อาตมาเฉลยจากใจ มอบ ………. ให้ เอาไปเลย
เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน พบกันอีกเช่นเคยกับ “คอลัมน์ จุดไฟในใจคน” ที่พรั่งพร้อมไปด้วยสาระความรู้เคียงคู่คุณธรรม สำหรับสาระเด่นประจำสัปดาห์นี้ มีเรื่องราวเด็ดๆ มาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง โดยเฉพาะห้วงนี้ กระแสมลภาวะแดดเปรี้ยง อากาศร้อนรน เหมือนใจคนในยามนี้!!!
ต้องขอเตือนให้ญาติโยมทุกคน “ควรธรรมใจ” เนื่องเพราะ “ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่สำเร็จแล้วด้วยใจ” ฉะนั้นอย่าไปรนร้อนตามอากาศ ที่สำคัญร่างกายร้อนไม่เป็นไร แต่ใจห้ามเลียนแบบร้อนตามความรู้สึก โดยเด็ดขาด หลายคนยังไม่ได้อ่านเนื้อเรื่อง เห็นจั่วพาดหัว รู้สึกงงกับอักษรย่อคำว่า “ค. ว. ย. ห.” และต่างจินตนาการตีความกันไปต่างๆนานา อาตมาเชื่อว่า โยมพอเห็นจั่วหัวใหญ่ คงตั้งข้อฉงนสนเท่ห์ไปแล้ว กลายเป็นปมปริศนาตั้งข้อสงสัยว่า “ฉบับนี้หลวงพี่น้ำฝน จะมาไม้ไหนกันแน่”
จริงๆแล้วก็ไม่มีอะไรมาก ชนวนเหตุเกิดขึ้นเมื่อคราเขียนเรื่อง “ไซด์ไลน์ - ขายตัว - ช่วยผัว - ติดการพนัน” แฟนคอลัมน์น่าจะยังจำกันได้ดี ปรากฏว่ามีโยมท่านหนึ่ง โทร.เข้ามา ถามว่า “เรื่องที่เขียนเมคขึ้นมาเองหรือเปล่า ใช่เรื่องจริงหรือไม่”
อาตมาจึงตอบไปว่า เรื่องทุกเรื่องในคอลัมน์ จุดไฟในใจคน เป็นเรื่องจริงทุกเรื่อง ไม่มีการเขียนนิยายแต่งหรือเมคขึ้นมาแต่ประการใด เนื่องเพราะไม่มีความจำเป็น ที่จะต้องสร้างเรื่องขึ้นมาให้สมองเหนื่อย ที่สำคัญทุกวันนี้มีเรื่องเข้าคิวรอเขียนมากมาย จนเขียนไม่ทันอยู่แล้ว ส่วนใหญ่เรื่องเกือบทั้งหมดก็มาจากญาติโยมที่โทรศัพท์เข้ามาเล่าปรึกษาหารือ ขอคำชี้แนะ ทั้งสิ้น!!!
และขอยืนยันอีกครั้งว่า มีคนถามเข้ามาจริงๆ ซึ่งส่วนใหญ่อาตมาจะนำไปออกอากาศในรายการ คิดไม่ออกบอกหลวงพี่น้ำฝน ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 อีกด้วย
การโทรศัพท์เข้ามาอาตมารับเองตลอด 24 ชั่วโมง “อาตมาเน้นเปิดเผย” ที่เบอร์ 087-711-1333 และอีกส่วนหนึ่งมีตัวตนจริง เป็นพวกลูกศิษย์ลูกหา มาถามถึงที่วัดไผ่ล้อม นครปฐม
กลับมาเข้าเหตุการณ์นี้กันต่อ จากนั้นชายคนดังกล่าว ก็ได้ถามอีกว่า “เขียนแบบนี้หลวงพี่ต้องการอะไร มีผลประโยชน์อะไร เคลือบแฝงหรือไม่”
อาตมาตอบไปอีกว่า “ผลประโยชน์ของอาตมา ก็คือ การได้ช่วยเหลือผู้คน ให้พ้นจากความทุกข์ร้อน ทางกายและใจ ซึ่งประเด็นนี้ ถ้าเราคิดบวก ย่อมได้บุญมหาศาล เพราะเป็นการให้แสงสว่างแก่ผู้คน ในมุมของการดำเนินชีวิต”
