วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

หนุมาน ไม่มีวันตาย!!


หนุมาน เป็นทหารเอกของพระราม มีกำเนิดมาจากเทพ มีอาวุธของพระอิศวร มีฤทธิ์เดชอำนาจมาก สามารถสำแดงเดชได้หลายประการ หนุมานได้ชื่อว่าเป็น อมตะ คือ ไม่มีวันตาย อยู่ยงคงกระพันชาตรี เนื่องจากเป็นบุตรของ พระพาย (ลม) เมื่อหนุมานมีอันตรายถึงตาย เพียงแค่มีลมพัดมา หนุมานก็จะฟื้นคืนชีพขึ้นมา ด้วยอำนาจของพระพายผู้เป็นบิดา


ด้วยลักษณะที่โดดเด่นเป็นมงคลเหล่านี้ โบราณจารย์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางพุทธาคม จึงมักจะสร้างเครื่องรางของขลังเป็นรูปหนุมาน เพราะถือว่าเป็นทั้งศาสตร์ที่ลึกล้ำ และเป็นทั้งศิลป์ที่งดงาม 

พระเกจิอาจารย์ที่สร้างเครื่องรางของขลัง "หนุมาน" จนได้รับการกล่าวขานถึงความนิยม และศรัทธาจากศิษยานุศิษย์มีด้วยกันหลายรูป เช่น

- หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม นครปฐม
- หลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน นนทบุรี
- หลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร ฉะเชิงเทรา
- หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว ฉะเชิงเทรา 
- หลวงพ่อเชย วัดบางกระสอบ สมุทรปราการ 
- หลวงพ่อกุน วัดพระนอน เพชรบุรี
- หลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม ชัยนาท
- หลงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว
- หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ ระยอง
- หลวงปู่หนู วัดทุ่งแหลม ราชบุรี
- หลวงพ่อมหาพิณ วัดอุบลวรรณาราม ราชบุรี ฯลฯ

สำหรับประสบการณ์ของผู้ที่บูชา "หนุมาน" นั้น ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า

"เด่นชัดด้วยเมตตา ปกป้องรักษา แคล้วคลาด คงกระพัน" 

หลายคนได้พบเจอโชคลาภ หน้าที่การงานเจริญรุ่งเรือง บางรายถึงขนาดยืนยันว่า ในชีวิตที่ผ่านมา รอดพ้นปัญหามาได้เพราะ "หนุมาน" บางคนประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ สภาพรถเสียหายหนัก แต่ร่างกายฟกช้ำแค่เพียงนิดหน่อย และก็มีไม่น้อยที่รอดพ้นจากศัตรู ผ่านคมพ้นเขี้ยวมาได้เพราะ "หนุมาน"

แม้จะมีเครื่องรางของขลังที่ศักดิ์สิทธิ์เพียงไหน หากผู้ที่บูชา ไร้ซึ่งบุญญาที่สั่งสมมาจากการทำความดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ก็คงไม่สามารถที่จะช่วยอะไรได้ แต่หากผู้นั้นสร้างบุญสร้างกุศลอยู่เป็นนิจ เหล่าทวยเทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีหรือจะไม่คุ้มครอง


*************************

เรื่อง/เรียบเรียง โดย : เต้ มงคลพระ

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

150 ปี "พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า"


ในวโรกาสพิเศษครบ 150 ปี วันพระราชสมภพ สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ในวันที่ 10 ก.ย.2555 มูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประชาชนชาวไทย จึงจัดกิจกรรมหลากหลายเพื่อเฉลิมฉลอง และเทิดพระเกียรติเป็นระยะเวลา 1 ปี ระหว่างวันที่ 10 ก.ย.2555-10 ก.ย.2556 และเพื่อให้การเฉลิมฉลองเป็นไปตามพระราชดำริในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์ประธานมูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาฯ ว่า "การเฉลิมฉลองนั้นควรเป็นกิจกรรมที่เอื้อประโยชน์แก่คนหมู่มาก"

กิจกรรมแรกจึงจัดทำ "เหรียญที่ระลึก" เฉลิมฉลองในวาระ 150 ปี พระราชสมภพสมเด็จ พระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ออกจำหน่ายเพื่อนำเงินรายได้เป็นทุนจัดสร้างศูนย์รักษาพยาบาลรวม ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ฉุกเฉิน และเวชศาสตร์อุตสาหกรรมภาคตะวันออก โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา เนื่องจากขณะนี้มีความแออัด และมีระบบในการรักษาค่อนข้างล้าหลัง สภาพอาคาร และอุปกรณ์ที่เก่าและชำรุด ห้องตรวจ ห้องฉุกเฉินและห้องผ่าตัดมีไม่เพียงพอ โดยงบประมาณจัดสร้างศูนย์กว่า 3,500 ล้านบาท


