วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

จุดไฟในใจคน : ผัวแก่เตะปี๊บไม่ดัง


“ผัวแก่เตะปี๊บไม่ดัง” เธอปันใจไปกินเด็ก!!! 

อุทาหรณ์ เงินกับรักแท้ แพ้กิเลสเรื่องบนเตียง

เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สัปดาห์นี้มีเรื่อง “ผัวๆเมียเมีย” เข้ามาอีกแล้วเหมือนเดิม โดยเฉพาะเรื่อง “ครอบครัว” ยังคงเป็นเรื่องใหญ่เสมอ สำหรับชีวิตมนุษย์อย่างเราๆท่านท่าน!!!

พลันที่กำลังนั่งปั่นต้นฉบับอยู่เพลินๆ อาตมาได้รับโทรศัพท์จากโยมสีกาท่านหนึ่ง เสียงประหนึ่งว่าเธอกำลังมีเรื่องทุกข์ร้อนใจขนานหนัก... เธอย้ำไม่สามารถบอกให้ใครรู้ได้... แต่สุดท้าย โยมก็เลยตัดสินใจโทรศัพท์เข้ามาหาอาตมา แล้วกรุณาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ด้วยมุ่งหวังต้องการให้อาตมาหาทางออกให้!!!

กราบนมัสการค่ะหลวงพี่ เวลานี้ หนูรู้สึกกังวลใจ “อยากฆ่าตัวตาย” 
อ้าวทำไมโยมถึงอยากฆ่าตัวตาย มันร้ายแรงมากเลยหรือ???

เรื่องราวมันเป็นอย่างนี้ค่ะหลวงพี่ หนูเป็นสาวอายุยังไม่มาก เพียง 30 กว่าๆเท่านั้น... ส่วนสามีหนูเค้าอายุ 60 กว่าปีแล้วค่ะ พูดง่ายๆหนูได้ผัวแก่ค่ะหลวงพี่!!!

แต่ถึงเขาจะอายุมาก แต่ก็นิสัยดี ใจดี มีเงิน เลี้ยงดูหนูอย่างดี สามีให้หนูทุกอย่าง หนูต้องการอะไร เขาก็หามาประเคนให้ เขารักหนูมาก เรียกว่าทั้งรักและหลง เลยก็ว่าได้ค่ะ

ก็ดีอยู่แล้วนี่โยม “ความรักเป็นเรื่องบริสุทธิ์” แสดงว่าโยมต้องมีความดี ความเด่น อยู่ในตัวตน แสดงว่าโยมมีรูปเป็นทรัพย์ นี่ก็ถือเป็นความโชคดีอีกประการหนึ่งของมนุษย์ ที่ครองเพศฆราวาส

“ก็จะไม่ให้รักได้ยังไงล่ะค่ะ ก็หนูทั้งสวยและหน้าตาดี แถมอายุยังน้อยอยู่”

แรกๆอยู่ด้วยกัน 4-5 ปี ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ หนูทำหน้าที่ภรรยาอย่างไม่ด่างพร้อย แต่มันมีอยู่ปัญหาหนึ่ง ที่ไม่ทราบว่าจะบอกหลวงพี่ดีหรือไม่???

เล่ามาเถอะโยม พระฟังได้... เพราะถึงอย่างไร เรื่องทั้งหมดของฆราวาส มันก็ล้วนเป็นเรื่องของธรรมชาติทั้งสิ้น

มันคือเรื่องบนเตียงของสามีหนูค่ะ เขาค่อนข้างบกพร่อง ไม่สมบูรณ์เท่าที่ควรค่ะ ยิ่งนานวันหนูเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย และเริ่มเหงา หนูไม่กล้าบอกเขาว่าจริงๆแล้ว เรื่องนี้มันก็สำคัญกับหนูมากพอสมควร เพราะทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกัน หนูเริ่มไม่มีความสุข อย่างที่หนูต้องการ หลังๆมานี่ หนูยอมรับค่ะหลวงพี่ หนูไปคบกับเด็กหนุ่มคนใหม่ ทั้งหล่อ หน้าตาดี ผิวขาว หุ่นดี และเรื่องนั้น น้องเค้าก็ยังสมบูรณ์แบบ สมชายชาตรีจริงๆ หนูอยากจะถามหลวงพี่ว่า สิ่งที่หนูคิดและทำลงไปแบบนี้ มันผิดหรือไม่ และสมควรจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรดี ตอนนี้หนูมึนมากเลยค่ะ หนูรู้สึกเครียด “อยากฆ่าตัวตาย” อยากหนีปัญหาทั้งหมด อยากหนีไปจากโลกนี้

และที่สำคัญทุกวันนี้ สามีแก่ของหนู เค้ายังไม่ทราบเรื่องราวทั้งหมด ที่หนูแอบไปมีกิ๊ก???

ใจเย็นๆโยม คนเรามีสิทธิ์ทำผิดพลาดกันได้ ทุกปัญหาแก้ได้ แต่ต้องค่อยๆแก้ทีละปม ต้องใช้ “ศีล สมาธิ ปัญญา” อย่าใช้อารมณ์โดยเด็ดขาด

ในเบื้องต้น สิ่งที่อาตมาอยากจะแนะนำนั่นก็คือ มองในความดีของสามีเราก่อน ถึงเขาจะแก่ แต่ก็มิได้เลว หรือบกพร่องตรงไหน

ความแก่เป็นเรื่องธรรมชาติ ทุกคนต้องมี “เกิด แก่ เจ็บ ตาย” เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ

ถึงแม้ตัวโยมเอง ต่อไปก็ต้องแก่เช่นเดียวกัน โยมจงจำไว้เลยว่า โยมโชคดีที่สุดแล้ว ที่ได้เกิดมา พบกับสามีแก่คนนี้ เพราะผู้ชายดีๆนั้นหายาก เมื่อเจอคนดี ก็ควรรักษาไว้ ไม่ควรทอดทิ้ง และที่โยมทุกข์ เพราะไปยึดติดกับสิ่งที่ปรากฏทางตา ทำให้หลงลืมสติ แทนที่จะกลับมาระลึกอยู่ที่กาย ที่ใจเรา

และที่โยมทุกข์ เพราะยึดติดกิเลส ใจเป็นอกุศลหลงลืมสติ ควรศึกษาสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพื่อการรู้ตามความเป็นจริง และการที่โยมไปติดยึดกับผู้ชายหล่อๆ เซ็กซี่แบบเด็กๆ เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่ฉันทราคะ ความยินดีพอใจด้วยโลภะ ต่างหากเป็นสิ่งที่เลวร้าย

ตัวอารมณ์ที่เห็นทางตาไม่ได้เลวร้าย เพราะสิ่งที่ปรากฏทางตากำลังปรากฏ เป็นเพียงรูปธรรม ซึ่งเป็นสภาพที่ไม่รู้อารมณ์เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ต่างจากขณะเห็นซากศพ

แต่เพราะความไม่รู้ว่า ไม่มีผู้ชายหล่อๆ เซ็กซี่แบบเด็ก ซึ่งเป็นเพียงบัญญัติอารมณ์ จึงเป็นธรรมดาที่กิเลสก็ต้องเกิด เพราะยังไม่มีเหตุปัจจัยเพียงพอที่จะเห็นโทษของความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน

ฉะนั้นมีหนทางเดียว คือ การอบรมเจริญสติปัฏฐาน จนกว่าสติปัฏฐานจะเกิดสมบูรณ์ จนปัญญาสามารถดับกิเลส คือ กามราคะ ความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสด้วยโลภะ จนดับไม่กลับมาเกิดอีก!!!

ฉะนั้นเมื่อดึงสติกลับมาได้แล้ว โยมก็ควรกตัญญูกตเวทีต่อสามีตนเอง ด้วยการกลับเนื้อกลับตัวเสียใหม่ หันมาทำหน้าที่ภรรยาที่ดี ดูแลเขา อย่าให้ขาดตกบกพร่อง ควรเป็นแม่ศรีเรือน เป็นกุลสตรี

อย่าเอาเรื่องบนเตียงมาเป็นสาระสำคัญในการดำเนินชีวิต มนุษย์เรามีกิจกรรมอื่นๆให้แสวงหาความสุขได้มากมาย อย่างเช่น อ่านหนังสือ เล่นกีฬา ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรม ดูหนัง ฟังเพลง.....

ถ้าโยมลืมเรื่องบนเตียงลงได้บ้าง โยมจะรู้สึกได้เลยว่า ตัวเราจะเบา ไม่หนัก สมองโล่ง ทำอะไรก็คล่องตัว สุขภาพแข็งแรง หน้าตาสดใส สมองดีขึ้น

“พอลืมเรื่องกิเลสบนเตียงได้สนิทใจ ชีวิตครอบครัว ชีวิตประจำวัน จะมีความสุขยิ่ง”

และถ้าได้เห็นหน้าสามี ได้สัมผัสความดีของเขา จะทำให้เรารู้สึกอิ่มเอมใจ ว่างๆก็ชวนกันไปเที่ยว ไปทำบุญ ไหว้พระ ละทิ้งเด็กหนุ่มๆออกจากสมอง ให้มองกิ๊กชู้เป็นก้อนทุกข์ ที่ไม่น่าแตะต้อง เพราะแตะลงไปแล้ว จะมีแต่ปัญหาตามมา ถอยออกมาให้ห่างที่สุดจากกิเลสก้อนนี้!!!

หันมาอยู่กับสามี รักและจริงใจต่อเขา อาตมาขอเน้นให้โยม.... ขยันทำความดี คิดดีทำดี ...ซื่อสัตย์ต่อสามีทั้งต่อหน้าและลับหลัง ....อดทนกับการที่ต้องตัดกิเลสบนเตียงให้หายขาด ....และรู้บุญคุณคน ก็คือกตัญญูกตเวทีต่อสามี อย่างมีเหตุและผล ทั้งหมดนี้คือแก่นของความสุขอย่างถ่องแท้ในชีวิตคู่ เฉกเช่นคู่ของโยม...ขอเจริญพร

*************************



วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ไหว้ครู-ครอบครู ของจริง!! ทุกสิ่งตรงต้องตำรา


พิธีไหว้ครู ครอบครู
คือ ศาสนพิธี ประเพณีนิยม ที่ถือปฏิบัติกันมาเนิ่นนานตั้งแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน เมื่อวันเวลาเลยล่วงไป ยุคและสมัยย่อมแปรเปลี่ยนประเพณี แต่ขั้นตอนและลำดับชั้นของพิธี ถ้าจะให้ดี... ต้องถูกต้องตามตำรา!!

หากแต่ในปัจจุบันคงหาพบกันได้ยากนัก ที่สำนักใดนั้นจะดำเนินตามแบบโบราณพิธี โดยไม่ผิดหนีขนบประเพณี และขั้นตอนวิถีแห่งบูรพาจารย์

เมื่อถูก ก็ยิ่งดี ตรงตามพิธี ก็ยิ่งขลัง!! หากแต่ หลากที่หลายสำนักเมื่อหย่อนพักในธรรมเนียมเก่า ความศักดิ์สิทธิ์ในพิธีย่อมบางเบา โดยรวมคงเท่า "เพียงไหว้ลม"

พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพ่อน้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ทายาทศิษย์เอก แห่ง พระเดชพระคุณ หลวงพ่อพูล อัตตะรักโข ท่านมิได้ "ไหว้ครู" เพื่อเพียงโชว์ แต่ที่ศิษย์มากันจนมากโข เพราะทั้งขลัง แหละทั้งดี ขั้นตอนของท่านนั้นถูกต้องตามวิธี โดยยึดหลักโบราณประเพณี ดั่งศิษย์ดี ที่มีครู

ทุกปี ณ วัดไผ่ล้อม นครปฐม หลวงพ่อน้ำฝน ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส จะเมตตาประพิธีไหว้ครู ครอบครู ให้กับคณะศิษยานุศิษย์จำนวนมาก เพื่อน้อมระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์ ที่ท่านประสิทธ์ประสาทก่อร่างสร้างวิชา และเมื่อวันที่ 24 พฤษภาฯ ที่ผ่านมาก็เช่นกัน


ในวันนั้น พิธีเริ่มตั้งแต่เช้ายันดึก ล่วงเลยไปจนเกือบเช้าตรู่ของอีกวัน หลวงพ่อท่านก็ยังคงประกอบพิธี ด้วยความเมตตาปราณีที่มีต่อศิษย์ทุกคน ท่านอัญเชิญดวงพระวิญญาณ แห่ง บูรพาจารย์เพื่อมาสถิต และตั้งมั่นดำรงสมาธิจิต ครอบครูให้ศิษย์จนเสร็จพิธี

ในขณะที่หลายวัดหลายสำนัก กระทำการประกอบพิธีได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ล้มคว่ำ แต่ที่วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ด้วยอำนาจแห่งมนตรามหาพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ และ พุทธฤทธิ์แห่งบูรพาจารย์ จึงประสานบันดาลให้เป็นพลัง จนบรรยากาศนั้นแสนจะเข้มขลัง ดั่งอยู่ในภวังค์แห่งมหาเดชเวชมหามนต์ โดยมี หลวงพ่อน้ำฝน ผู้เปี่ยมบารมีล้นเป็นเจ้าแห่งพิธี เรียกได้ว่า สิบกว่าชั่วโมงในการประกอบพิธี หากไม่แน่จริง ก็คงต้องชิงล้มพับ แต่ด้วยความเก๋าและขลังจนเกินทวีนับ ก็คงต้องยอมรับว่านี่แหละของจริง!!