และในความจริงแล้ว แก่นของบุญ ต้องเกิดจาก กาย วาจา ใจ เพื่อเป็นการช่วยเหลือคนด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีอะไรเคลือบแฝง นั่นถึงจะเรียกว่า “บุญแท้” อาตมาเป็นพระสงฆ์ที่ตรงไปตรงมา มุสาไม่รู้จัก พูดหรือเขียนอะไร ก็เน้นแต่ความจริงล้วนๆ อาตมาโกหกไม่เป็น ไปสืบประวัติอาตมาดูได้ ในชีวิตตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยพูดจาโกหกหลอกลวง
โยมบอกว่า เป็นแฟนรายการคิดไม่ออกบอกหลวงพี่น้ำฝน ทางช่อง 5 ยิ่งน่าจะเข้าใจอาตมา เพราะรายการทุกตอนที่ออนแอร์ออกไป ไม่มีสคริป ไม่มีการเตี๊ยม ไม่มีการปรุงแต่ง หรือสร้างภาพแต่ประการใด “ถามอะไรมา ก็ใส่กันตรงๆทุกครั้ง ทุกตอน”
หลวงพี่น้ำฝนของแท้ รู้กันทั้งจังหวัดนครปฐม ว่า หวานไม่เป็น เรื่องที่จะพูดโยมจ๊ะโยมจ๋า รับรองไม่เคยออกจากปากพระรูปนี้ชัวร์!?! และยิ่งถ้าเป็นแฟนพันธุ์แท้ของอาตมา พวกเขาจะรู้ดีว่า ถ้าอะไรไม่ถูกต้อง อาตมาก็ไม่ยอมเช่นกัน ถ้าอาตมาไม่แน่จริง พระเดชพระคุณพระราชรัตนมุนี เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม คงไม่ตั้งให้เป็น หัวหน้าพระวินยาธิการ (ตำรวจพระ) จังหวัดนครปฐม อย่างแน่นอน!!!
ที่ผ่านมางานเขียนหนังสือของอาตมา โยมไปสำรวจตรวจสอบย้อนหลังดูได้ อาตมาเน้นสัจธรรมความจริงล้วนๆ เจาะลึกให้แสงสว่างผู้คน ที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์ความทุกข์ โดยทุกรายล้วนเดือดเนื้อร้อนใจ ในสมองมืดแปดด้าน ถึงทางตันทั้งสิ้น โยมจงจำไว้เลยว่า แต่ละคนล้วนมีเวรกรรม ที่ไม่เหมือนกัน “ต่างกรรม ต่างวาระ” สิ่งที่เราเห็น แต่เขาอาจมองไม่เห็นเหมือนเราก็ได้??? เคยได้ยินคำว่า มืดบอดหรือไม่!!!
ชีวิตคนเราเปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน ย่อมมีความแตกต่างในคน คนเดียวกัน ที่อาจมีหลายแง่หลายเหลี่ยมมุมมอง ที่คนทั่วไปอาจสะท้อนมองไม่เห็น ซึ่งในสองด้านจะให้เหมือนกันย่อมเป็นไปได้ยากยิ่งนัก ฉะนั้นการสอนคน ต้องมีหลัก มีประสบการณ์จริง ต้องมีคุณธรรม มีความเมตตา มีความกรุณา และต้องมีตัวอย่างยกเป็นอุทาหรณ์ ถ้าไม่มีหลากสิ่งนี้ จะเป็นครูบาอาจารย์สอนคนได้เยี่ยงไร
“คนที่ถามเข้ามา อาตมาถือเป็นครู มีนัยอุทาหรณ์บทเรียนสอนใจ ได้เป็นอย่างดีเฉกเช่นเดียวกัน”
ส่วนโยมจะมองว่าอาตมาไม่ดี เป็นคนเลว อย่างไร ตรงนี้อาตมาตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของโยม ซึ่งจะเป็นเครื่องตัดสิน “ผิด ชอบ ชั่ว ดี” เพราะห้ามความคิดกันไม่ได้
อาตมาไม่มีสิทธิ์ไปก้าวล่วง หรือบอกให้โยมเชื่อตามอาตมาทุกเรื่อง “คนเราอายุน้อย อายุมากไม่สำคัญ” ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละบุคคล และการนำประสบการณ์มาบอกต่อ ถือเป็นการให้ความรู้ เป็นการสร้างบุญอีกทางหนึ่งในพุทธศาสนา