สำหรับเหรียญพระรูปสมเด็จพระศรีสวริน ทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า จำลองจากภาพนูนต่ำฝีมือ ศ.ศิลป์ พีระศรี ประกอบด้วยเหรียญทอง เงิน ทองแดง แบบขัดเงา และทองแดงรมดำ ขนาด 2.6 x 3 ซ.ม. และขนาด 1.3 x 1.5 ซ.ม. พร้อมใบรับรองหมายเลขกำกับชุด ราคาชุดละ 1 ล้านบาท, ชุดพิเศษ (ชุดเล็ก) ราคาชุดละ 60,000 บาท, เหรียญทองคำ เหรียญเงิน เหรียญทองแดง แบบไม่ขัดเงา, เหรียญที่ระลึกบรรจุในซองผ้าไหมชุดละ 2,800 บาท และ 850 บาท โดยเหรียญที่จัดทำขึ้นทั้งหมดผ่านการเข้าพิธีในพระอุโบสถวัด พระศรีรัตนศาสดาราม

นอกจากนี้ยังมีเข็มกลัด สมุดสะสมเหรียญกษาปณ์และตราไปรษณียากร และบัตรสะสมเหรียญกษาปณ์ สั่งจองได้ตั้งแต่วันนี้ที่ มูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาฯ, โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย ทุกสาขาทั่วประเทศ

ส่วนกิจกรรมอื่นๆ อาทิ การจัดทำหนังสือ พระราชกรณียกิจ, การอภิปราย ปาฐกถานุกรม, การจัดทำหนังสือที่ระลึก 3 เล่ม ได้แก่ หนังสือพระราชประวัติ จดหมายเหตุเสนอพระนาม ในการเสนอชื่อบุคคลสำคัญ รวมถึงรายนามคนไทยที่ได้รับการยกย่องเป็นบุคคลของโลก หนังสือสมุดภาพเล่มฉบับย่อ และการฉายวีดิทัศน์เฉลิมพระเกียรติช่วงข่าวพระราชสำนัก


สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมารดา ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติหลายประการ ทั้งด้านการแพทย์และสาธารณสุข การศึกษา การอนุรักษ์พัฒนาวัฒนธรรมไทย และด้านสังคมสงเคราะห์

กระทรวงวัฒนธรรมได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตอัญเชิญพระนามาภิไธยสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสนอโครงการเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญ และเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ประจำปี 2554-2555 เพื่อเฉลิมพระเกียรติในวาระ 150 ปี พระราชสมภพ ซึ่งตรงกับวันที่ 10 กันยายน 2555

ในการประชุมสมัยสามัญของยูเนสโก ครั้งที่ 36 ณ สำนักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส ระหว่างวันที่ 25 ตุลาคม-10 พฤศจิกายน 2554 ที่ประชุมมีมติรับรองเฉลิมฉลองวาระ 150 ปี พระราชสมภพสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ในปี 2555 ในฐานะบุคคลสำคัญผู้มีผลงานดีเด่นด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (สาธารณสุข) ด้านวัฒนธรรม สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

"กุมารทองสมบัติ" เทพมงคล หลวงพ่อพูล



"กุมารทองสมบัติ" เทพมงคลคู่บารมี "พระมงคลสิทธิการ" หรือ พระเดชพระคุณ หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข พระอมตะเถราจารย์ แห่งวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม บุพการี แห่ง พุทธาคม ของ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม (รูปปัจจุบัน)

หากท่านใดมีโอกาสได้ไปเยือนวัดไผ่ล้อม "ดินแดนแห่งธรรม" จังหวัดนครปฐม มักจะได้พบกับรูปหล่อบูชาขนาดใหญ่ที่มีชื่อเรียกขานกันว่า "กุมารทองสมบัติ" ซึ่งเป็นกุมารทองที่อยู่กับหลวงพ่อพูลมาตั้งแต่สมัยที่ท่านยังหนุ่ม


เล่ากันว่า กุมารทองสมบัติอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลมานานหลายสิบปี สืบเนื่องมาจากในอดีต พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล ท่านได้เดินทางไปเป็นพระคู่สวดที่จังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมกับ หลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทร และอุปัชฌาย์คือ หลวงพ่อล้ง วัดห้วยจระเข้

ทั้ง 3 องค์นี้ มักจะเดินทางร่วมกันไปโดยตลอด และการเดินทางไปสุพรรณบุรีในครั้งนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล ท่านได้พบและนำกุมารทองกลับมาด้วย เป็นกุมารทองขนาดองค์ใหญ่ เนื้อโลหะสัมฤทธิ์ มีฐานกว้าง 9 นิ้ว สูง 15 นิ้ว ท่านจึงนำมาประดิษฐานไว้ที่กุฏิของท่าน และตั้งชื่อให้ว่า "กุมารทองสมบัติ" ซึ่งเป็นกุมารทององค์เก่าแก่องค์แรกของหลวงพ่อพูล และได้เคยแสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ช่วยเหลือญาติโยมพุทธศาสนิกชนมาโดยตลอด

และในบรรดาวัตถุมงคลของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล ที่ได้รับความนิยมจากศิษยานุศิษย์เป็นอันดับต้นๆ ก็คงต้องยกให้ "กุมารทองสมบัติ" รุ่นต่างๆ ที่ท่านได้จัดสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ขนาดองค์บูชา พกพาห้อยคอ หรือแม้กระทั่ง ขุนแผน-กุมาร ที่ผู้บูชาล้วนกล่าวขานถึงพุทธคุณ

แม้ในปัจจุบัน หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข จะละสังขารไปนานหลายปีแล้ว ความนิยมและศรัทธาในวัตถุมงคล "กุมารทองสมบัติ" ก็ยังมิได้ลดน้อยถอยลง กลับจะยิ่งทวีความนิยมมากขึ้น ดังจะเห็นได้ว่า มีสาธุชนจำนวนมาก หลั่งไหลเข้ามาขอเช่าบูชา ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา ทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ!!


ความศักดิ์สิทธิ์แห่ง "กุมารทองสายเทพ" นามว่า "กุมารทองสมบัติ" ที่ขจรขจายไปถึงแดนไกล คงเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า หากผู้ใดที่มีความเชื่อมั่นและศรัทธา ผลแห่งการบูชา นั่นคือความเจริญ

ดังคำกล่าวของ พระมงคลสิทธิการ (หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข) ที่เคยกล่าวไว้ว่า

"วัตถุมงคลจะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่นั้น อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ 

ขึ้นอยู่กับ ความศรัทธา ของ ผู้ที่บูชา"



*************************

เรื่อง/เรียบเรียง โดย : ทีมข่าวมงคลพระ


หลวงพ่อสุวรรณ "เทพเจ้าแห่งแดนวีรชนใจกล้า"

หลวงพ่อสุวรรณ ธีรสัทโธ แห่งวัดยาง ต.ห้วยไผ่ อ.แสวงหา จ.อ่างทอง พระเกจิอาจารย์เจ้าตำรับตะกรุดโทน ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เอกอุด้านวิทยาคม เป็นที่เคารพศรัทธา และเลื่องลือไปทั่ว จนได้รับสมญานามจากศิษยานุศิษย์ที่เลื่อมใสว่าเป็น "เทพเจ้าแห่งแดนวีรชนใจกล้า"






ท่านเกิดในสกุล บัวสรวง เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2487 ที่บ้านทับยา ต.บ้านไร่ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายอิน และ นางก้อย บัวสรวง ประกอบอาชีพกสิกรรม และค้าขาย

ในช่วงวัยเยาว์ จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนวัดบ้านไร่ ก่อนลาออกมาช่วยครอบครัวหาเลี้ยงชีพ

ย่างเข้าวัยหนุ่ม ได้ประกอบอาชีพเป็นตัวแทนขายเคมีภัณฑ์ตามที่ญาติแนะนำ

กระทั่งอายุ 42 ปี เกิดความเบื่อหน่ายทางโลก และต้องการบวชทดแทนคุณบุพการี จึงเข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดคำหยาด อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง โดยมีพระครูเกษมจริยคุณ เจ้าคณะอำเภอเมืองอ่างทอง เจ้าอาวาสวัดไทรย์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูโฆสิษโชติคุณ เจ้าอาวาสวัดคำหยาด เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระปลัดบุญยัง เขมปัญโญ วัดขุนอินทประมูล เป็นพระอนุสาวนาจารย์

เมื่ออุปสมบท ได้อยู่จำพรรษาที่วัดคำหยาด สามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก และออกท่องธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ ในประเทศ ครั้งหนึ่งมีโอกาสไปพำนักที่ วัดพรหมประกาสิต (ถ้ำสามพี่น้อง) ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ปฏิบัติกัมมัฏฐานบำเพ็ญเพียร

เมื่อปฏิบัติธรรมสมหวัง จึงเดินทางมาจำพรรษาที่วัดคำหยาด ศึกษาร่ำเรียนสรรพวิทยาคมสายหลวงพ่อแป้น วัดบ้านไร่, หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี พระเกจิดัง ได้ถ่ายทอดวิชาให้อย่างครบถ้วน

พ.ศ.2535 คณะสงฆ์จังหวัดอ่างทอง ได้มอบหมายให้ท่านบูรณปฏิสังขรณ์ วัดยาง ต.ห้วยไผ่ อ.แสวงหา จ.อ่างทอง ตั้งอยู่ริมคลองห้วยไผ่ฝั่งตรงข้ามวัดโพธิ์เก้าต้น และอนุสรณ์สถานค่ายบางระจัน อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี

วัดยางถูกทิ้งร้างมาตั้งแต่สมัยศึกบางระจัน เสนาสนะที่หลงเหลือมีเพียงวิหารฐานอ่อนโค้งอยู่ในสภาพปรักหักพัง ไม่มีหลังคา

หลวงพ่อสุวรรณ ได้จัดสร้าง "ตะกรุด" เมตตามหานิยม แคล้วคลาดคงกระพัน เพื่อให้บูชารวบรวมจตุปัจจัย จนสามารถก่อสร้างอุโบสถ ศาลาการเปรียญ เมรุ กุฏิสงฆ์ หอสวดมนต์ อนุสรณ์สถานวีรชนไทยใจกล้า เป็นต้น

หลวงพ่อสุวรรณ เป็นที่ยอมรับ และศรัทธาของคณะศิษยานุศิษย์ เชื่อกันว่าท่านมีคาถาอาคมทรงพุทธคุณครอบจักรวาล โดยเฉพาะด้านเมตตามหานิยม และด้านมหาอำนาจปกป้องผองภัยสารพัด

วัตถุมงคลของท่าน ล้วนแต่ได้รับความนิยมจากประชาชน เนื่องจากมีพุทธคุณครอบจักร วาล โดดเด่นหลายด้าน ที่ได้รับความนิยม คือตะกรุดที่ปรากฏปาฏิหาริย์แก่ผู้บูชา เอกลักษณ์เฉพาะสร้างตามตำราพิชัยสงคราม ยันต์จารมือธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ (นะ มะ พะ ทะ) และยันต์ถอด (ทะ พะ มะ นะ) จึงเท่ากับ 16 ตาราง คือ ยันต์พระเจ้า 16 พระองค์

มียันต์อัครสาวกซ้ายขวา (ซ้าย อุมิ อะมิ) (ขวา นะมะ นะอา) และยันต์ถอด รวมทั้งยันต์แคล้วคลาด (สะ รา คา มิ) และยันต์ถอด จึงเป็น เจ้าตำรับตะกรุดโทนแห่งยุค

นอกจากนี้ วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมยังมีเหรียญเสมา เหรียญมหาบารมี รูปหล่อเหมือน

หลวงพ่อสุวรรณ ย้ำอยู่เสมอว่า วัตถุมงคลทั้งหลายล้วนเข้มแข็งด้วยอำนาจแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ

การเข้ากราบไหว้ขอพรจากหลวงพ่อสุวรรณ ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันหมด ไม่มีผู้ใดกีดกัน และท่านมักจะนำวิชาความรู้ด้านวิทยาคม เป็นกุศโลบายในการอบรมสั่งสอนศีลธรรมแก่ประชาชนทั่วไป โดยให้ยึดหลักธรรมคำสั่งสอนตามแนวทางพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นวิถีสำคัญในการประพฤติปฏิบัติตน

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

การให้

คนที่เกิดมาในโลกนี้ทุกคน ย่อมมีความเกี่ยวเนื่องกับคนอื่นรอบข้างไม่มากก็น้อย เริ่มต้นตั้งแต่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ญาติสนิทมิตรสหายตลอดถึงคนที่ห่างไกล ถึงแม้ไม่ใช่ญาติมิตรก็มีกิจที่จะพึงทำเกี่ยวเนื่องกันอยู่ เพราะในสังคมที่อยู่รวมกันนี้ จำเป็นที่จะต้องมีการช่วยเหลือเกื้อกูล เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือกัน

การแสดงออกซึ่งน้ำจิตน้ำใจอันดีงาม โดยมีวัตถุสิ่งของเป็นสิ่งประกอบ ท่านเรียกว่า "ทาน" หมายถึง การให้ หรือ เจตนาเป็นเครื่องให้ ให้ปันสิ่งของอันได้แก่ ปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ

การให้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เป็นมงคล

1.เป็นเหตุแห่งความสุข
2.เป็นรากเหง้าแห่งสมบัติทุกอย่าง
3.เป็นที่ตั้งแห่งโภคทรัพย์ทั้งหมด
4.เป็นเครื่องป้องกันภัยต่างๆ
5.เป็นที่พึ่งพิงอาศัยของเหล่าสัตว์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

การให้ปันสิ่งของ นับเป็นกิจเบื้องต้นที่ควรทำ แม้แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อทรงบำเพ็ญบารมีในสมัยเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ทรงบำเพ็ญทานคือการให้เป็นทีแรก







สำหรับการให้นั้น ไม่ควรให้ของเลว หรือของที่ไม่ดี 
ควรเลือกของที่ตนชอบใจให้ ให้ของที่ดีประณีต ดีกว่าที่ตนมีตนใช้

ผลหรืออานิสงส์ที่เกิดจากการให้สิ่งของที่ดี ย่อมเป็นไปตามเหตุคือของที่ให้ เมื่อให้ของที่ถูกใจทั้งผู้ให้และผู้รับ ย่อมจะได้รับของที่ถูกใจตอบแทน เมื่อให้ของชั้นยอด ได้แก่ ของที่ยังไม่ได้ใช้สอยหรือบริโภคมาก่อน เช่น ข้าวปากหม้อ แกงปากหม้อ เป็นต้น ก็ย่อมได้รับของเช่นนั้นตอบแทน