จากทุกสิ่งที่ทีมข่าวมาประสบมา ไม่ลุก ไม่ฉัน ไม่พัก ไม่ลา อย่างนี้แหละที่เรียกว่า ไหว้ครูของจริงที่สุดในเมืองไทย!! 

*************************

เรียบเรียงโดย : ทีมข่าวมงคลพระ





วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ครอบเศียรพระพรหมประกาศิต สาธุชนรวมจิตสู่วัดไผ่ล้อม


เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมา ณ วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม กระแสชนทั่วสารทิศ ประกอบด้วยกุศลจิตสุจริตที่ตั้งมั่น หลั่งไหลกันมาด้วยใจตั้งหวัง เพื่อชีวิตนี้ขอสักครั้ง ให้ได้ไหว้ครู ครอบเศียรพระพรหมฯ

ยาวนานถึงสิบกว่าชั่วโมง ที่ท่านพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพ่อน้ำฝน ทายาทศิทย์เอกแห่ง หลวงพ่อพูล อัตตะรักโข เมตตาประกอบพิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ ครอบเศียรพระพรหมประกาศิต ให้แก่ ศิลปิน ดารา และ ศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย โดยเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ จนล่วงเข้าสู่เกือบเช้าตรู่ของอีกวัน!!

ดึกดื่นเที่ยงคืน ที่ยืนแทบจะไม่มี!! 
คับคั่งตั้งแต่เริ่มพิธี กว่าจะเสร็จดี ก็ตี 2!!


แม้อากาศจะร้อน ผู้คนจะแออัด เบียดเสียดจนแน่นวัด แต่ล้วนเด่นชัดด้วยความศรัทธา
หากแต่ยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้ม ที่เอมอิ่มด้วยบุญวาสนา แม้ยิ่งดึกยิ่งขลังด้วยมนตรา ดั่งพระพรหมเทวาบัลดาลดล



จากบรรยากาศตลอดทั้งพิธี คงเป็นเรื่องที่จะกล่าวได้ว่า พิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ ณ วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม คือ ที่สุดแห่งพิธีไหว้ครู ที่ยิ่งใหญ่ด้วยความศรัทธา และประกอบพิธีโดยใช้เวลายาวนานที่สุดในประเทศไทย!!


*************************

เรื่องโดย : เต้ มงคลพระ
เรียบเรียงโดย : ทีมข่าวมงคลพระ





วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โจ๋ "แอล" เลิกแนว!! ใฝ่ "ธรรม"


เมื่อเช้าวันอังคารที่ 21 พ.ค. 2556 ณ อุโบสถ วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ได้เกิดกระแสข่าวแพร่สะพัดสะบัดหูว่า "โจ๋ชื่อดังกำลังจะบวช" ทีมข่าวมงคลพระ จึงไม่รีรอรีบรุดเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ!!

เมื่อถึง วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ดินแดนแห่งธรรมที่อยู่ภายใต้การดูแลปกครองของ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพ่อน้ำฝน หัวหน้าพระวินยาธิการ มือปราบพระ แห่งเมืองนครปฐม สิ่งที่ทีมข่าวได้ประสบพบนั้น เรียกได้ว่า ตกใจระคนปิติ!!


เมื่อภาพที่ได้เห็นอยู่เบื้องหน้า คือ วัยรุ่นผู้เคยใช้ชีวิตอย่างเมามันส์ กำลังจะหันหน้าเข้าหา "ธรรม" และกำลังจะบวช!! 

คงมิใช่เรื่องแปลก ที่วัยรุ่นชายหรือใครสักคน ที่เคยหลงงมงายกับความสุขทางโลก จะหันหน้าเข้าหาความสุขทางธรรม หากแต่ หนุ่มเคยคะนองผู้นี้ คือ ศราวุธ ศรีกำเนิด หรือโจ๋โซเชียลชื่อดังนามว่า "แอล โอรส" โจ๋ชื่อดังที่เคยเปิดศึกท้ารบกับ "เน วัดดาว" ผ่านโลกโซเชียลจนโด่งดังเป็น Talk of the Town กันไปทั่วเมือง


ทั้งนี้ทีมข่าวยังรายงานว่า การตัดสินใจเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ของ แอล โอรส ในครั้งนี้ เป็นไปเพราะต้องการทดแทนพระคุณพ่อแม่ และ ต้องการศึกษาธรรมะคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า เพื่อนำไปปรับใช้กับการดำรงชีวิตที่ดีของตนสืบไป

*************************

เรื่องโดย : เต้ มงคลพระ
เรียบเรียงโดย :  ทีมข่าวมงคลพระ




พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ฯ เสด็จเปิด "วิสาขบูชาโลก"


20 พฤษภาคม 2556 พระพรหมบัณฑิต อธิการบดีมหาวิทยลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) กล่าวว่า มจร.ได้กำหนดจัดกิจกรรมวิสาขบูชานานาชาติ ครั้งที่ 10 เรื่อง “การศึกษากับความเป็นพลเมืองโลก : มุมมองพระพุทธศาสนา” เนื่องในวันวิสาขบูชา วันสำคัญสากลของโลก ประจำปี 2556 ระหว่างวันที่ 21-22 พฤษภาคมนี้ ที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ 

โดยวันที่ 21 พฤษภาคม ตั้งแต่เวลา 09.30 น. สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช กล่าวสัมโมทนียกถา เวลา 13.00 น. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จไปทรงเป็นประธานเปิดการประชุม โดยมีผู้นำชาวพุทธจาก 84 ประเทศ เฝ้ารับเสด็จและร่วมประชุมในครั้งนี้

พระพรหมบัณฑิต กล่าวต่อว่า ที่สำคัญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ได้ส่งสารแสดงความยินดีต่อผู้นำชาวพุทธ มีใจความตอนหนึ่งว่า "วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญแห่งการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่รวมไว้ด้วยกัน ไม่เพียงแต่เป็นวันที่ระลึกจดจำกันได้ในฐานะที่เป็นวันที่มีความหมายที่สุดในปฏิทินพุทธเท่านั้น แต่วันศักดิ์สิทธิ์นี้ยังเป็นวันที่ได้รับการแสดงคุณค่าอย่างเป็นทางการโดยสหประชาชาติ สำหรับกิจกรรมต่างๆ ตามประเพณีพุทธรวมเอาการฟังธรรม การเดินเวียนรอบพระบรมสารีริกธาตุ หรือที่เรียกว่า “เวียนเทียน” และทำบุญเพื่อสักการะพระรัตนตรัยนอกเหนือจากกิจกรรมทางศาสนาอย่างเป็นทางการ ชาวพุทธยังควรให้ความใส่ใจในการฝึกปฏิบัติอย่างถูกต้องและปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชีวิตประจำวัน ด้วยอำนาจแห่งพระศรีรัตนตรัย ขอจงดลบันดาลให้บุคคล และหน่วยงานต่างๆ ที่มีส่วนร่วมในงานเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชา วันสำคัญสากลโลกประจำปี 2556 จงมีความสุขโดยทั่วกัน

อธิการบดี มจร.กล่าวอีกว่า ส่วนวันที่ 22 พฤษภาคม จะมีสารจากบุคคลสำคัญ มีการเสวนาทางวิชาการ เพื่อการฉลองพระชันษา 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เรื่อง พระสงฆ์กับการส่งเสริมการศึกษาและคุณค่าความเป็นมนุษย์ การประกาศปฏิญญากรุงเทพ พ.ศ.2556 และจะมีพิธีธรรมยาตราและเวียนเทียน ที่ลานหน้าองค์พระศรีศากยะทศพลญาณฯ พุทธมณฑล จ.นครปฐม

*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

พุทธพรหมประกาศิต เนรมิต ลิขิตฟ้า


พุทธพรหมประกาศิต เนรมิต ลิขิตฟ้า 

รังสฤษฏ์ พรหมลิขิต ด้วยฤทธา 

บันดาลทรัพย์ วาสนา ฐานันดร 


พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพ่อน้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม 
ทายาทศิษย์เอก ผู้สืบสานตำนานวิทยาคม แห่ง หลวงพ่อพูล อัตตะรักโข
สุดยอดพระอมตะเถราจารย์ เทพเจ้าแห่ง จ.นครปฐม

รังสรรค์สุดยอดวัตถุมงคล วิสาขบูชารำลึก วัดไผ่ล้อม นครปฐม ปี 56 
"พุทธพรหมประกาศิต" เทพเจ้าผู้รังสฤษฏ์ เนรมิต ลิขิตฟ้า 
ด้วยเดชะ แห่งองค์พรหมเทวา จักนำพาผู้บูชา สู่ความเจริญ

ยิ่งใหญ่ด้วยมหาพิธีพุทธาภิเษก "พุทธพรหมประกาศิต" 
โดยสุดยอดพระเถราจารย์ ผู้เรืองเดชแห่งแดนสยาม 

- หลวงพ่อน้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม 
- หลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร จ.ฉะเชิงเทรา 
- หลวงพ่อสิริ วัดตาล จ.นนทบุรี 
- หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติ จ.อยุธยา 
- หลวงพ่อสะอาด วัดเขาแก้ว จ.นครสวรรค์ 
- หลวงพ่ออวยพร วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม 
- หลวงพ่ออุดม วัดพิชัยสงคราม จ.อยุธยา 
- หลวงพ่ออิฐ วัดจุฬามณี จ.สมุทรสาคร 

และ ดวงจิตอันบริสุทธิ์แห่ง หลวงพ่อพูล อัตตะรักโข เทพเจ้าแห่ง วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม 

มงคลวัตถุ พุทธพรหมประกาศิต ที่สร้างขึ้นในครั้งนี้ จะประกอบด้วย
 
1.ขนาดบูชา 
2.รูปหล่อลอยองค์ ขนาดห้อยคอ 
3.แบบเหรียญ ขนาดห้อยคอ


โดยปัจจัยในการเช่าบูชาวัตถุมงคล "พุทธพรหมประกาศิต" ในครั้งนี้
จะนำไปร่วมบุญใหญ่ สมทบทุนสร้าง วิหารหลวงพ่อพูล ณ วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม
สาธุชนผู้มีจิตศรัทธา ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม โทร.087-1517799, 087-6984777 และ 087-7567555

หรือที่ http://shop.mongkhonphra.com/ สุดยอดเว็บไซต์ ที่รวบรวมวัตถุมงคล

สายตรงหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม


*************************

เรื่องโดย : เต้ มงคลพระ
เรียบเรียงโดย : ทีมงานมงคลพระ






วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

จุดไฟในใจคน : สามีเจ้าชู้ .....ไม่รู้เป็นอะไร?

สามีเจ้าชู้ ...ไม่รู้เป็นอะไร? “รักษ์โลก ยกเว้นภรรยา”
หลวงพี่แนะ “ใช้ปัญญาเรียนรู้กายใจ” ตามแนวพุทธองค์

เจริญพร สัปดาห์นี้มีเรื่องครอบครัวของโยมใกล้ตัว มาเล่าเป็นวิทยาทาน อาตมาให้แสงสว่าง คลายปม แบบรวมมิตร ทั้งสามีภรรยาและลูก ประเด็นสำคัญโยมที่เป็นสามีอยู่ในห้วงวัยกลางคน ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ที่ผ่านมาครอบครัวมีความสุขสมบูรณ์ งานที่ฝ่ายชายทำ ต้องเดินทางไป 77 จังหวัดทั่วประเทศ เป็นงานสบาย ไม่มีอะไรต้องเครียด มีเงินเดือนสูง และออกจะขี้เหนียวด้วยซ้ำ!!!