ยกตัวอย่างเช่น คนกำลังจะจมน้ำตาย เขาว่ายน้ำไม่เป็น เมื่อเราลงไปช่วยเขาให้รอดชีวิต เพราะเราว่ายน้ำเป็น ตรงนี้ก็ถือว่าได้บุญเช่นเดียวกัน ที่สำคัญเราไม่ได้หวังผลตอบแทน เราไม่ต้องการคำชม เราช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีผลประโยชน์ใดๆเคลือบแฝง อย่างนี้ถึงเรียกว่า “จริงใจ” แต่ก็ต้องขอเจริญพรอนุโมทนาขอบคุณอีกครั้ง กับคำถามข้อข้องใจ ที่โยมสงสัยในงานเขียนของอาตมา
ที่ผ่านมางานเขียนหนังสือของอาตมา โยมไปสำรวจตรวจสอบย้อนหลังดูได้ อาตมาเน้นสัจธรรมความจริงล้วนๆ เจาะลึกให้แสงสว่างผู้คน ที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์ความทุกข์ โดยทุกรายล้วนเดือดเนื้อร้อนใจ ในสมองมืดแปดด้าน ถึงทางตันทั้งสิ้น โยมจงจำไว้เลยว่า แต่ละคนล้วนมีเวรกรรม ที่ไม่เหมือนกัน “ต่างกรรม ต่างวาระ” สิ่งที่เราเห็น แต่เขาอาจมองไม่เห็นเหมือนเราก็ได้??? เคยได้ยินคำว่า มืดบอดหรือไม่!!!
ชีวิตคนเราเปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน ย่อมมีความแตกต่างในคน คนเดียวกัน ที่อาจมีหลายแง่หลายเหลี่ยมมุมมอง ที่คนทั่วไปอาจสะท้อนมองไม่เห็น ซึ่งในสองด้านจะให้เหมือนกันย่อมเป็นไปได้ยากยิ่งนัก ฉะนั้นการสอนคน ต้องมีหลัก มีประสบการณ์จริง ต้องมีคุณธรรม มีความเมตตา มีความกรุณา และต้องมีตัวอย่างยกเป็นอุทาหรณ์ ถ้าไม่มีหลากสิ่งนี้ จะเป็นครูบาอาจารย์สอนคนได้เยี่ยงไร
“คนที่ถามเข้ามา อาตมาถือเป็นครู มีนัยอุทาหรณ์บทเรียนสอนใจ ได้เป็นอย่างดีเฉกเช่นเดียวกัน”
ส่วนโยมจะมองว่าอาตมาไม่ดี เป็นคนเลว อย่างไร ตรงนี้อาตมาตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของโยม ซึ่งจะเป็นเครื่องตัดสิน “ผิด ชอบ ชั่ว ดี” เพราะห้ามความคิดกันไม่ได้
อาตมาไม่มีสิทธิ์ไปก้าวล่วง หรือบอกให้โยมเชื่อตามอาตมาทุกเรื่อง “คนเราอายุน้อย อายุมากไม่สำคัญ” ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละบุคคล และการนำประสบการณ์มาบอกต่อ ถือเป็นการให้ความรู้ เป็นการสร้างบุญอีกทางหนึ่งในพุทธศาสนา
ยกตัวอย่างเช่น คนกำลังจะจมน้ำตาย เขาว่ายน้ำไม่เป็น เมื่อเราลงไปช่วยเขาให้รอดชีวิต เพราะเราว่ายน้ำเป็น ตรงนี้ก็ถือว่าได้บุญเช่นเดียวกัน ที่สำคัญเราไม่ได้หวังผลตอบแทน เราไม่ต้องการคำชม เราช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีผลประโยชน์ใดๆเคลือบแฝง อย่างนี้ถึงเรียกว่า “จริงใจ” แต่ก็ต้องขอเจริญพรอนุโมทนาขอบคุณอีกครั้ง กับคำถามข้อข้องใจ ที่โยมสงสัยในงานเขียนของอาตมา
ด้วยกุศลเจตนา วิธีการนำเสนอเรื่องราวต่างๆของอาตมา ไม่ว่าจะสื่อด้านใดก็แล้วแต่ อาตมาเน้นความจริง และเรื่องจริงล้วนๆ นี่คือข้อสรุปของการทำงานด้านการเขียนของอาตมา
แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่อาตมาอยากจะฝากญาติโยมทุกท่าน ให้เก็บไปเป็นแง่มุมในการดำเนินชีวิต ให้จำไว้เลยว่า ทุกคนต้องมี ค.ว.ย.ห.