สมดังพุทธภาษิตที่ตรัสเอาไว้ว่า "ผู้ให้ของที่พอใจ ย่อมได้รับผลที่พอใจ ผู้ให้ของที่เลิศ ย่อมได้รับผลที่เลิศตอบ ผู้ให้ของที่ดี ย่อมได้รับผลที่ดี และผู้ให้ของที่ดีที่สุด ย่อมเข้าถึงฐานะที่ดีที่สุด"

ประเภทของการให้ เมื่อจำแนกออกก็มีอยู่ 2 ประการ คือ

1.อามิสทาน การให้สิ่งของที่ทำให้เกิดความสุขแก่ผู้รับ เช่น ให้สิ่งของบริโภคใช้สอย

2.ธรรมทาน การให้วิชาความรู้อันไม่มีโทษ ด้วยน้ำใจอันบริสุทธิ์ เช่น ให้ศิลปวิทยา

ให้คุณธรรมเป็นเครื่องปรุงแต่งจิตใจให้บริสุทธิ์และความประพฤติให้เรียบร้อยดีงาม

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงอานิสงส์ของการให้ไว้ 5 ประการด้วยกัน คือ

1.ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ที่ชอบใจของหมู่ชน
2.สัตบุรุษคนดีย่อมคบหาสมาคมผู้ให้นั้น
3.ชื่อเสียงอันดีงามของผู้ให้ย่อมขจรกระจายไป
4.ผู้ให้ย่อมเป็นผู้แกล้วกล้าอาจหาญในที่ชุมชน
5.ผู้ให้ย่อมเป็นผู้มีสติ ไม่หลง เมื่อสิ้นชีวิตแล้วย่อมเป็นผู้ไปสู่ สุคติภูมิ

คนผู้ให้ทาน ย่อมได้ชื่อว่าสั่งสมความดีแก่ตน แม้ว่าทรัพย์สมบัติจะหมดไปบ้าง ก็หมดไปในทางที่ชอบที่ควร บุญกุศลคุณงามความดีต่างๆ ย่อมเพิ่มมากขึ้นทวีคูณทุกๆ ครั้งที่ได้ให้

หลวงพ่อเงิน รุ่น แทนคุณ

จังหวัดพิจิตร นำโดย นายสุวิทย์ วัชโรทยางกูร ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร จัดพิธีพุทธาภิเษก วัตถุมงคลหลวงพ่อเงิน รุ่น "แทนคุณ" ซึ่งจัดสร้างขึ้นเพื่อหารายได้บูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถาน อาทิ โบสถ์ไม้โบราณ วัดคงคาราม (บางคลานใต้) เจดีย์เก่า วัดบางคลาน ที่หลวงพ่อเงินสร้างไว้ เป็นพุทธบูชาในพระพุทธศาสนา และศาลาพักช้างทุ่งบางลาย สถานที่เกี่ยวเนื่องกับประวัติหลวงพ่อเงิน เพื่อบูชาคุณถวายเป็นกตัญญูกตเวทิตาธรรม ณ อุโบสถมหาอุด สมัยสุโขทัย วัดนครชุม เมืองเก่าพิจิตร ซึ่งเคยเป็นที่ประดิษ ฐานองค์หลวงพ่อเพชร พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองพิจิตร ก่อนชะลอไปประดิษฐานที่วัดท่าหลวง (พระอารามหลวง) เมื่อปีพ.ศ.2442 และ หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ ได้ล่องเรือมาตามแม่น้ำน่านสายเก่า มานมัสการหลวงพ่อเพชร ที่โบสถ์มหาอุดหลังนี้ประจำ






พิธีได้จัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 ส.ค.2555 ในภาคเช้ามีฝนตกลงมาทั่วบริเวณเมืองพิจิตร เริ่มพิธีถวายเครื่องสักการบูชาพระรัตนตรัย หลวงพ่อเพชร จำลอง และดวงพระวิญญาณของ หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน 

หลวงพ่อแขก วัดสุนทรประดิษฐ์ จ.พิษณุโลก ซึ่งท่านเป็นศิษย์ หลวงพ่อปุย วัดปากลัด โพทะเล จ.พิจิตร ศิษย์อาวุโส หลวงพ่อเงิน และ หลวงพ่อสะอาด วัดเขาแก้ว จ.นครสวรรค์ ร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิตปลุกเสก

จากนั้นจึงประกอบพิธีสังเวยเทวดาบูชาฤกษ์ ขณะพราหมณ์ประกาศโองการเทวดา ฝนหยุดตก ท้องฟ้าแจ่มใสร่มเย็นทั่วมณฑลพิธี พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์เจริญพระพุทธมนต์ เวลา 13.19 น. เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (จุนท์) วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ จุดเทียนชัยไฟพระฤกษ์จากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ท้องฟ้าแจ่มใสบังเกิดละอองฝนโปรยปรายประดุจน้ำเทพมนต์ บังเกิดสายรุ้งพาดผ่านเหนือมหามณฑลพิธีนานเกือบ 5 นาที แล้วขาดสายหายไป พระพิธีธรรมสวดพระคาถาพุทธาภิเษก และคาถาพิเศษหลวงพ่อเงิน อาทิ คาถาพระเจ้าห้ามอาวุธ คาถามหาลาภ เป็นต้น

พระเกจิอาจารย์ 19 รูป ร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิต อาทิ 
- หลวงพ่อปรีชา วัดเขาอิติสุคโต จ.ประ จวบคีรีขันธ์, 
- หลวงพ่อชำนาญ วัดบางกุฎีทอง จ.ปทุมธานี, 
- หลวงพ่อแม้น วัดหน้าต่างนอก จ.พระนครศรีอยุธยา, 
- ครูบาสายทอง วัดท่าไม้แดง จ.ตาก, 
- หลวงพ่อทุเรียน วัดท่าไม้แดง จ.สุโขทัย, 
- หลวงพ่อหวั่น วัดคลองคูณ, 
- หลวงพ่อพยนต์ ฐิตสาโร วัดหล่ายหนองหมี ซึ่งเป็นศิษย์เอก หลวงพ่อทวี วัดโรงช้าง, 
- หลวงพ่อพิมพ์ วัดพฤกษวัน ซึ่งเป็นศิษย์ หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง ยุค พ.ศ.2514, 
- หลวงพ่อหมู วัดดงป่าคำ, 
- พระฑีฆทัสสีมุนีวงศ์ จ.พิจิตร, 
- พระราชวิสุทธินายก วัดป่าสุธาวาส จ.สกลนคร 

และ พระวิปัสสนาจารย์สายอีสานศิษย์กรรมฐานในสาย หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง อาทิ หลวงปู่อินตอง สุภวโร วัดป่าวีระธรรม, พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม วัดป่าหนองไผ่, พระครูสุนทรธรรมาภรณ์ วัดป่าภูริทัตตถิราวาส จ.สกลนคร, พระครูวิมลสีลโสภณ วัดทุ่งศรีสองเมือง จ.นครพนม ร่วมนั่งอธิษฐานจิตบริกรรมปลุกเสก ไปจนถึงเวลา 15.49 น. พระพิธีธรรมสวดเบิกเนตร และสวดญัตติ วัตถุมงคลรุ่นแทนคุณ หลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน จ.ลพบุรี ประกอบพิธีดับเทียนชัย บังเกิดฝนตกหนักจนน้ำเจิ่งนองทั่ววัด บังเกิดความร่มเย็นไปทั่วมณฑลพิธี


สำหรับวัตถุมงคลหลวงพ่อเงิน รุ่นแทนคุณ ประกอบไปด้วย รูปหล่อโบราณ เทดินไทย ถอดพิมพ์จากองค์พระมหาเม่า, พระหลวงพ่อเงิน พิมพ์หลังเบี้ย, เหรียญใบพุทราหลวงพ่อเงิน, พระพิมพ์พระเจ้าห้าพระองค์, เหรียญเสมาหลังยันต์มหารูดลายมือจารหลวงพ่อเงิน ซึ่งคลี่จากตะกรุดเงินโบราณของเจ้าคณะหมวดหัวดง, พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่า หลังพระมาลาพระเจ้าตากสินมหาราช และ พระกริ่งบางคลานรุ่นแรก จัดสร้างจากชนวนตะกรุดเก่า หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อพิธ และชนวนพระเครื่องเก่าที่วัดบางคลานจัดสร้างมา นับแต่ปีพ.ศ.2515 จนถึงปีพ.ศ.2528 ประกอบพิธีพุทธาภิเษก เททอง ณ วัดบางคลาน เมื่อวันที่ 5 พ.ค.2555 และ พิธีมหาพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถวัดชนะสงคราม (วัดตองปุ) กรุงเทพฯ

วัตถุมงคลรุ่นนี้นับว่าเป็น หลวงพ่อเงิน รุ่นประวัติศาสตร์ ครั้งแรกในรอบ 38 ปี ที่ได้รับเมตตาอนุญาตให้ปลุกเสกได้ภายในพระอุโบสถหลังประวัติศาสตร์ วัดตองปุ ที่หลวงพ่อเงินเคยบรรพชาเป็นสามเณร และอุปสมบทเป็นพระภิกษุ จนได้ฉายาทางธรรมว่า "พุทธโชติ" และศึกษาเล่าเรียนวิปัสสนากรรมฐานที่สำนักวัดชนะสงคราม จนเชี่ยวชาญก่อนกลับมา สร้างวัดบางคลาน (วังตะโก)