วันเวลาทำให้เขาเปลี่ยนไปตามธรรมชาติของสามีที่มักมาก ไม่รู้จักพอ เห็นแก่ตัว ซึ่งมันเป็นสัจธรรมของชีวิต ....ที่สำคัญคนเราพอเริ่มมีเงินขึ้น ก็เริ่มออกอาการชาติเจ้าชู้ประตูดิน

“เขากลายเป็นสามีที่รักษ์โลก จีบผู้หญิงหน้าตาดีทุกคน ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่ไม่รักภรรยาและลูกที่บ้าน” เขาขยันรณรงค์นำตัวเองเข้าสู่การสร้างโลกใบใหม่ที่มีแต่สาวๆ นอกบ้าน และลดการใช้ภรรยาที่บ้าน โดยการอนุรักษ์ไว้บนหิ้ง

พอมีเงินมีทองเหลือกินเหลือใช้ มีโบนัสเหลือรับประทาน มีบ้าน มีรถ มีความเป็นอยู่อย่างหรูหรา ....ผู้หญิงก็เริ่มเข้ามาในชีวิต ประกอบกับเป็นผู้ชายพูดเก่ง ใส่ทองเส้นโต และมีความกะล่อนเป็นทุนเดิม แต่ก็มิได้ขาดตกบกพร่อง ในการเลี้ยงดูลูกเมีย เงินทองจ่ายให้ทุกเดือนไม่เคยว่างเว้น ค่าน้ำค่าไฟ ค่ากินค่าอยู่ ค่าเทอมลูก เขาดีเพียบพร้อมทุกอย่าง โดยเฉพาะการสร้างบ้านหลังโตให้ภรรยาและลูกพักพิงอยู่อาศัย มีรถให้ใช้ ซื้อให้ทุกอย่างตามที่ร้องขอ

ข้อเสียเขาไม่ค่อยกลับบ้าน นานๆกลับบ้านที และนี่ล่ะคือชนวน ที่ไปพบสาวๆตามจังหวัดต่างๆ แล้วก็ไปมีกิ๊ก มีชู้ มีเมียน้อย ซึ่งเรื่องนี้น่าสงสัย ทำไมสามีเจ้าชู้ ...ไม่รู้เป็นอะไร?

เมื่อเหตุการณ์มันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้ ก็ต้องถามถึงความรับผิดชอบ ถ้าทุกอย่างดำเนินถูกต้อง ไม่บกพร่อง เรียบร้อยดี ภรรยาควรทำใจ ดูแลบ้าน ดูแลทรัพย์สมบัติ ดูแลลูก ดูแลสุขภาพใจตนเองให้มีความสุขความพอดี เรื่องนี้อาตมาสอนได้อย่างเดียวคือ “ปลง”

“ต้องปลง แล้วปรับความรู้สึกให้นิ่ง คิดเสียว่าเราทำบุญกับเขามาแค่นี้ อยู่แบบเป็นเพื่อนกัน ช่วยเหลือเจือจานกัน เป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน” เขาจะไปไหน ไปมีใคร ปล่อยเขาไป เสียเวลารั้งตัวไว้ เพราะหัวใจมันไปไกล ยากกู่ให้กลับ คิดเสียว่าทำกรรมร่วมกันมาแค่นี้

มาเริ่มต้นปรับอารมณ์ใหม่ ไม่ต้องไปเรียกร้องอะไรให้เหนื่อย เขาเลี้ยงเรา เลี้ยงลูก ทำหน้าที่สามี ถึงแม้จะไม่เต็มร้อย แค่ห้าสิบ ก็ถือว่าดีกว่าเขาไปแล้วไปเลย ไม่รับผิดชอบ มุมดีของสามีก็ยังมี ดีกว่าผู้ชายหลายๆคน สามีคนนี้ถือว่าชั่วแค่ครึ่งเดียว คิดได้แล้ว ปลงได้แล้ว ก็ให้อภัยเขา ขอบคุณเขาที่ยังเลี้ยงดูเราและลูก

อาตมาไม่ได้เข้าข้างผู้ชาย แต่อาตมาอยากให้ชีวิตมันดำเนินต่อไป ลูกสาวยังต้องโต ต้องเรียน ต้องทำงาน และต่อไปเขาต้องมีครอบครัว ฉะนั้นต้องประคองชีวิต อย่าให้เรือล่ม ไปให้ถึงฝั่ง ถึงแม้จะมีคลื่นลมบ้าง แต่ฟ้าหลังฝน อากาศย่อมเย็นสบายเสมอ และหากต้องอยู่กับสามีเจ้าชู้อย่างไม่ทุกข์ อาตมาแนะนำ จงจำไว้ว่าความรัก คือกิเลส ทำให้ปิดบังความจริง ผู้ชายยังไม่ปล่อยวางเรื่องแบบนี้ ถึงอายุมาก ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจคนแบบนี้ได้ เพราะผู้ชายส่วนใหญ่ ต้องการความรักจากใครต่อใครอยู่ตลอด ชอบส่ง sms หาสาวๆ เชิงชู้สาว ภรรยาอย่าไปรู้ เพราะมันเสียดแทงหัวใจ อย่าให้กิเลสมันเล่นงาน อย่าไปอินกับข้อความ ไม่มีประโยชน์ มันเป็นวิบากกรรม ต้องชดใช้กันไป หมดเหตุก็หมดทุกข์ อย่าไปยึดติดกับคำว่า เรา ของเรา

ประคับประคอง ระวังโรคเครียด ถ้าเครียดก็ป้อแป้ ต้องดับไฟโทสะสุมที่รุ่มร้อน มาสร้างความเย็นในบ้าน ถึงสามีเลือกที่จะหาน้ำเย็น นอกบ้านมาดื่มคลายร้อน โดยหารู้ไม่ว่าที่ดื่มเข้าไปคือน้ำกรด! ควรปล่อยเขาไป หมั่นทำทานด้วยใจที่สละออก รักษาศีลห้า และหมั่นตามรู้กายตามรู้ใจ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่อารมณ์ร้อน อย่าสร้างปัญหาให้บานปลาย ภรรยาส่วนใหญ่เดินเกมผิด โวยวายไว้ก่อน ซึ่งที่จริงแล้ว ถ้ายังไม่อยากเลิกก็ต้องรักษาครอบครัว พูดคุยเหตุผล อย่าใช้น้ำเสียงแนวจับผิด ถ้าพื้นฐานจิตใจสามีเป็นคนดี แต่เผลอประพฤติชั่วตามกิเลสไปชั่วครั้งชั่วคราว เขาจะรู้เต็มอกว่าผิด จะพยายามอ่อนให้เรา แต่พอไปจี้ว่าผิด เขาจะต่อต้านทันที เพราะนี่คือการป้องกันตัวของสามีเจ้าชู้

ถ้าอยากให้กลับ ควรสร้างบรรยากาศมิตรภาพ แต่ถ้าเขากลับมาบ้านแล้ว เรามัวแต่ด่า เขาจะออกจากบ้านไปอีกรอบหนึ่ง สามีภรรยาในอีกนัยหนึ่งคือเพื่อนแท้ของกันและกัน ถ้าฝ่ายชายสามารถมั่นใจได้ว่า เมื่อกลับบ้านมาแล้วภรรยาอภัยให้ พูดจาดีๆ ด้วย ไม่ด่าไม่ว่า เขาจะเกรงใจ ถึงแม้ว่าจะยังไม่สามารถเลิกรากับมือที่สามได้ แต่ก็จะไม่กล้าทำอะไรออกนอกหน้ามากนัก ที่สุดแล้วผู้หญิงคนนั้นก็จะทนไม่ได้เอง กล่าวคือ ถ้าเรายังคงความสุขุมมั่นคง เราก็จะสามารถรักษาครอบครัวเอาไว้ได้

แต่ถ้าไม่ต้องการเขาแล้ว อยากเลิก ก็ทำอะไรตามอารมณ์ได้เลย แต่ถ้ายังรักสามี ต้องพยายามประคับประคอง สามีส่วนใหญ่มีพื้นฐานทางจิตใจไม่ได้แย่มากนัก หลายคนล้วนมีมโนธรรม เพียงแต่มีปัญหาในครอบครัวมาก จนความรักจืดจาง ทำให้สุดท้ายไปมีคนอื่น อาตมาขอแนะนำให้ประนีประนอมและให้อภัย เพื่อให้ชีวิตคู่สามารถดำเนินสุข ตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองด้วยการอดทน ไม่วู่วาม รู้จักให้อภัย มีเหตุผล หันมาเริ่มต้นทำทาน รักษาศีล และตามรู้กายใจ เป็นการเติมความสว่างความเย็นให้ครอบครัว ทำให้เรื่องร้ายแรงตามกรรมเก่า ไม่ได้แรงและร้ายมากนัก ด้วยการสร้างกรรมดีในปัจจุบัน

สุขุมรอบคอบ ใช้ปัญญาและเหตุผลในการแก้ไข และต้องไม่ลืมว่าการรอคอยก็เป็นอีกกระบวนการหนึ่งของการแก้ปัญหา เรื่องบางอย่างถ้าไม่สามารถจัดการโดยตรงได้ ต้องรอให้มันดำเนินและคลี่คลายไปด้วยตัวของมันเอง ระหว่างนั้นควรยกระดับจิตใจด้วยการทำทาน รักษาศีล เรียนรู้กายใจตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อให้ช่วงเวลาแห่งความทุรนทุราย กลับกลายเป็นช่วงเวลาแห่งการศึกษาแนวทางความพ้นทุกข์อย่างถาวร...ขอเจริญพร

*************************




วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เหรียญ ร.๕ ฉลององค์ "ฮ่องเต้" ร่วมทุนสร้างพระพุทธรูป

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล เป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา ให้บริการการศึกษาและผลิตทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าให้สังคมไทยมาเป็นเวลายาวนาน นับย้อนจากการสถาปนา “วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา” เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ เป็นสถาบันผลิตครูอาชีวศึกษาระดับปริญญาตรี ให้การศึกษาทางด้านอาชีพ ทั้งระดับต่ำกว่าปริญญาตรี ระดับปริญญาตรี และประกาศนียบัตรชั้นสูง ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๓๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อใหม่ว่า “สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล”

จนถึง พ.ศ.๒๕๔๒ ได้ยกฐานะสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล โดยมีการรวมกลุ่มวิทยาเขตจัดตั้งขึ้นเป็น “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล” มีจำนวน ๙ แห่ง เพื่อเป็นมหาวิทยาลัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่สามารถจัดการศึกษาวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง ที่เน้นการปฏิบัติทั้งในระดับปริญญาตรี โท และเอก เพื่อรองรับการศึกษาต่อของผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันอาชีวศึกษาเป็นหลัก

ในส่วนของ “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี” ตั้งอยู่ที่ถนนรังสิต-นครนายก ต.คลองหก อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เนื่องจากที่ผ่านมามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ยังไม่มีพระพุทธรูปประจำมหาวิทยาลัย จึงมีมติจัดตั้งโครงการสร้างพระพุทธรูปขึ้นเพื่อเป็นสิริมงคลแก่สถาบัน คณาจารย์ นักศึกษา และบุคลากรทุกฝ่าย โดยได้ว่าจ้างช่างออกแบบปั้นพิมพ์ทรงองค์พระเรียบร้อยแล้ว เป็นพระพุทธรูปปางประทับนั่งสมาธิขัดเพชร หน้าตักกว้าง ๔๕ นิ้ว โดยจะประกอบพิธีเททองหล่อด้วยเนื้อทองสัมฤทธิ์ ภายในปีนี้

เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนทั่วไป รวมทั้งศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน ฯลฯ ได้มีส่วนร่วมในการจัดสร้างพระพุทธรูปองค์นี้ ทางมหาวิทยาลัยจึงได้นำ เหรียญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๕) ซึ่งมหาวิทยาลัยได้จัดสร้างขึ้นเมื่อปี ๒๕๔๗ และยังเหลืออยู่จำนวนหนึ่งให้ผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญบูชา นำรายได้สมทบทุนจัดสร้างพระพุทธรูปองค์นี้ด้วย

รศ.ดร.นำยุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี กล่าวถึงความเป็นมาของเหรียญพระบรมรูป ร.๕ นี้ว่า เมื่อปี ๒๕๔๗ มทร.ธัญบุรี ซึ่งในขณะนั้นคือ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล โดยมูลนิธิสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ได้จัดสร้างเหรียญนี้ขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติ ทรงฉลองพระองค์ชุด "ฮ่องเต้"

โดยได้แนวความคิดมาจากพระบรมสาทิสลักษณ์ทรงฉลองพระองค์ชุด "ฮ่องเต้" ประทับบนบัลลังก์ ในพระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ พระราชวังบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระบรมสาทิสลักษณ์สีฝุ่น เขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ ไม่ปรากฏนามศิลปินผู้เขียน
มูลนิธิได้นำมาเป็นต้นแบบในการจัดสร้างเหรียญ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาทุนส่งเสริมการศึกษา และงานค้นคว้าทางวิชาการ รวมทั้งซื้ออุปกรณ์การศึกษา เพื่อกิจการสาธารณประโยชน์ต่างๆ รวมทั้งโครงการจัดสร้างพระพุทธรูปในครั้งนี้ด้วย

ลักษณะเหรียญ เป็นเหรียญโลหะรูปไข่ ขนาดกว้าง ๒.๗ ซม. สูง ๓.๗ ซม. มี ๓ เนื้อ คือ เนื้อทองทิพย์ (แบบมีห่วง) เนื้อกะไหล่เงิน (แบบไม่มีห่วง) และเนื้อสามกษัตริย์ (แบบไม่มีห่วง) โดยได้รับความเมตตาจากท่าน พระครูสังวรสมณกิจ (หลวงปู่ทิม อตฺตสนฺโต) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระขาว จ.พระนครศรีอยุธยา อธิษฐานจิตปลุกเสกเป็นกรณีพิเศษที่วัดพระขาว

นอกจากนี้ ยังได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษก ณ อุโบสถ วัดเขียนเขต จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ โดยมีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังนั่งปรกปลุกเสก อาทิ หลวงปู่ทิม วัดพระขาว, หลวงพ่อเอียด วัดไผ่ล้อม, หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติการาม, หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน, พระพิพิธพัฒนาทร (พระอาจารย์สมชาย) วัดปริวาส กทม.