เริ่มต้นจากคำว่า ค. นัยความหมายของอาตมา ก็คือ “คิด” หมายถึง เมื่อเราจะเริ่มทำอะไรก็แล้วแต่ในชีวิต ต้องใช้ความคิดไตร่ตรองเป็นหลักใหญ่ใจความ “คิดให้ดีเสียก่อน” อย่างที่โบราณสอนไว้เสมอคือ “คิดก่อนทำ อย่าทำก่อนคิด” โดยก่อนที่จะลงมือกระทำงานการสิ่งใด ควรมีหัวใจที่ต้องคิด เป็นการเคลือบหรือเลี่ยมไว้ด้วยความรอบคอบเสียก่อน และที่สำคัญต้องเป็นความคิดที่ดี ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ไม่คิดทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ควรดำรงไว้ด้วยความคิดดี มีกระบวนการที่ประกอบด้วยสติปัญญา กรองระบบคิดหรือลำดับแง่คิด ให้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน สร้างกรอบแนวความคิด ด้วยการรับรู้ จากความรู้สึกที่ดี มีจิตสำนึก และมีจินตนาการทางจิตใจที่แฝงไว้ด้วยคุณธรรม จักทำให้สัมฤทธิ์ตามเป้าหมาย งานคุณภาพที่เกิดประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมอย่างแท้จริง
จากนั้นก็มาที่คำว่า ว. นัยความหมายของอาตมา ก็คือ “วิเคราะห์” หมายถึง การที่เราเมื่อคิดได้แล้ว ควรต่อยอดทางความคิดด้วยการวิเคราะห์ งานที่จะทำ ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็แล้วแต่ ต้องวิเคราะห์พิจารณา ค้นหาข้อมูลในเนื้อหาสาระ สำรวจทิศทาง ลู่ทางลม เพื่อทำความเข้าใจในแต่ละส่วน ให้แจ่มแจ้งชัดเจนขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งการสืบค้นความสัมพันธ์ของส่วนต่าง ๆ เพื่อดูว่าส่วนประกอบเหล่านั้น สามารถเข้ากันได้หรือไม่ มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร ซึ่งจะช่วยให้เกิดความเข้าใจต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะกระทำอย่างถ่องแท้ โดยพื้นฐานแล้ว การวิเคราะห์ถือเป็นทักษะที่มนุษย์ทุกคนสามารถ ฝึกได้และควรฝึกการวิเคราะห์ให้ติดเป็นนิสัย เพราะจะทำให้เกิดประโยชน์ในการทำงานทุกสรรพสิ่ง โดยไม่ประมาท และจะไม่เกิดการผิดพลาดอย่างแน่นอน
มาถึงคำว่า ย. หมายถึง “แยกแยะ” เมื่อคิดวิเคราะห์ จนสรุปได้ถึงจุดเป้าหมายแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องแบ่งงานออก ด้วยวิธีจำแนก หรือ แจกแจง ด้วยการมองและแสดงความจริง โดยแยกแยะออกให้เห็นแต่ละแง่แต่ละมุมแต่ละด้านแต่ละประเด็นให้ครบทุกแง่ทุกมุม เพื่อความรอบด้าน ครบวงจรในทุกประเด็นของเนื้อหาสาระ สานต่อให้เกิดความสำเร็จ ลงมือกระทำตามนโยบายหรือตามแผนที่กำหนดวางไว้ ตลอดจนสังเคราะห์เรื่องทั้งหมดให้จบบริบูรณ์
สุดท้ายมาถึงคำว่า ห. หมายถึง “เหตุผล” เมื่อ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ก็ควรต้องมีเหตุผล เพราะคนเรานั้นเมื่อคิดจะทำอะไรก็แล้วแต่ในชีวิต หรือการอยู่บนโลกใบนี้ ควรต้องอยู่ภายใต้เหตุผล ซึ่งเป็นที่ยอมรับของผู้คน เป็นหลักสากล ฉะนั้นคนเราจะดำเนินชีวิตเหนือเหตุผลไม่ได้ เพราะนั่นหมายถึงเราตะแบง ไม่สนใจใคร ข้าอยู่คนเดียว ข้ามาคนเดียว ไม่ฟังใคร