ล็อกเกต "หลวงพ่อทวด" สมเด็จพระมหาวีรวงศ์

วัดสัมพันธวงศาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เดิมมีคูล้อมวัดเชื่อมต่อจากแม่น้ำเจ้าพระยา ปรากฏในพงศาวดารว่า ในเทศกาลถวายผ้าพระกฐิน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ถวายผ้าพระกฐิน ทางชลมารค 

ปัจจุบันมี สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เป็นเจ้าอาวาส และดำรงสมณศักดิ์ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ รูปที่ 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์







ด้วยจริยวัตรอันสมบูรณ์บริบูรณ์เคร่งครัดในพระธรรมวินัย เจริญพระกรรมฐานเข้มข้น สืบเชื้อสายแม่ทัพธรรมกรรมฐานสาย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต, พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (สิงห์ ขันตยาคโม) ตั้งแต่เจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นสามเณร เพิ่มเติมด้วยการถ่ายทอดวิชาความรู้จากท่านเจ้าพระคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทเทสกเถร) ผู้เป็นอาจารย์ของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม

สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ จึงเพียบพร้อมไปทั้งวิปัสสนาธุระและคันถธุระ เคร่งครัดในพระวินัย ถือวัตรปฏิบัติตามแบบพระกรรมฐาน อาทิ การฉันอาหารในบาตรโดยคลุกอาหารคาวหวานฉันพร้อมกันเป็นการเจริญอาหเรปฏิกูลสัญญา การครอง ผ้า 3 ผืน สวดมนต์ทำวัตร เจริญพระกรรมฐาน ทุกวัน ทำความสะอาดกวาดเสนาสนะ แม้ดำรงสมณศักดิ์สมเด็จพระราชาคณะแล้วก็ยังลงกวาดวัด จนเกิดอุบัติเหตุเหล็กแหลมฝังที่เท้า คณะแพทย์จึงมีความเห็นให้งดภารกิจนี้

ในด้านวัตถุมงคล สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ได้อธิษฐานจิตปลุกเสกไว้หลายรุ่น ปัจจุบันแต่ละรุ่นล้วนหายากและมีประสบการณ์กับผู้ที่พกพาอาราธนาติดตัว

วัตถุมงคลของท่านที่ลูกศิษย์ลูกหา และนักสะสมตามเก็บเป็นพิเศษ อาทิ 

- ล็อกเกตรุ่นแรก, 
- พระชัยวัฒน์พุทโธคลัง, 
- เหรียญหลวงพ่อทวดหัวโต, 
- พระปิดตาโสฬสมหาพรหม, 
- พระกริ่งพุทโธจอมจักรพรรดิ, 
- รูปเหมือนโต๊ะหมู่ 

ล้วนแต่เป็นวัตถุมงคลหายาก แล้วในขณะนี้ วัตถุมงคลต่างๆ พระราชสารเวที (เจ้าคุณโกมินทร์) และ พระวินัยเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ผู้เป็นสัทธิวิหาริก สนองงานสร้างบูชาท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ อาจารย์


พระราชสารเวที กล่าวว่า เมื่อวันที่ 27 ก.ค.2555 ตรงกับวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8/8 ที่ผ่านมา สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ได้ประกอบ 'พิธีเปิดโลก' อธิษฐานจิตปลุกเสก ล็อกเกตหลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด หลวงปู่ทวดพิมพ์ที่สวยที่สุดเท่าที่มีการจัดสร้างมา ดวงหน้า ดวงตาหลวงปู่ทวดเหมือนดั่งมีชีวิต และพระบูชาหลวงปู่ทวดขนาด 5 นิ้ว ตาฝังมุกเป็นพระบูชาหลวงปู่ทวดตามุก รุ่นแรกของวงการที่มีการจัดสร้าง วัตถุมงคลทั้งรุ่นนี้กำลังเป็นที่นิยม

วัตถุมงคลทั้ง 2 แบบได้นำผงเก่า หลวงพ่อทวดที่ผ่านมือ พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ จ.ปัตตานี เชิญญาณหลวงพ่อทวดมาปลุกเสกไว้อย่างครบถ้วน เมื่อปี 2505 ผงเก่าแก่โสฬสมหาพรหม พระเกจิอาจารย์ชื่อดังในอดีตอธิษฐานจิตปลุกเสก อาทิ 

- หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง, 
- พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ จ.ปัตตานี, 
- หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม, 
- หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ กรุงเทพฯ, 
- อาจารย์ฝั้น อาจาโร, 
- ท่านพ่อลี วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ เป็นต้น