ต่อมาได้ขอเมตตาจากหลวงพ่อรวย วัดตะโก จ.พระนครศรีอยุธยา และหลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว จ.พระนครศรีอยุธยา อธิษฐานจิตเป็นกรณีพิเศษอีก ๒ วาระ เพื่อให้ผู้ที่ได้สักการบูชาเหรียญนี้ มีโอกาส "รวยเพิ่ม" ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก

หลังจากออกให้ทำบุญบูชาแล้ว ปรากฏว่ายังมีเหรียญเหลืออยู่อีกจำนวนหนึ่ง เป็นแบบเหรียญไม่มีห่วง เนื้อสามกษัตริย์ มูลนิธิจึงได้เก็บรักษาไว้เพื่อนำมาสมนาคุณแก่ผู้ร่วมบริจาคเงินจัดสร้างพระพุทธรูปประจำมหาวิทยาลัยในครั้งนี้ ซึ่งมีกำหนดประกอบพิธีเททองในเร็วๆ นี้

ท่านผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญบูชา เหรียญที่ระลึก ร.๕ ทรงฮ่องเต้ (เหรียญไม่มีห่วง เนื้อสามกษัตริย์) ๑๐๐ บาท จะได้รับ ๑ เหรียญ ติดต่อบูชาได้โดยตรงที่ กองประชาสัมพันธ์ มทร.ธัญบุรี คลองหก จ.ปทุมธานี โทร.๐-๒๕๔๙-๔๙๙๐-๒, ๐-๒๕๔๙-๓๓๓๓ หรือ บูชาทางไปรษณีย์ ธนาณัติสั่งจ่ายในนาม "กองประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี" ปณ.ธัญบุรี ๑๒๑๑๐ หรือโอนเงินเข้าบัญชี “เงินบริจาคสร้างพระพุทธรูป” ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี เลขที่บัญชี ๔๕๓-๑-๑๕๔๔๔-๓ (ค่าจัดส่งครั้งละ ๕๐ บาท)

*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สุดารัตน์ ชวนร่วมงานบุญ เทศกาล "วิสาขบูชาโลก"

คุณหญิง "สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์" ชวนคนไทยร่วมงานบุญสมโภช "เสาหินอโศก" จำลอง-สร้างองค์ "พระพุทธเจ้าน้อย" เพื่อนำไปประดิษฐาน ที่สวนลุมฯ เนื่องในสัปดาห์เทศกาล วิสาขบูชาโลก ปี 2556

วันที่ 13 พ.ค. ที่บ้านพักซอยลาดปลาเค้า 60 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานโครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล ร่วมกับวัดสระเกศ ราชวรวิหาร ได้แถลงข่าวการจัดงานโครงการบูรณปฏิสังขรณ์ที่ประสูติพระพุทธเจ้าน้อย จากศรัทธาสู่การปฏิบัติ เพื่อร่วมเฉลิมฉลอง ร่วมสมโภชเสาพระเจ้าอโศกจำลอง และร่วมสักการะนมัสการ องค์พระพุทธเจ้าน้อยต้นแบบ ณ บริเวณเต็นท์จัดงานโครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง กทม. ระหว่างวันที่ 18-26 พ.ค.นี้ เวลา 08.00-21.00 น. เนื่องในงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชาโลก

ทั้งนี้ จะได้นำองค์พระพุทธเจ้าน้อยจำลอง (องค์ต้นแบบ เพราะองค์จริงได้หล่อเสร็จและนำไปประดิษฐานไว้ที่หน้าทางเข้าวิหารมายาเทวี จุดที่พระพุทธเจ้าประสูติ ประเทศเนปาล) มาประดิษฐานที่สวนสาธารณะลุมพีนี ในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการขออนุญาต กทม.เจ้าของพื้นที่

ทั้งนี้ ทางคณะผู้จัดงานขอเชิญชวนประชาชนคนไทยและผู้มีจิตศรัทธา ได้ร่วมกันทำกิจกรรมสำคัญ ในวันที่ 18-24 พ.ค.นี้ โดยมีการบูชาแผ่นทอง พร้อมเขียนชื่อลงแผ่นทอง เพื่อหล่อองค์พระพุทธเจ้าน้อย ขนาด 90 ซม. เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และมอบให้กับศาสนสถานทั่วประเทศ ขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ปิดทอง พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร (พระพุทธเจ้าน้อย) องค์ต้นแบบ รวมทั้งยังได้สักการะดินจากสถานที่ประสูติ ทั้งยังนำรายได้จากการร่วมทำบุญ ไปจัดสร้างอาคารผู้ปฏิบัติธรรม พร้อมกับรับน้ำมนต์จากสระโบกขรณี จากประเทศเนปาล เพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย

ขณะที่ระหว่างวันที่ 25-26 พ.ค. ขอเชิญประชาชนเข้าร่วมพิธีสมโภช เสาหินอโศกจำลอง ก่อนที่จะได้อัญเชิญไปประดิษฐานเป็นการถาวร ที่วัดสระเกศวรมหาวิหาร ต่อไป ทั้งนี้ คุณหญิงสุดารัตน์ยังกล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน ทางคณะผู้จัดงานจะได้รายงานความคืบหน้า ผลการดำเนินงานการปฏิสังขรณ์ลุมพินีสถาน สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าที่ประเทศเนปาล ซึ่งที่ผ่านมาพุทธศาสนิกชนชาวไทยได้ร่วมแรงร่วมใจกันบริจาคทรัพย์เพื่อร่วมบูรณปฏิสังขรณ์ให้สถานที่ประสูติพระพุทธเจ้ากลับมามีความสวยงามอีกครั้ง

รวมทั้งรายงานความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารผู้ปฏิบัติธรรม ที่ประกอบด้วย ส่วนแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับสถานที่ประสูติ และส่วนการแสดงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา จนทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในประเทศไทย และไทยเองก็ได้รับการยกย่องให้เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก

*************************

เรื่องโดย : ไทยรัฐออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



"ลิงแกะ" หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว "พระคาถาหนุมาน"


ในบรรดาเครื่องรางของขลังต่างๆ นั้น จะมีอยู่ชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า "ลิงแกะ" หรือ "หนุมานแกะ" ที่เลื่องชื่อลือชามีอยู่เพียง ๓ สำนัก พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง คือ 

ลิงแกะหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว จ.ฉะเชิงเทรา, 
หนุมานแกะ หลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน จ.นนทบุรี, 
องคต หลวงพ่อปาน วัดบางกระสอบ จ.สมุทรปราการ

พระครูพิบูลย์คณารักษ์ หรือที่รู้จักในนาม หลวงพ่อดิ่ง คังคสุวัณโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดบางวัว หรือวัดอุสภาราม จ.ฉะเชิงเทรา หนึ่งในพระเกจิชื่อดังในอดีตจนถึงปัจจุบัน

วัตถุมงคล และเครื่องรางของขลังของท่าน ล้วนเป็นที่นิยมสะสมของพุทธศาสนิกชน และนักนิยมสะสมพระเครื่องและเหรียญคณาจารย์ และปัจจุบันนับว่าหาดูหาเช่าได้ยากยิ่ง เพราะผู้มีไว้ต่างหวงแหน โดยเฉพาะที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษคือ "ลิงแกะ" ที่แกะจากรากต้นรักและรากต้นพุดซ้อนอันทรงพุทธานุภาพ

ผู้ที่มี ลิงแกะหลวงพ่อดิ่ง ส่วนใหญ่จะใช้ คาถาหนุมานหลวงพ่อดิ่ง ด้วย โดยเริ่มจากตั้งนะโม ๓ จบ แล้วว่าพระคาถาดังนี้ “หนุมานะ นะมะพะทะ” อุปเท่ห์การใช้พระคาถาดังกล่าว คือ ให้เสกตามกำลังวัน เช่น เสาร์ ๑๐ อาทิตย์ ๖ จันทร์ ๑๕ อังคาร ๘ เป็นต้น เมื่อจะไปหาผู้ใหญ่ ให้นำลิงมาจุ่มน้ำมันจันทร์เจิมหน้าผาก ถ้าไปหาคนรัก ให้นำลิงมาจุ่มน้ำมันจันทร์วนรอบสะดือข้างซ้าย (ทักษิณาวัตร) ไปหาผู้ชาย ให้นำลิงมาจุ่มน้ำมันจันทร์วนรอบสะดือข้างขวา (ทวนเข็มนาฬิกา)

ถ้าจะทำให้เขาหลับทั้งบ้าน ให้เอาลิงปลุกเสกพระคาถาตามกำลังวัน แล้วนำไปวางไว้ที่เสาเอกของบ้าน คนในบ้านจะหลับหมด เพราะโดนฤทธิ์ของหนุมานสะกดไว้ ถ้าเราจะทำให้ศัตรูเคลิบเคลิ้ม ให้เอาลิงอมไว้ในปากแล้วเสกตามกำลังวัน เป่าลมออกไป ศัตรูจะงวยงงทำอะไรไม่ถูก เป็นจังงัง


นอกจากนี้แล้ววัตถุมงคลของหลวงพ่อดิ่ง มีอยู่มากมายหลายอย่าง เช่น เหรียญ ตะกรุดโทน และตะกรุด ๗ ดอก ผ้ายันต์ เสื้อยันต์ ลูกอมผงดำเจ็ดพญาช้างสาร และหนุมาน ที่เรียกกันว่า ลิงหลวงพ่อดิ่งนั่นแหละครับ สามารถจำแนกแยกเป็น ๕ พิมพ์ คือ พิมพ์ถือพระขรรค์, พิมพ์ถือกระบอง, พิมพ์ถือตรีสามง่าม, พิมพ์นั่งสมาธิ (ลิงจำศีล), สุดท้ายเป็นพิมพ์พิเศษ ปิดตาอธิษฐานลาภ ซึ่งจะมีน้อยที่สุด

ปัจจุบันชื่อ หลวงพ่อดิ่ง คังคสุวัณโณ ยังคงเป็นที่รำลึกและเลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนและศิษยานุศิษย์โดยถ้วนหน้า วัตถุมงคลต่างๆ ของท่านก็ยังคงได้รับความนิยมและเป็นที่แสวงหาอย่างสูง ส่วนวัดที่ยังรักษาเอกลักษณ์ลิงแกะมือ ตำรับหลวงพ่อดิ่ง คือ หลวงพ่ออนันต์ วิสุทโธ หรือ พระครูวิสุทธิ์สมุทรคุณ เกจิดังแห่ง วัดบางพลีน้อย ต.บางพลีน้อย อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ซึ่งท่านรับการถ่ายทอดวิชาจาก หลวงพ่อฉิม พรหมโชติ และ หลวงพ่อแถบ อดีตเจ้าอาวาสวัดบางพลีน้อย ซึ่งทั้ง ๒ รูปเป็นศิษย์หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว

ความโด่งดังของ "ลิงแกะหลวงพ่ออนันต์" นายนิโคลัส อง นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ ผู้คลุกคลีและคร่ำหวอดอยู่ในวงการเช่าพระเครื่อง เคยพูดไว้ว่า “ที่เมืองไทยหลวงพ่ออนันต์อาจจะเป็นที่รู้จักของคนบางพลีและในหมู่ลูกศิษย์ที่นับถือเท่านั้น แต่ที่สิงคโปร์อาจจะพูดได้ว่า คนสิงคโปร์ที่เล่นพระเครื่องและเครื่องรางต้องมีลิงหลวงพ่ออนันต์อย่างน้อย ๑ ตัว”

*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ





วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วัดตะเคียนแจก "เหรียญหลวงปู่แย้ม" ฟรี!!