บทสุดท้ายในการเรียนรู้ชีวิตมนุษย์ ก็คือการดำรงด้วยกันอย่างสันติสุขในสังคมอย่างมีเหตุผล รับฟังเหตุผล ซึ่งกันและกัน ด้วยความเป็นประชาธิปไตย ประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ สรุปได้ว่า เหตุผลคือทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ล้วนมีความเกี่ยวข้องกันอยู่ทั้งสิ้น ไม่มากก็น้อย ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม
สรุปก็คือ อาตมาเน้นหลัก ค.ว.ย.ห. คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ภายใต้เหตุผล รับรองได้เลยว่า ใครก็ตามที่มีหลัก 4 อย่างนี้ ชีวิตไม่พังสลาย ไม่ฉิบหาย ตายไปจากความดี มีศีล สมาธิ สติปัญญา ไม่ต้องไปยกธรรมะข้อไหนมาอ้างอิง เพราะนี่ก็คือธรรมะเชิงรุกสไตล์ของอาตมาหลวงพี่น้ำฝน ของแท้!!!
อาตมาขอให้ญาติโยมทุกท่าน ตั้งอยู่ด้วยการมีสติ ควรมองลึกไปถึงนัยยะ ทางพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจ 4 คือความจริงอันประเสริฐ อันเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ซึ่งหลักธรรมข้อปฏิบัติทุก ๆข้อ ล้วนเกิดจากการคิดสอบสวนค้นคว้า และการลงมือปฏิบัติอบรมให้เกิดปัญญา นอกจากนั้น พระพุทธศาสนายังสอนให้ถือธรรมะ คือความถูกต้อง ตรงกับความจริงเป็นใหญ่ ที่สำคัญพระพุทธเจ้าท่านไม่ให้ถือตนนั่นเอง ขอเจริญพร
แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่อาตมาอยากจะฝากญาติโยมทุกท่าน ให้เก็บไปเป็นแง่มุมในการดำเนินชีวิต ให้จำไว้เลยว่า ทุกคนต้องมี ค.ว.ย.ห.
เริ่มต้นจากคำว่า ค. นัยความหมายของอาตมา ก็คือ “คิด” หมายถึง เมื่อเราจะเริ่มทำอะไรก็แล้วแต่ในชีวิต ต้องใช้ความคิดไตร่ตรองเป็นหลักใหญ่ใจความ “คิดให้ดีเสียก่อน” อย่างที่โบราณสอนไว้เสมอคือ “คิดก่อนทำ อย่าทำก่อนคิด” โดยก่อนที่จะลงมือกระทำงานการสิ่งใด ควรมีหัวใจที่ต้องคิด เป็นการเคลือบหรือเลี่ยมไว้ด้วยความรอบคอบเสียก่อน และที่สำคัญต้องเป็นความคิดที่ดี ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ไม่คิดทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ควรดำรงไว้ด้วยความคิดดี มีกระบวนการที่ประกอบด้วยสติปัญญา กรองระบบคิดหรือลำดับแง่คิด ให้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน สร้างกรอบแนวความคิด ด้วยการรับรู้ จากความรู้สึกที่ดี มีจิตสำนึก และมีจินตนาการทางจิตใจที่แฝงไว้ด้วยคุณธรรม จักทำให้สัมฤทธิ์ตามเป้าหมาย งานคุณภาพที่เกิดประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมอย่างแท้จริง
จากนั้นก็มาที่คำว่า ว. นัยความหมายของอาตมา ก็คือ “วิเคราะห์” หมายถึง การที่เราเมื่อคิดได้แล้ว ควรต่อยอดทางความคิดด้วยการวิเคราะห์ งานที่จะทำ ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็แล้วแต่ ต้องวิเคราะห์พิจารณา ค้นหาข้อมูลในเนื้อหาสาระ สำรวจทิศทาง ลู่ทางลม เพื่อทำความเข้าใจในแต่ละส่วน ให้แจ่มแจ้งชัดเจนขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งการสืบค้นความสัมพันธ์ของส่วนต่าง ๆ เพื่อดูว่าส่วนประกอบเหล่านั้น