนับสนุนการศึกษาของคณะสงฆ์ทุกระดับ ทำให้วัดห้วยจระเข้มีพระมหาเปรียญธรรม ๙ ประโยค และประโยคอื่นๆ หลายรูป ที่ผ่านมาท่านได้ส่งพระสงฆ์ไปเรียนระดับปริญญาตรี-โท-เอกจำนวนมาก

การปฏิบัติธรรมหลวงพ่อเสงี่ยมจะให้การสนับสนุนมาโดยตลอด นำผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมเองทุกครั้ง แต่ละปีมีนักเรียนและประชาชนทั่วไปเข้าปฏิบัติปีละประมาณ ๑,๕๐๐ คน ถือได้ว่าท่านได้ทำงานของพระศาสนาครบถ้วนสมบูรณ์แบบ แม้ปัจจุบันตัวท่านจะมีพรรษายุกาลมากแล้วก็ตาม ท่านก็ไม่เคยละทิ้งหน้าที่ของความเป็นพระลงทำวัตรสวดมนต์ตอนตีสี่ และเช้า-เย็นทุกวัน เทศน์สอนประชาชนทุกวันพระ

หลวงพ่อเสงี่ยม ได้เรียนตำราต่างๆ ทั้งคาถาอาคมอักษรขอมมาจาก หลวงพ่อสาย วัดหนองสองห้อง บ้านแพ้ว ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่าน จากนั้นได้เรียนคาถาอาคมพร้อมทั้งการสร้าง พระปิดตาเนื้อเมฆพัด กับพระครูอุตตรการบดี หรือ หลวงปู่ล้ง เลมิกุล อดีตเจ้าอาวาสวัดห้วยจระเข้ ซึ่งหลวงปู่ล้งก็ได้เรียนการดำน้ำจารอักขระบนองค์พระปิดตาเนื้อเมฆพัดรุ่นแรกของท่านเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๗ พระรุ่นนี้ก็เป็นที่นิยมของนักสะสมทั่วไป

หลวงพ่อเสงี่ยม กล่าวปรารภว่า "ตำราคาถาของวัดและสำนักต่างๆ ในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่สืบทอดมาจากของเดิมที่ครูบาอาจารย์ในอดีตถ่ายทอด แต่เหนือสิ่งอื่นใดจิตต้องนิ่งเป็นสมาธิคาถาจึงมีความเข้มขลัง ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาส ถ้าจิตนิ่งเป็นสมาธิ บริกรรมคาถาบทใดก็เข้มขลัง ที่ขาดไม่ได้คือ ต้องตั้งอยู่ในศีลมั่นอยู่ในธรรม"

ปัจจุบัน พระปิดตา ๒๗ สนนราคาเล่นหากันองค์ละเป็นหมื่น พระปิดตาเนื้อเมฆพัดแต่ละรุ่นที่ท่านได้สร้างตามตำรับของ หลวงปู่นาค อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง อดีตเจ้าอาวาสวัดห้วยจระเข้ทุกอย่าง แม้กระทั่งเนื้อพิมพ์ และ การลงอักขระเลขยันต์ หลวงพ่อเสงี่ยมจะพิถีพิถันในการจัดสร้าง ทำให้พระปิดตาของท่านแต่ละรุ่นมีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก

ในโอกาสที่หลวงพ่อมีอายุครบ ๙๐ ปี หลวงพ่อได้จัดสร้าง พระกริ่ง พระชัยวัฒน์ รุ่นอาริโย ๙๐ จัดสร้างตามแบบพระกริ่งของวัดสุทัศน์ให้แก่ท่านที่สนใจมีไว้บูชา กำหนดเททองหล่อพระกริ่งพระชัยวัฒน์ ใน วันจันทร์ที่ ๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๗ เวลา ๑๐.๐๙ น. โดยมีท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังราช ประธานเททอง ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของท่าน คณะศิษย์ได้จัดงานทำบุญถวายมุทิตาสักการะให้หลวงพ่อ ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์สามเณร จำนวน ๒๐๐ รูป มอบทุนการศึกษาให้เด็กนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในวันดังกล่าวด้วย เพื่อที่หลวงพ่อจะได้นำปัจจัยไปบูรณะซ่อมแซมเมรุเผาศพต่อไป และในวันนั้นหลวงพ่อได้มีเมตตาแจกพระชัยวัฒน์ เนื้อเงินยวง จำนวน ๙๙๙ องค์เท่านั้น ให้ผู้ที่มาร่วมงาน สนใจติดต่อสอบถามที่ โทร.๐๘-๕๐๗๖-๐๙๗๔


*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