วัดตะเคียน
ตั้งอยู่ริมถนนนครอินทร์ (พระราม ๕) ต.บางคูเวียง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ปัจจุบันมี พระครูปิยนนทคุณ หรือ หลวงปู่แย้ม ปิยวณฺโณ เป็นเจ้าอาวาส ท่านเป็นศิษย์สาย “ลุ่มแม่น้ำท่าจีน” ซึ่งเป็นศูนย์รวมเวทย์วิทยาคมชั้นสูงดั้งเดิมแต่โบราณ ท่านมีวิชามากมายแต่ที่เป็นเอกอุของท่าน คือ ยันต์มหาเบา มหาอุตปืนแตก และ ตะกรุดคอหมา 
ทั้งนี้ตั้งแต่ พระครูสมุห์สงบ กิตฺติญาโณ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดตะเคียน โดยสนองงานหลวงปู่แย้ม พัฒนาวัดร้างให้กลายเป็นวัดท่องเที่ยว ปัจจุบันวัดตะเคียนถือว่าเป็นวัดแห่งเดียวในประเทศไทยที่มี โบสถ์หัวเสือ-หัวมังกร ซึ่งในแต่ละวันจะมีพุทธศาสนิกชนจำนวนมากเดินทางมาลอดโบสถ์ สะเดาะเคราะห์ ต่อชะตาแบบนอนโลง ลอยเทียน รวมทั้งเที่ยวตลาดน้ำวัดตะเคียนจำนวนมาก

นโยบายการทำตลาดน้ำอย่างหนึ่งของหลวงพี่สงบ คือ จะให้คนเฉพาะในต.บางคูเวียงเท่านั้นมาขายเพื่อส่งเสริมคนในชุมชนให้มีอาชีพ เมื่อไม่มีใครมาก็เปิดโอกาสให้คนในตำบลใกล้เคียงมาขายของปัจจุบันรวมแล้วมีร้านค้ากว่า ๑๐๐ ร้าน และวัดยังคงนโยบายเดิมคือ "ให้ขายฟรีตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน" ทำให้สินค้าที่จำหน่ายในวัดถูกกว่าปกติเพราะไม่มีต้นทุนเรื่องค่าเช่า

อย่างไรก็ตามในงานบุญฉลองวัฒนอายุ ๙๗ ปี ซึ่งจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ พระครูสมุห์สงบ ได้จัดสร้างวัตถุมงคลรุ่น บารมี ๙๗ ประกอบด้วย เสือปืนแตกขนาดเล็กมีขนาดเดียว ๓ เนื้อ คือ เนื้อทองเหลือง เนื้อทองแดง เนื้อนวโลหะ พระเนื้อผงด้านหน้าเป็นรูปหลวงปู่แย้ม ด้านหลังยันต์เสือ เหรียญเนื้อโลหะผสมด้านหน้าหลวงปู่แย้มหลังเสือ และผ้ายันต์ เพื่อนำรายได้ทั้งหมดไปพัฒนาวัดและตลาดน้ำ โดยจะจัดและพิธีพุทธาภิเษกปลุกเสกเสือ ในโบสถ์หัวเสือหัวมังกร แห่งเดียวในประเทศไทยเป็นวันแรก จนถึงวันอาทิตย์ที่ ๑๙ เป็นเวลา ๙ วัน


พิธีพุทธพิเษกจุดเทียนชัยโดย หลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม นครปฐม และมีพระเกจิคณาจารย์ โด่งดังทั่วประเทศไม่ว่าจะเป็นพระเกจิสายสุดยอดปลุกเสกเสือของเมืองไทย อาทิ 

- หลวงพ่อเพี้ยน วัดเกรินกฐิน ลพบุรี 
- หลวงพ่อชาญ วัดบางบ่อ 
- หลวงพ่อชำนาญ วัดบางกุฎีทอง ปทุมธานี 

สุดยอดเกจิแดนใต้สายเขาอ้อ อาทิ

- พ่อท่านหรีด วัดปาโมกข์ พังงา 
- พ่อท่านสูติ วัดในเตา ตรัง 
- พ่อท่านเอียด วัดโคกแย้ม 

เกจิสายเหนือ อาทิ

- ครูบาเหนือชัย วัดถ้ำอาชาทอง เชียงราย 
- ครูบาอริยชาติ วัดแสงแก้วโพธิญาณ เชียงราย 

เกจิสายอีสาน อาทิ

- หลวงปู่คำบุ วัดกุดชมภู อุบลราชธานี 
- หลวงพ่อจอน วัดบุญฤทธิ์ 
- หลวงปู่อ่อง วัดสิงหาร 
-  พระมหาสุรศักดิ์ วัดประดู่

และสายตะวันออก สายอยุธยา นนทบุรี นครปฐม กว่า ๔๐ องค์ 

อย่างไรก็ตามใน วันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการปลุกเสก เวลา ๑๗.๐๐ น.ทางวัดจะแจก เหรียญหลวงปู่แย้ม เนื้อโละหะผสมให้ฟรีผู้ร่วมงานทุกท่าน เพื่อที่ท่านจะได้ไม่พลาดโอกาส ติดต่อสอบถามได้ที่วัดตะเคียน ๐-๒๕๙๕-๑๘๕๑ และ ๐๘-๘๖๗๒-๕๑๙๖

*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ 



เปลี่ยนผ้าครองหลวงพ่อพูล บูชาครูบูรพาจารย์ วัดไผ่ล้อม นครปฐม


"พระมงคลสิทธิการ" หรือ หลวงพ่อพูล อัตตะรักโข พระอมตะเถราจารย์ แห่งวัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่มีประชาชนให้ความเคารพศรัทธาทั่วประเทศ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ ด้วยความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย เสมอต้นเสมอปลาย ให้ความเมตตาต่อศิษยานุศิษย์ทุกชั้นวรรณะ

เมื่อครั้งที่หลวงพ่อพูลมีชีวิตอยู่ ได้สร้างคุณประโยชน์ไว้มากมายในบวรพุทธศาสนา เป็นที่ประจักษ์อย่างเป็นรูปธรรมถาวรวัตถุทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นจากความตั้งใจ จรรโลงไว้เพื่อคุณงามความดี มีหลักยึดพระธรรมในการรังสรรค์ด้วยความเสียสละ เพื่อสังคมส่วนรวมอย่างแท้จริง

ทั้งนี้เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๔๘ ตรงกับวันวิสาขบูชา ท่านได้ละสังขารอย่างสงบ จวบจนวันนี้ครบ ๑๐๑ ปีชาติกาล สรีระของท่านไม่เน่าเปื่อย คงสภาพเดิมทุกประการ พุทธศาสนิกชนจากทั่วสารทิศ ต่างแห่แหนเดินทางมากราบสักการะสังขารของท่านมิขาดสาย ทำให้ทุกวันนี้บนศาลาการเปรียญ ที่ประดิษฐานสังขารของท่านมีประชาชนจำนวนมากเดินทางมากราบสังขารหลวงพ่อ แน่นขนัดทุกวัน เพื่อสร้างขวัญกำลังใจในการดำเนินชีวิต เพื่อความเป็นสิริมงคลในหน้าที่การงาน ค้าขายดีมีกำไร ไม่เจ็บไม่จน กินอิ่มนอนอุ่น ตลอดไป

พระครูปลัดสิทธิวัฒน์
หรือ หลวงพี่น้ำฝน ทายาทศิษย์เอกหลวงพ่อพูล ประธานมูลนิธิหลวงพ่อพูล และเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม บอกว่า ในระหว่างที่หลวงพ่อพูลยังมีชีวิตอยู่นั้น มีชาวบ้านมาให้ท่านเจิมแป้งนะเมตตามหามงคล นับเป็นความเมตตาของหลวงพ่อพูลที่มีต่อลูกศิษย์ลูกหาทั่วไปอย่างมาก โดยเชื่อว่าการเจิมแป้งที่เสกโดยพระเกจิอาจารย์นั้น ถือเป็นการเสริมบารมี และส่งผลให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในชีวิต มีโชค มีลาภ ร่ำรวยมหาศาล ไม่เจ็บ ไม่จน กินอิ่ม นอนอุ่นตลอดกาล จากนั้นญาติโยมเหล่านี้จะเดินทางกลับมาให้เจิมอีก เพราะต่างสำเร็จสมหวังในสิ่งที่ปรารถนา นี่คือที่มาแห่งการเจิมแป้งนะเมตตามหามงคล ตำรับหลวงพ่อพูลที่เป็นอมตะมายาวนาน จวบจนปัจจุบันนี้

อย่างก็ตามในวันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤษภาคมนี้ เวลา ๑๘.๐๙ น.จะได้เปิดโอกาสให้ญาติโยมศิษยานุศิษย์ ได้สัมผัสสังขารหลวงพ่อพูล พระอริยสงฆ์ สุดยอดพระอมตะเถราจารย์ อย่างใกล้ชิด ณ ศาลาการเปรียญ วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม โดยจัดให้มีพิธีถวายสักการะสรีระพระเดชพระคุณ หลวงพ่อพูล พระสงฆ์สวดเจริญพระพุทธมนต์ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ประกอบพิธีสรงน้ำ เช็ดตัว เปลี่ยนผ้าครอง ลงกระหม่อม ในโอกาสนี้จะเปิดโอกาสให้ญาติโยม จรดศีรษะที่ปลายเท้าสังขารหลวงพ่อพูล (ลงกระหม่อม) เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต โดยพิธีเริ่มตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๙ น. เป็นต้นไป ณ ศาลาการเปรียญวัดไผ่ล้อม

ส่วนพิธีไหว้ครูครอบครูของวัดไผ่ล้อม หลวงพี่น้ำฝน บอกว่า จะจัดขึ้นวันศุกร์ที่ ๒๔ พฤษภาคม ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา และถือว่าเป็นวันละสังขารครบ ๘ ปีของหลวงพ่อพูล พิธีเริ่มตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๙ น. ผู้เข้าร่วมพิธีไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ในวันดังกล่าวจะมีข้าราชการ นักธุรกิจ พ่อค้า เหล่าศิลปิน ดารานักร้อง ศิษยานุศิษย์จากทั่วสารทิศ ทุกสาขาอาชีพ ต่างมุ่งมาที่วัดไผ่ล้อมเพื่อกราบขอพรหลวงพ่อพูลและร่วมพิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ ถือเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมาช้านานจากนั้นญาติโยมเหล่านี้จะเดินทางกลับมาให้เจิมอีก เพราะต่างสำเร็จสมหวังในสิ่งที่ปรารถนา นี่คือที่มาแห่งการเจิมแป้งนะเมตตามหามงคล ตำรับหลวงพ่อพูลที่เป็นอมตะมายาวนาน จวบจนปัจจุบันนี้


ทั้งนี้ก่อนถึงวันพิธีไหว้ครูครอบครูของวัดไผ่ล้อม จะมีพิธีปลุกเสกสุดยอดวัตถุมงคล วิสาขบูชารำลึก "เหรียญพุทธพรหม ประกาศิต" ด้านหน้าเป็นพุทธพรหมประกาศิต ตรงกลาง พระพรหม ถือศาสตราวุธ ประทับนั่งบนพาหนะพญาหงส์ ด้านล่างจารึกคำว่า "พุทธพรหมประกาศิต" เพื่อนำปัจจัยสมบททุนสร้างวิหารหลวงพ่อพูล

"ตลอด ๗ ปี ที่ผ่านมานั้นจะมีประชาชนจำนวนมากเดินทางมาจับจองสถานที่ เพื่อเข้าร่วมพิธีครอบครู ณ บริเวณรอบๆ ภายในบริเวณวัด ซึ่งนับเป็นภาพที่แสดงถึงคลื่นมหาชนที่มีความศรัทธาต่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล" หลวงพี่น้ำฝนกล่าว

ในพิธีจะมีการอัญเชิญดวงวิญญาณครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทสรรพวิชาพุทธาคม เป็นเดชทวีคูณเพิ่มพูนพลังเข้มขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยแรงบารมีของทุกพระองค์ สู่คณะศิษยานุศิษย์ทุกสาขาอาชีพ ให้บังเกิดความเจริญรุ่งเรืองสมปรารถนา ในการประกอบกิจตลอดไป เหล่าศิลปินดารานักร้องที่มาร่วมพิธีทุกปี และในปีนี้ก็ยังคงมาร่วมพิธีด้วย ได้แก่ สยม สังวริบุตร, นก บริพันธ์, เขตต์ ฐานทัพ, นุ่น วรนุช, พลพล พลกองเส็ง, เติ้ล ตะวัน, ใหม่ สุคนธวา, อู๋ นวพล, กระแต ศุภักษร, ตั้ม วิชญะ ฯลฯ

พร้อมกันนี้หลวงพี่น้ำฝนยังบอกด้วยว่า “เหตุที่คนมาวัดไผ่ล้อม โดยเฉพาะในวันไหว้ครูครอบครูเพิ่มขึ้นทุกๆ ปีนั้น เกิดจากความศรัทธาที่บอกกันแบบปากต่อปาก ยิ่งในช่วงเศรษฐกิจไม่ดีผู้คนเข้าวัดเพื่อหาวัตถุมงลเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ รวมทั้งสร้างขวัญและกำลังใจในการต่อสู้กับชีวิตและประกอบอาชีพในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ”



พิธีบูชาครูบูรพาจารย์ ชุมนุมเทพ บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จัดขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบชาติกาล ๑๐๑ ปี หลวงพ่อพูล อัตตะรักโข ในวันพุธที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตั้งแต่เวลา ๐๙.๓๙ น. ณ วัดไผ่ล้อมเพื่อเป็นการอนุรักษ์ประเพณีไทย และเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทิตา สืบสานตำนานพระเวทหลวงพ่อพูล

งานชุมนุมเทพ นับเป็นบรรยากาศการรวมตัวกันของกลุ่มคนผู้ศรัทธา ตกแต่งซุ้มงดงามด้วยดอกไม้หลากสีสัน เติมเต็มมนต์ขลัง กลิ่นธูปควันเทียน ขับขานบูชาด้วยจังหวะดนตรี และบทสวดแบบอินเดีย เนรมิตสถานที่ให้เป็นสถานแห่งเทพอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นประเพณีแห่งความเชื่อ และศรัทธาในต่างศาสนา ที่งดงาม เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที ต่อสิ่งที่มองไม่เห็น เพื่อเป็นการบูชาองค์เทพต่างๆ เป็นการทำบุญใหญ่บูชาครูบาอาจารย์