สามารถเข้ากันได้หรือไม่ มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร ซึ่งจะช่วยให้เกิดความเข้าใจต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะกระทำอย่างถ่องแท้ โดยพื้นฐานแล้ว การวิเคราะห์ถือเป็นทักษะที่มนุษย์ทุกคนสามารถ ฝึกได้และควรฝึกการวิเคราะห์ให้ติดเป็นนิสัย เพราะจะทำให้เกิดประโยชน์ในการทำงานทุกสรรพสิ่ง โดยไม่ประมาท และจะไม่เกิดการผิดพลาดอย่างแน่นอน
มาถึงคำว่า ย. หมายถึง “แยกแยะ” เมื่อคิดวิเคราะห์ จนสรุปได้ถึงจุดเป้าหมายแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องแบ่งงานออก ด้วยวิธีจำแนก หรือ แจกแจง ด้วยการมองและแสดงความจริง โดยแยกแยะออกให้เห็นแต่ละแง่แต่ละมุมแต่ละด้านแต่ละประเด็นให้ครบทุกแง่ทุกมุม เพื่อความรอบด้าน ครบวงจรในทุกประเด็นของเนื้อหาสาระ สานต่อให้เกิดความสำเร็จ ลงมือกระทำตามนโยบายหรือตามแผนที่กำหนดวางไว้ ตลอดจนสังเคราะห์เรื่องทั้งหมดให้จบบริบูรณ์
สุดท้ายมาถึงคำว่า ห. หมายถึง “เหตุผล” เมื่อ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ก็ควรต้องมีเหตุผล เพราะคนเรานั้นเมื่อคิดจะทำอะไรก็แล้วแต่ในชีวิต หรือการอยู่บนโลกใบนี้ ควรต้องอยู่ภายใต้เหตุผล ซึ่งเป็นที่ยอมรับของผู้คน เป็นหลักสากล ฉะนั้นคนเราจะดำเนินชีวิตเหนือเหตุผลไม่ได้ เพราะนั่นหมายถึงเราตะแบง ไม่สนใจใคร ข้าอยู่คนเดียว ข้ามาคนเดียว ไม่ฟังใคร
บทสุดท้ายในการเรียนรู้ชีวิตมนุษย์ ก็คือการดำรงด้วยกันอย่างสันติสุขในสังคมอย่างมีเหตุผล รับฟังเหตุผล ซึ่งกันและกัน ด้วยความเป็นประชาธิปไตย ประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ สรุปได้ว่า เหตุผลคือทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ล้วนมีความเกี่ยวข้องกันอยู่ทั้งสิ้น ไม่มากก็น้อย ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม
สรุปก็คือ อาตมาเน้นหลัก ค.ว.ย.ห. คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ภายใต้เหตุผล รับรองได้เลยว่า ใครก็ตามที่มีหลัก 4 อย่างนี้ ชีวิตไม่พังสลาย ไม่ฉิบหาย ตายไปจากความดี มีศีล สมาธิ สติปัญญา ไม่ต้องไปยกธรรมะข้อไหนมาอ้างอิง เพราะนี่ก็คือธรรมะเชิงรุกสไตล์ของอาตมาหลวงพี่น้ำฝน ของแท้!!!
อาตมาขอให้ญาติโยมทุกท่าน ตั้งอยู่ด้วยการมีสติ ควรมองลึกไปถึงนัยยะ ทางพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจ 4 คือความจริงอันประเสริฐ อันเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ซึ่งหลักธรรมข้อปฏิบัติทุก ๆข้อ ล้วนเกิดจากการคิดสอบสวนค้นคว้า และการลงมือปฏิบัติอบรมให้เกิดปัญญา นอกจากนั้น พระพุทธศาสนายังสอนให้ถือธรรมะ คือความถูกต้อง ตรงกับความจริงเป็นใหญ่ ที่สำคัญพระพุทธเจ้าท่านไม่ให้ถือตนนั่นเอง ขอเจริญพร
*************************
เรื่องโดย : พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน)
เรียบเรียงโดย : บก.ไก่ วีรพล และทีมงานมงคลพระ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น