สำหรับพิธีการจัดชุมนุมองค์เทพ นับเป็นบรรยากาศการรวมตัวกันของกลุ่มคนผู้ศรัทธา มีร่างทรงและคนมีองค์มาร่วมชุมนุมกว่า ๑,๐๐๐ คน ที่มาด้วยชุดหลากสีสันตามองค์เทพที่มาประทับร่าง ส่วนใหญ่จะเป็นชุดแบบอินเดีย ชุดไทยโบราณ ชุดจีน ชุดไทย รวมทั้งชุดพื้นเมือง สุดแล้วแต่จะอยู่ที่จินตนาของใคร มีทั้งที่มาเดี่ยวและเป็นหมู่คณะห้อมล้อมด้วยหมู่ลูกศิษย์นับร้อย เช่น 

๑.พระลักษมีมาตา พ่อจ้าวทุ่ง (แม่หนอมสุพรรณ) 
๒.แม่ย่าโขนสุโขทัย บางแพ 
๓.พ่อนารายน์ แม่ลักษมี (พ่อกุมารเนื้อทอง) ปราณบุรี 
๔.ปู่สมิงนารายน์ ตะโกสูง 
๕.พ่อเอกาทศรถ หุบกระพง
๖.เจ้าพี่เอกชัย มาลัยแก้ว กาญจนบุรี 
๗.เสด็จพี่พลายชุมพล พระงาม ๒ 
๘.เสด็จพ่อปิยะ บางเลน 
๙.พ่อเจ้าหลวงกาวิละ ณ เชียงใหม่ 
๑๐.เสด็จพ่อจุลทิพวรรณ เจ้าพ่อกวนอู กำแพงเหนือ 
๑๑.ปู่ศรีเทพ บ้านโพธิ์คู่ ๑๒.สมิงขาว บ้านดอนชะเอม 
๑๓.อากงไถ่เซียงเหล่ากุง ดอนเสลา บ้านโป่ง เป็นต้น ที่พิเศษ คือร่างทรงกรมหลวงชุมพรฯ มีสารวัตรทหารเรือ ๔ คนมาคอยอำนวยความสะดวกคล้ายกับองครักษ์

"องค์เทพแต่ละองค์ มีความประสงค์ลงมาสร้างบารมี ช่วยมนุษย์ บำรุงพระศาสนา ท่านจึงต้องเลือกร่างทรงที่มีคุณสมบัติและความดีงาม มีจิตใจเป็นกุศล เพื่อท่านจะได้ลงมาโปรดมนุษย์ได้ ท่านจะเลือกคนดี มีบารมีเท่านั้น องค์พรหม ท่านจะเลือกร่างทรงที่ปฏิบัติ เคร่งในศีล มีบารมีมากๆ ยึดมั่นในคุณธรรม เช่น พรหมวิหาร ๔ มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา " หลวงพี่น้ำฝนกล่าว

*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ "พระสมเด็จวัดระฆัง" รวมสุดยอดพระสมเด็จ!!


สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหฺมรํสี) เป็นผู้สร้างพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม ขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2409 ภายหลังจากได้รับโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น พระสมเด็จพุฒาจารย์ จึงเรียกขานพระเครื่องที่สร้างขึ้นว่า 'พระสมเด็จ' และได้สร้างเรื่อยมาจนถึง พ.ศ.2415 โดยได้แจกจ่ายแก่บรรดาญาติโยมที่มาเยี่ยมเยียน และเมื่อครั้งออกบิณฑบาตในตอนเช้า ครั้นหมดก็สร้างใหม่ ปลุกเสกด้วยคาถาชินบัญชรที่ท่านได้มาจากเมืองกำแพงเพชร ผู้แกะพิมพ์ถวาย คือ หลวงวิจารณ์เจียรนัย ช่างทองในราชสำนัก

พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม เป็นพระเครื่องประเภทเนื้อปูนผสมผงที่สร้างขึ้นด้วยผงวิเศษทั้ง 5 ประการ คือ ผงปถมัง ผงอิทธิเจ ผงมหาราช ผงพุทธคุณ ผงตรีนิสิงเห นอกจากนั้น ยังผสมด้วยมวลสารต่างๆ อาทิ ปูนเปลือกหอย ดินสอพอง เกสรดอกไม้ กล้วยและข้าวสุกตากแห้ง โดยมีส่วนของน้ำมันตังอิ๊วและน้ำอ้อยเป็นตัวเชื่อมประสานให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เนื้อของพระมีสีขาวแบบปูนปั้น หรือสีขาวอมเหลือง มองดูเนื้อแก่ผง มีความหนึบนุ่มและแกร่ง ขนาดองค์พระเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีความกว้างประมาณ 2.2 เซนติเมตร สูงประมาณ 3.5 เซนติเมตร หนาประมาณ 4-6 มิลลิเมตร ทุกแบบพิมพ์ ประกอบด้วยพิมพ์ทรงมาตรฐานที่เล่นหาสะสมในวงการทั้งหมด 4 พิมพ์ทรง คือ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์ทรงเจดีย์ พิมพ์ฐานแซม พิมพ์เกศบัวตูม ส่วนพิมพ์ปรกโพธิ์นั้น ยังเป็นที่ถกเถียงกันของนักสะสมพระเครื่อง ฝ่ายหนึ่งกล่าวว่า พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม ไม่มีพิมพ์ปรกโพธิ์ แต่อีกฝ่ายหนึ่งกล่าวว่าในพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม มีพิมพ์ปรกโพธิ์เช่นเดียวกับในพระสมเด็จกรุวัดบางขุนพรหม ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหฺมรํสี) สร้างไว้

ทั้ง พ.อ.(พิเศษ)ประจน กิตติประวัติ หรือ ตรียัมปวาย ได้จัดทำเนียบชุดพระเครื่อง เบญจภาคี ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2495 โดยเมื่อแรกเริ่มยังคงเป็นเพียง ไตรภาคี คือ มีเพียง 3 องค์เท่านั้น อันประกอบด้วย 'พระสมเด็จ' วัดระฆังโฆสิตาราม เป็นองค์ประธาน ซ้ายขวาเป็น 'พระนางพญา' พิษณุโลก และ 'พระรอด' ลำพูน ไม่นานจากปีนั้นจึงได้ผนวก 'พระกำแพงซุ้มกอ' กำแพงเพชร และ 'พระผงสุพรรณ' สุพรรณบุรี เข้าเป็นชุด 'เบญจภาคี' สุดยอดปรารถนาของนักสะสมพระเครื่องทั้งหลาย

อย่างไรก็ตามหากมองย้อนกลับไปในครั้งนั้น พระเครื่องที่ได้รับความนิยมชมชอบมากเป็นพิเศษแล้ว คือ พระเครื่องที่มีพุทธคุณในด้าน 'คงกระพันชาตรี'ซึ่งการจัดทำทำเนียบ 'เบญจภาคี' นั้น เป็นส่วนหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดความนิยมพระเครื่องทั้ง 5 องค์ ในชุดดังกล่าว อันล้วนเป็นพระเครื่องที่มีราคาการเช่าที่สูงๆ ทั้งสิ้นยิ่งเมื่อ พ.อ.(พิเศษ) ประจน กิตติประวัติ จัดให้พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม เป็น 'จักรพรรดิแห่งพระเครื่อง' ความนิยมใน 'พระสมเด็จ' ก็ทะยานสู่แถวหน้าของพระเครื่องเมืองไทย

"สมศักดิ์ คงวุฒิปัญญา" หรือ ชื่อที่วงการพระเครื่องคุ้นหูกันดีกับ "ยี่ บางแค" กรรมการตัดสินพระเครื่องชุดเบญจภาคีของสมาคมพระเครื่องพระบูชาไทยและหนึ่งในทีมงาน "หนังสือพระท่าพระจันทร์" ผู้ซึ่งรับหน้าที่จัดทำหนังสือ "พระสมเด็จวัดระฆัง" บอกว่า หนังสือพระสมเด็จวัดระฆังฯ ความหนา ๓๐๐ กว่าหน้า เนื้อหาในเล่มประกอบด้วย ประวัติและภาพพระเครื่อง ๓ สมเด็จฯ คือ 

๑.สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหฺมรังสี) ผู้สร้าง พระสมเด็จฯ วัดระฆังฯ
๒.สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัด เสนีย์วงศ์) ผู้สร้าง พระสมเด็จปิลันทน์ วัดระฆังฯ 
๓.สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร) ผู้สร้าง เหรียญหล่อวัดระฆังฯ หลังค้อน

"ความพิเศษของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่ภาพพระสมเด็จที่ปรากฏเป็นพระหน้าใหม่ของวงการ ที่แท้และสวย รวมทั้งภาพพระสมเด็จองค์ดังที่มีชื่อในอดีตจนถึงปัจจุบัน ไว้ครบทุกพิมพ์ ชนิดที่เรียกว่าภาพพระยังหาดูได้ยาก โดยเฉพาะ พระสมเด็จ พิมพ์ใหญ่ วัดระฆัง องค์แชมป์ ของคุณกฤตย์ รัตนรักษ์ สมเด็จองค์ลุงพุฒิ นายไชยทัศน์ เตชะไพบูลย์ หรือ โป๊ยเสี่ย" ยี่ บางแค กล่าว

นอกจากนี้เพื่อความเข้าในการศึกษาพระเครื่อง ยังได้นำภาพพระสมเด็จที่มีรักก่อนล้างทำความสะอาดและหลังจากล้างทำความสะอาดแล้ว รวมทั้งพระสมเด็จที่ชำรุด ก่อนซ่อมและหลังซ่อม นำมาเปรียบเทียบองค์ต่อองค์ให้นักสะสมพระเครื่องได้ศึกษาและเรียนรู้อีกด้วย

หนังสือ "พระสมเด็จวัดระฆัง" ไม่ใช่หนังสือที่ทำออกมาวางจำหน่ายทั่วๆ ไป หากเป็นหนังสือที่นิตยสารพระท่าพระจันทร์จัดทำขึ้นเป็นรางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศพระแต่ละรายการ ในงานการประกวดการอนุรักษ์ และอนุรักษ์พระบูชา พระเครื่อง และเหรียญคณาจารย์ ครั้งที่ ๑ ณ หอประชุมชุณหะวัณ โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน จ.นครปฐม ในวันอาทิตย์ที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖ นี้ ค่าส่งพระรายการละ ๓๐๐ บาท แต่ราคาหนังสือเล่มนี้มีการถามหาในวงการหนังสือพระในเล่มละ ๓,๐๐๐ บาท เลยทีเดียว


พระสมเด็จองค์ครูเอื้อ ซึ่งเป็นพระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่ ถือว่าเป็นพระสมเด็จองค์ครูที่วงการพระเครื่องมักกล่าวขวัญถึงเสมอๆ ซึ่งปัจจุบันนี้อยู่ในครอบครองของ พล.ต.ท.สันติ เสนะวงศ์ อดีตผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งนี้ อ.รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ประเมินราคาพระองค์นี้ในหนังสือพระเงินล้าน ว่า องค์ครูเอื้อมูลค่าในปัจจุบันน่าจะเป็น ๑๐๐ ล้าน ส่วนองค์เจ้แจ๋วสูงกว่า ๑ เท่า สวยที่สุดในประเทศไทย ราคา ๒๐๐ ล้านบาท!!

พล.ต.ท.สันติ เคยกล่าวไว้ ได้มาจากพ่อตา (ครูเอื้อ สุนทรสนาน) ท่านได้ให้ไว้เมื่อวันแต่งงานกับบุตรสาวของท่าน (อติพร สุนทรสนาน เสนะวงศ์) สมัยที่ท่านยังรับข้าราชการอยู่กรมประชาสัมพันธ์ เวลากลับบ้านท่านก็นั่งรถรางข้างวังสวนจิตรลดาแล้วต้องผ่านนางเลิ้ง ซึ่งมีแผงขายพระเครื่องเป็นกระด้งมากมาย พ่อก็จะลงไปเลือกเช่าพระสมเด็จ โดยจะซื้อครั้งละร้อยสองร้อยบาท หลังจากนั้นไม่กี่วัน พ่อก็จะลงไปเลือกซื้อพระอยู่เป็นประจำทำให้พระสมเด็จวัดระฆังที่พ่อเก็บสะสมเอาไว้มีหลายองค์ และแต่ละองค์จะมีความสมบูรณ์มาก

อย่างไรก็ตามการเช่าการขายพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ใหญ่ ที่มีชื่อเสียงอยู่ในระดับแถวหน้าเช่น 'องค์เสี่ยหน่ำ' อย่าง 'องค์ลุงพุฒ' 'องค์ขุนศรี' 'องค์เล่าปี่' 'องค์กวนอู' 'องค์บุญส่ง' 'องค์เจ๊แจ๊ว' 'องค์เจ๊องุ่น' 'องค์ครูเอื้อ' 'องค์เสี่ยดม' และ 'องค์มนตรี' ล้วนมีการเช่าการขายกันองค์ละหลายสิบล้านบาททั้งสิ้น โดยเฉพาะ "องค์ขุนศรี" หรือ "องค์มนตรี" ซึ่งนายมนตรี พงษ์พานิช นักการเมืองชื่อดังในอดีตได้ครอบครอง เป็น พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ใหญ่ และพิมพ์ทรงเจดีย์ทั้งสององค์ เช่ากันเกือบ ๕๐ ล้านบาท แต่ก็เป็นที่ทราบกันในวงการพระเครื่องเท่านั้น เนื่องเพราะการติดต่อเรื่องราคาอยู่ที่ผู้ขาย และผู้เช่าเท่านั้น

ส่วน "รังพระสมเด็จ" ที่ขึ้นชื่อของวงการพระเครื่องในปัจจุบัน ซึ่งมูลค่าของพระบางรังอาจจะสูงถึงหลักพันล้าน เช่น รังพระของนายไชยทัศน์ เตชะไพบูลย์ หรือ "โป๊ยเสี่ย" เจ้าของ พระสมเด็จองค์ลุงพุฒิ (พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่) รังพระของนายปรีดา อภิปุญญา หรือ "เฮียหนึ่ง" เจ้าของพระสมเด็จองค์ครูเอื้อ (พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่)พระเครื่ององค์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพระดังในตำนานที่ย้ายเข้าไปอยู่ในรังของ นายวิชัย รักศรีอักษร ประธานกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เจ้าของฉายา “เจ้าพ่อดิวตี้ฟรี” หรือ เสี่ยวิชัย มี ๒ องค์ คือ พระสมเด็จ "องค์เปาบุ้นจิ้น" และ พระสมเด็จ“องค์ขุนศรี”

*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ



วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วัดสระเกศฯ เตรียมผุด สติ๊กเกอร์ไลน์น้องคุณธรรมฯ


พระวิจิตรธรรมาภรณ์
ผู้ช่วยเลขานุการสำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศฯ กล่าวว่า จากการที่ทางสำนักงานส่งเสริมคุณธรรมฯ ได้จัดทำแอพพลิเคชั่น หนังสือสวดมนต์ข้ามปีของมหาเถรสมาคม เพื่อให้ประชาชนสามารถดาวน์โหลดผ่านแอพสโตว์ของไอโฟน ชื่อว่า จริยธรรมแอพพลิเคชั่น (Jariyatam) นั้น ขณะนี้ได้พัฒนาจากเวอร์ชั่นแรกที่มีแค่ตัวหนังสือ เป็นเวอร์ชั่นที่สอง โดยบทสวดมนต์จะมีตัวหนังสือ พร้อมเสียงให้ฟัง นอกจากนั้นยังมีหนังสือ แมกกาซีน หนังสั้น จริยธรรมทีวี ข่าวเกี่ยวกับศาสนา มีคำนาย คือ “ธรรมนาย” ถ้าแปลก็คือแอพที่จะนำคนไปสู่ธรรม ในคำธรรมนายจะใช้แบบโหราศาสตร์ทั่วๆไป มีเซียมซี จะมีคำทำนายอยู่ มีบทความทางธรรมะ เน้นให้คนได้ใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆ เป็นหัวข้อแต่ละเรื่องที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การจัดโต๊ะหมู่บูชาอย่างถูกต้อง การดูดวงจากวันเกิดและ ปีเกิด เป็นต้น


“สำนักงานศูนย์ส่งเสริมคุณธรรมฯ ยังมีการจัดทำสติ๊กเกอร์น้องคุณธรรมจริยธรรมสำหรับโหลดไว้ใช้ในแอพพลิเคชั่นไลน์ (LINE) ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ด้วย โดยออกแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว เน้นให้เด็กและเยาวชนรู้จักคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนา คำศัพท์วัด เช่น รูปสติ๊กเกอร์น้องคุณธรรมจริยธรรมกำลังจะนอน จะใช้คำว่า จำวัด และนอนในท่าสีหไสยาสน์ ตะแคงขวา หากใครโทรมาแล้วเรากำลังตักบาตรอยู่ ก็สามารถกดสติ๊กเกอร์น้องคุณธรรมจริยธรรมกำลังใส่บาตรส่งไปให้ทราบว่าเรากำลังตักบาตรอยู่ นอกจากนี้ยังน้องคุณธรรมจริยธรรมนั่งสมาธิ กวาดลานวัด ไหว้สวัสดีแบบไทยๆ เป็นต้น คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมให้ดาวน์โหลดปลายปี 2556 นี้แน่นอน” พระวิจิตรธรรมาภรณ์ กล่าว

*************************

เรื่องโดย : เดลินิวส์ออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




เจ้าคณะลพบุรี ตั้ง 5 ศูนย์บาลี ยกระดับคุณภาพพระ

พระราชพุทธิวราภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี กล่าวว่า จากการประชุมพระสังฆาธิการในเขตจังหวัดลพบุรี ที่โรงเรียนวินิตศึกษา อ.เมือง จ.ลพบุรี เมื่อเร็วๆนี้ ได้กำหนดให้มีการดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วน 3 เรื่อง คือ 

1.เร่งพัฒนา ยกระดับความรู้พระสังฆาธิการ เพื่อประโยชน์ในการบริหารงานคณะสงฆ์ 

2. จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้พระปริยัติธรรม แผนกบาลี 5 ศูนย์ โดยกำหนดให้เป็นวาระจังหวัด ตามนโยบายของ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ แม่กองบาลีสนามหลวง เนื่องจากที่ผ่านมาจังหวัดลพบุรี ถือว่าเป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่ มีจำนวนวัด และพระสงฆ์จำนวนมาก แต่ผลการสอบบาลีสนามหลวง กลับไม่ค่อยเป็นไปตามเป้าหมาย ดังนั้นการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวจะช่วยพัฒนาคุณภาพในการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม แผนกบาลี ของคณะสงฆ์จังหวัดลพบุรี ให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น 

3.จัดตั้งสำนักงานเจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะตำบล เพื่อเป็นสถานที่ในการทำงาน ศูนย์กลางในการประสานงาน ติดต่อ และเก็บรวบรวมข้อมูลของคณะสงฆ์จังหวัดลพบุรี

พระราชพุทธิวราภรณ์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังมีแนวทางให้เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล ออกตรวจวัดในเขตปกครองอย่างน้อยปีละ 3 ครั้ง ทั้งยังจะปรับระบบการแต่งตั้งพระสังฆาธิการให้เหลือปีละ 1 ครั้ง จากเดิมที่มีการเสนอชื่อมาเมื่อใดเจ้าคณะจังหวัดก็มีอำนาจแต่งตั้งได้ทันที พร้อมกันนี้พระสังฆาธิการจะต้องสนับสนุนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวมหาสติปัฏฐาน 4 ให้แก่พระภิกษุ สามเณร ในเขตปกครองด้วย พร้อมกันนี้ทุกตำบล และทุกอำเภอจะต้องสนับสนุนและจัดตั้งสำนักศาสนศึกษาประจำตำบลและอำเภอ โดยระดับตำบลมุ่งเน้นจัดการศึกษาระดับนักธรรมตรี ส่วนระดับอำเภอมุ่งเน้นการจัดการศึกษาระดับนักธรรมโทและเอก 

ขณะเดียวกันทุกวัดที่ส่งรายชื่อผู้ที่เข้าสอบธรรมศึกษา จะต้องมีการจัดการเรียนการสอนธรรมศึกษาด้วย นอกจากนี้ยังอยากเตือนพระสังฆาธิการให้ระวังความประพฤติด้วย เพราะปัจจุบันมีเทคโนโลยีการสื่อสารที่สามารถสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว ทั้งคลิปวิดีโอ เฟซบุ๊ค ซึ่งหากใช้อย่างไม่ถูกต้องก็อาจจะสร้างความเสื่อมเสียให้กับคณะสงฆ์จังหวัดลพบุรีได้

*************************

เรื่องโดย : เดลินิวส์ออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หลวงพ่อคง ฐิติปัญโญ วัดตะคร้อ อริยะโลกที่ 6

"พระครูคงคนครพิทักษ์" หรือ "หลวงพ่อคง ฐิติปัญโญ" วัดตะคร้อ อ.คง จ.นครราชสีมา เป็นพระเกจิ อาจารย์เรืองวิทยาคมรุ่นเก่าอีกรูปหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วภาคกลาง หลวงพ่อคง เดิมชื่อ คง เทพนอก เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 พ.ค.2453 ปีกุน ณ บ้านคอนเมือง หมู่ 2 ต.เทพาลัย อ.คง จ.นคร ราชสีมา บิดา-มารดา ชื่อ นายพูน และนางแย้ม เทพนอก ประกอบอาชีพทำนาทำไร่

ท่านเป็นลูกคนโต จึงต้องทำงานหนักตรากตรำมากกว่าคนอื่นตั้งแต่เด็กจนโต หัดไถนา ปักดำ ถอนกล้า เกี่ยวข้าวและหาบข้าว ช่วยบิดา-มารดา ทำงานทุกอย่าง เพื่อแบ่งเบาภาระหน้าที่ ต่อมาบิดาได้นำไปฝากกับ หลวงพ่อหมั่น ที่วัดบ้านคอนเมือง จ.นครราชสีมา หลวงพ่อหมั่นเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เชี่ยวชาญวิทยาคม ท่านจึงเป็นที่เคารพนับถือของคนแถบนั้น โดยวัดบ้านคอนเมืองนั้นไม่ห่างไกลกับบ้านของท่าน ด้วยบิดา-มารดาต้องการให้ท่านได้เล่าเรียนหนังสือ อ่านออกเขียนได้และมีวิชาติดตัว 

ชีวิตเด็กวัดเป็นคนหนักเอาเบาสู้ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานและมีเมตตา เมื่ออายุ 16 ปี บรรพชาเมื่อปี พ.ศ.2470 แต่บวชได้เพียง 2 ปี ก็ต้องลาสิกขา เหตุไม่มีคนเลี้ยงดูบิดามารดา พ.ศ.2474 เมื่อน้องของท่านโตพอที่จะรับภาระหน้าที่ได้จึงได้เข้าพิธีอุปสมบท ขณะนั้นอายุ 21 ปี โดยความตั้งใจแต่ทีแรกท่านเพียงต้องการบวชเพื่อทดแทนคุณ และเป็นไปตามค่านิยมของท้องถิ่นที่ผู้ชายทุกคนต้องได้เคยบวชเรียนมาก่อนครองเรือน อุปสมบท ณ วัดบ้านวัด ต.เทพาลัย อ.คง จ.นครราชสีมา มี หลวงพ่อทุย (พระครูศีล วิสุทธิพรต) เจ้าอาวาสวัดเดิม อ.พิมาย เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์ทองสุข สุชาโต เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์ทิม สุมโน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ฐิติปัญโญ มีความหมายว่า ผู้มีปัญญาตั้งมั่น

หลังอุปสมบทพระภิกษุคงได้มาศึกษาเล่าเรียนกับ หลวงพ่อทุย วัดเดิม อ.พิมาย พระอุปัชฌาย์ของท่าน ซึ่งหลวงพ่อทุยเป็นพระภิกษุเรืองวิทยาคม เป็นที่นับถือมากของชาวพิมายและโคราช และเมื่อมีเวลาว่างพระภิกษุคงได้ปรนนิบัติอุปัฏฐากหลวงพ่อทุย

พ.ศ.2480 หลวงพ่อทุยได้แนะนำให้พระภิกษุคงได้ไปศึกษาเล่าเรียนกับ หลวงพ่อเขียว เจ้าอาวาสวัดบัวใหญ่ อ.บัวใหญ่ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อทุยเช่นกัน โดยหลวงพ่อเขียวท่านมีวิชาที่เชี่ยวชาญด้านแคล้วคลาดปลอดภัย

พระภิกษุคงได้รับการถ่ายทอดวิชาที่เข้มขลังทั้งหมด อีกทั้งในขณะที่อยู่จำพรรษาที่วัดบัวใหญ่ ท่านขึ้นชื่อว่าเป็นพระที่เทศน์ได้เก่งมาก ได้รับกิจนิมนต์ให้ไปเทศน์ในถิ่นทุรกันดารเสมอๆ ซึ่งเป็นการฝึกตนเองให้กับพระภิกษุหนุ่ม ในช่วงนั้นพระภิกษุคงยังได้มีโอกาสออกท่องธุดงค์ไปทั้งลาวและเขมร ซึ่งการเดินทางในยุคนั้นยากลำบากมาก ภาคอีสานเต็มไปด้วยป่าดงดิบ ดังนั้น พระภิกษุที่ออกธุดงค์ได้จะต้องมีวิชาที่เก่งกล้า

พ.ศ.2493 ครั้นเมื่อตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดตะคร้อ อ.คง จ.นครราชสีมา ว่างลง หลวงพ่อเขียวเห็นว่าพระหนุ่มรูปนี้มีความสามารถที่จะรับตำแหน่งนี้ได้ จึงสนับสนุนให้พระหนุ่มได้มีโอกาสดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดตะคร้อ กล่าวได้ว่าวัดตะคร้อในยุคนั้นเป็นวัดยากจน แถบอำเภอคงจัดได้ว่าเป็นอำเภอที่ทุรกันดารที่สุดในยุคนั้น หลวงพ่อคงต้องบริหารปกครองพระลูกวัด ท่านได้สร้างเสนาสนะ อุโบสถ โรงเรียนพระปริยัติธรรม ฯลฯ จนกระทั่งได้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่างของกระทรวงศึกษาธิการ

หลวงพ่อคง วัดตะคร้อ เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ด้วยวัตรปฏิบัติที่งดงามน่าเลื่อมใส หลวงพ่อท่านมีวิชาอาคมที่เข้มขลัง ท่านรับกิจนิมนต์โดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ทุกคนที่มากราบนมัสการหลวงพ่อท่านจะมอบวัตถุมงคลให้คนละกำมือ แม้กระทั่ง หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ พระเกจิดังแห่งวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นคร ราชสีมา ยังได้เข้ากราบนมัสการหลวงพ่อคง ณ วัดตะคร้อ เนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบ 7 รอบ เมื่อปีพ.ศ.2537 เนื่องจากเป็นสหธรรมิกกัน

*************************

เรื่องโดย : ข่าวสดออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ




๒๔ ยอดกตัญญูจีน คุณธรรมพันปี ที่ "ศาลปู่-ยา" อุดรธานี



ศูนย์วัฒนธรรมไทยจีนอุดรธานี ก่อสร้างขึ้นจากดำริของคณะกรรมการมูลนิธิศาลเจ้าปู่ย่าอุดรธานี และตั้งอยู่บริเวณเดียวกันกับ ศาลเจ้าปู่ย่า เทพเจ้าแห่งความเมตตา ได้รับกล่าวขาน ถึงความศักดิ์สิทธิ์แผ่ความเมตตาแก่คนยากไร้ ผู้ใดมีทุกข์โศก มักจะไปจุดธูปขอให้ความทุกข์ที่มีอยู่สลายไปหรือไปบนบานศาลกล่าวขอให้การค้าเจริญรุ่งเรืองและมักจะได้บารมีจาก เทพเจ้าปู่ย่าดลบันดาลให้สมหวังในสิ่งที่ขอ

นายศักดิ์ชัย อุ่นจิตติกุล เลขาธิการคณะกรรมการศาลเจ้าปู่-ย่า สมัยที่ ๕๘ บอกว่าศูนย์วัฒนธรรมไทยจีนอุดรธานี สร้างขึ้นเพื่อเป็นการเชิดชูองค์เจ้าปู่เจ้าย่า ที่เป็นที่เคารพและศรัทธาของชาวอุดรธานีและจังหวัดใกล้เคียง อีกทั้งเป็นแหล่งในการสืบสานวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามของชาวจีนที่อพยพจากประเทศจีนมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในจังหวัดอุดรธานี

นอกจากนี้แล้วยังมีแนวคิดที่จะจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับชนชาติจีนในระดับสากล เพราะขืนแสดงประวัติของคนจีนอุดรคงไม่มีใครสนใจ จึงจัดแสดงเรื่อง ขงจื้อ มหาปราชญ์ผู้สอนเรื่องคุณธรรม ความกตัญญู รวมทั้งศาสตร์การปกครอง

เมื่อสร้างอาคารเสร็จจึงสร้างสวนแบบจีน แต่เมื่อเข้าไปดูแล้วมีแต่ความสวยงาม เหมาะแก่การถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดสร้างให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่ดูเหมือนว่ายังขาดสาระไปบางอย่าง ทั้งนี้ต้องมีแตกต่างจาก ศาลเจ้าที่ จ.สุพรรณบุรี และวัดไตรมิตร ในที่สุดก็พบว่า คุณธรรม ๑๐๐๐ ปี ๒๔ ยอดกตัญญูจีน ที่เป็นตำนานสุดยอดความกตัญญูแห่งแผ่นดินจีน

“๒๔ ยอดกตัญญู เป็นเรื่องเล่าที่มีมานานแล้วในประวัติศาสตร์จีน เป็นหนึ่งในเรื่องที่ถูกสอนให้เด็กๆ ได้รับรู้ ถึงบุคคลในประวัติศาสตร์จีนที่ถูกยกย่องว่าเป็นสุดยอดกตัญญู แม้ว่าหลายเรื่องในนั้นจะเป็นเหมือนตำนานอภินิหารในแบบเรื่องเล่าสืบต่อๆ กันมาจากโบราณ แต่ทุกเรื่องต่างประกอบด้วยคุณธรรมสอนใจให้ได้รู้จักและซาบซึ้งถึงความกตัญญูต่อบิดา มารดาของตนเอง แม้จะมีชีวิตทุกข์ยากลำเค็ญเพียงใด สวรรค์ย่อมไม่ทอดทิ้งคนกตัญญู” นายศักดิ์ชัยกล่าว

พร้อมกันนี้ นายศักดิ์ชัย ได้เล่าถึงเรื่อง ๒๔ ยอดกตัญญูจีน ที่ประทับใจมากที่สุด เรื่อง “แม่เลี้ยงลูกเลี้ยง” ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น สมัยราชวงศ์โจว จื่อเชียนกำพร้ามารดาแต่เด็ก บิดามีภรรยาใหม่ มีบุตรด้วยกัน ๒ คน มารดาเลี้ยงเกลียดชังจื่อเชียนมากมักหาเรื่องดุด่าเฆี่ยนตีอยู่เสมอ วันหนึ่งในฤดูหนาวบิดาใช้ให้จื่อเชียน เข็นรถม้าออกไปข้างนอกเพื่อจะไปทำธุระ ขณะที่จื่อเชียนกำลังเข็นรถม้าอยู่นั้นเชือกบังเหียนที่บังคับม้าเกิดหลุดจากมือ

เมื่อบิดาตรวจดูเสื้อผ้าของจื่อเชียน ก็รู้ว่าเสื้อกันหนาวของบุตรนั้นภายในบุด้วยนุ่นเทียม ครั้นไปตรวจดูเสื้อผ้าของลูกอีกสองคนปรากฏว่าภายในบุด้วยนุ่นอย่างดี บิดาโมโหสุดขีด คิดจะขับไล่นางไปจากบ้าน จื่อเชียนรีบคุกเข่า พูดว่า บิดาอย่าไล่มารดาไปนะครับ ถ้ามารดาอยู่ผมหนาวคนเดียวเท่านั้น ถ้ามารดาไปเราสามคนต้องลำบากไร้คนดูแล มารดาเลี้ยงได้ฟังคำของลูกเลี้ยง รู้สึกตื้นตันใจมากได้สำนึกผิด ตั้งแต่นั้นมานางก็รักเอ็นดูจื่อเชียนเสมอบุตรของตน

นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าที่เด่นๆ เช่น “น้ำนมไม่สูญเปล่า” เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง นางจั่งซุนฮูหยินชรามากแล้ว ฟันร่วงหลุดหมดปาก ไม่สามารถขบเคี้ยวอาหารได้ นางถังฮูหยินผู้เป็นบุตรสะใภ้ต้องสละน้ำนมของนางให้กินทุกวัน ก่อนให้น้ำนมแม่ผัว นางจะอาบน้ำชำระร่างกายจนสะอาด แต่งตัวเรียบร้อยเข้าไปในห้องโถง เลิกเสื้อให้แม่ผัวดูดกินน้ำนมจากเต้าของนาง

นางจั่งซุนฮูหยิน แม้จะไม่ได้กินข้าว แต่ได้กินน้ำนมทุกวัน เวลาผ่านไปหลายปีนางก็ยังแข็งแรงดี วันหนึ่งนางเกิดป่วยหนัก ได้เรียกบุตรหลานทุกคนมาพร้อมหน้าแล้วกล่าวว่า "ย่าไม่มีอะไรจะตอบแทนบุญคุณของลูกสะใภ้ ขอเพียงให้ลูกสะใภ้ของลูกหลานทุกคน จงได้มีความกตัญญูต่อแม่ผัวดังเช่นลูกสะใภ้ของย่าคนนี้ย่าก็พอใจแล้ว”

ส่วนอีกเรื่องหนึ่ง คือ “ชิมอุจจาระบิดา” เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ฉี เกิงเฉียนโหลวสอบเข้ารับราชการได้ที่อำเภอแห่งหนึ่ง เข้าทำงานได้ไม่ถึง ๑๐ วัน จู่ๆ ก็รู้สึกใจสั่นเหงื่อไหลโซมกายโดยไร้สาเหตุ สังหรณ์ใจว่าทางบ้านคงเกิดเหตุอะไรขึ้น จึงลาราชการกลับบ้านเกิด

เมื่อถึงบ้านก็พบว่าบิดาเพิ่งจะป่วยได้ ๒ วัน หมอที่มารักษาบอกเขาว่า ถ้าอยากรู้ว่าอาการป่วยหนักหรือเบา เพียงแค่ชิมอุจจาระของคนไข้ก็จะทราบ หากอุจจาระมีรสขมก็รักษาไม่ยาก แต่ถ้ามีรสหวานก็หมดหนทางรักษา เฉียนโหลวมิรอช้าเอาอุจจาระของบิดาขึ้นชิมทันที ปรากฏว่ามีรสหวาน ทำให้เขาทุกข์ใจมาก พอตกค่ำเขาอธิษฐานต่อเทพเจ้าเบื้องบน ขอให้บิดาจงหายป่วย ส่วนตนเองจะขอตายแทน ด้วยอานุภาพแห่งความกตัญญูของเขา ไม่ช้าบิดาก็หายเป็นปกติ

“ความกตัญญู เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ เป็นรากฐานแท้แก่นเดิมที่ควรจะมีในจิตใจของมนุษย์ทุกคน สิ่งหนึ่งที่เป็นเครื่องยืนยันว่าคนยังให้ความกตัญญู คือ ในวันที่ประกาศหาเจ้าภาพในการจัดทำไม่น่าเชื่อว่าหลังจากประกาศหาทุนสร้างใช้เวลาเพียง ๓๐ นาทีเท่านั้น ก็มีคนมาร่วมเป็นเจ้าภาพครบ ๒๔ แผ่น” เลขาธิการคณะกรรมการศาลเจ้าปู่-ย่ากล่าวทิ้งท้าย

ศูนย์วัฒนธรรมไทยจีนอุดรธานี เปิดให้ชมฟรีอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา โดยเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐-๑๙.๐๐ สอบถามข้อมูลได้ที่ โทร.(๐๔๒)๒๔๗-๒๙๑ และ (๐๔๒)-๒๔๔-๔๔๒

ในการดำเนินการจัดสร้างศูนย์วัฒนธรรมนั้น คณะกรรการศาลปู่-เจ้า สมัยที่ ๕๘ ได้ริเริ่มระดมทุนจัดซื้อที่ดิน ๓ ไร่ ใช้เวลาก่อสร้างเป็นเวลาเกือบ ๕ ปี ทั้งนี้เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๒ พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เสด็จไปทรงเป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์ และดำเนินการจนแล้วเสร็จสมบูรณ์ใช้งบประมาณ ๗๕ ล้านบาท

ภายในศูนย์วัฒนธรรมไทย-จีนอุดรธานี ประกอบด้วย อาคารพิพิธภัณฑ์ บอกเล่าเรื่องราวของชาวจีนที่อพยพมาอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี เมื่อกว่า ๑๒๐ ปีที่ผ่านมา ผลงานของคณะกรรมการศาลเจ้าปู่ย่าจากอดีตถึงปัจจุบัน

ศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรม มีการจำลองประเพณีการไหว้ของชาวจีน ประวัติมหาปราชญ์ขงจื้อ ห้องฉายภาพยนตร์ ๓ มิติ ห้องประชุม ห้องออเคสตร้า ศูนย์การเรียนรู้ และโรงทาน

อาคารเฉลิมพระเกียรติพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เพื่อเป็นอนุสรณ์และเชิดชูพระเกียรติในวาระที่พระองค์เสด็จทรงงานอัยการที่จังหวัดอุดรธานี

หอเกียรติยศ เป็นการประกาศเกียรติคุณให้แก่ผู้ที่ทะนุบำรุง สนับสนุน กิจกรรมศาลเจ้าปู่-ย่า อย่างต่อเนื่อง

นายศักดิ์ชัย กล่าวว่า ผลงานด้านการส่งเสริมวัฒนธรรม ของมูลนิธิศาลเจ้าปู่-ย่าอุดรธานี คือ วงดนตรีออเคสตร้าจีนวงแรกของประเทศไทย ที่ใช้นักดนตรี เล่นเครื่องดนตรีจีนมากถึง ๔๐ ชิ้น เพื่อสืบสานศิลปะดนตรีจีน นอกจากนี้แล้วยังมีโครงการเปิดสอนดนตรีจีนให้ฟรี โดยมูลนิธิเป็นผู้ออกทุนให้หมด

*************************

เรื่องโดย : คมชัดลึกออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