พร้อมกับทับทิมเสกของ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ซึ่งทับทิมนี้เรียกว่า 'พลอยของคุณแม่มีพลอยมีแต่ได้ มีพลอยมีแต่ผลกำไร' ฝังไว้ด้านหลังล็อกเกตรุ่นนี้ด้วย นอกจากนี้ยังได้นำผงมวลสารหลวงพ่อทวด วัดช้างให้ อุดผงพร้อมกัน

ภายในพิธีเปิดโลกนั้น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์เป็นประธาน พระเกจิอาจารย์ร่วมนั่งปรก อาทิ 

- หลวงพ่อชำนาญ วัดบางกุฎีทอง, 
- หลวงพ่อแขก วัดสุนทรประดิษฐ์, 
- หลวงพ่อตี๋ วัดหูช้าง, 
- เจ้าคุณพระบวรรังษี วัดระฆังฯ 

ซึ่งก่อนหน้านี้ได้นำวัตถุมงคลเข้าพิธีใหญ่กลางเมือง มีพระเกจิอาจารย์แดนใต้ปลุกเสกหลายรูป อาทิ 

- พ่อท่านเขียว วัดห้วยเงาะ, 
- พ่อท่านคล้อย วัดภูเขาทอง, 
- พ่อท่านท้วม วัดศรีสุวรรณ, 
- หลวงพ่อพรหม วัดบ้านสวน, 
- พ่อท่านแสง วัดศิลาลอย, 
- พ่อท่านอิ้น วัดนิคมเทพา 
- หลวงพ่อหวาน วัดสะบ้าย้อย เป็นต้น

หลังเสร็จพิธีเปิดโลกแล้วได้ ทางวัดได้เก็บวัตถุมงคลที่หอพระไตรปิฎกถาวรานุสรณ์ และต่อสายสิญจน์ไป 3 จุดคือ ไปที่หลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ รูปหล่อคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม และห้องกรรมฐาน สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เพื่ออธิษฐานจิต ปัจจุบันเหลือเพียงล็อกเกตพิมพ์เล็กซีเปีย จำนวนแค่ 956 องค์เท่านั้น

สนใจสอบถามได้ที่สำนักงานกลางวัดสัมพันธวงศ์ เยาวราช กรุงเทพฯ 

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส "เทพเจ้าแห่งเขาสมิง"


พระครูอาคมวิสุทธิ์ หรือ หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ร่วมสมัย หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ท่านอาจจะอายุน้อยกว่า แต่เรื่องอาคมนั้นท่านไม่เป็นรองใครเลยทีเดียว ท่านได้รับไปร่วมพิธีพุทธาภิเษก ในพิธีใหญ่ๆ พร้อมกับเกจิร่วมสมัยอยู่หลายครั้ง พระเครื่องของท่านนั้น เด่นทั้งด้านเมตตามหานิยม และ คงกระพันชาตรี

พระครูอาคมวิสุทธิ์ (หลวงพ่อคง สุวณฺโณ) วัดวังสรรพรส ต.บ่อ อ.ขลุง จ.จันทบุรี เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดรูปหนึ่งของภาคตะวันออก ร่วมสมัยเดียวกับ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี หลวงปู่คร่ำ วัดวังหว้า หลวงพ่อศรีนวล วัดเกวียนหัก หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ และ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค เป็นต้น

วัตถุมงคลของหลวงพ่อคงแต่ละรุ่นล้วนมีประสบการณ์มากมายในทุกด้าน มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศ นับตั้งแต่สามัญชนจนถึงพระบรมวงศานุวงศ์ อาทิ พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ พล.ต.ต.ม.ร.ว.พงศ์สระ เทวกุล ฯลฯ

นามเดิมของหลวงพ่อคือ คง ฑีฆายุ โยมบิดาชื่อ ส้อง โยมมารดาชื่อ โอง ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๔๕ ตรงกับวันเสาร์ ปีขาล ณ บ้านตาพราย ต.สะตอ อ.เขาสมิง จ.ตราด อุปสมบทครั้งแรก พ.ศ.๒๔๖๖ อายุได้ ๒๑ ปี อุปสมบทครั้งที่ ๒ เมื่อวันอังคารที่ ๕ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๗ ขณะอายุได้ ๓๒ ปี ณ วัดชมพูราย จ.ตราด โดยมี พระอธิการผูก วัดสลัก เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า "สุวณฺโณ"

ท่านได้ศึกษาธรรมะ และวิชาคาถาอาคมขลัง อักขระเลขยันต์จากโยมตาชื่อ หลวงคีรีเขตุ ซึ่งเป็นผู้มีวิชาทางคงกระพันเป็นเลิศ ตลอดจนพระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงอีกหลายท่าน อาทิ 
- หลวงพ่อเม วัดมาบไผ่ จ.จันทบุรี (หลวงพ่อเม ท่านมีวิชาขนาดเหาะเหินเดินอากาศได้ครับ), 
- หลวงพ่ออ่ำ วัดสะตอน้อย ต.ตกพรม อ.ขลุง จ.จันทบุรี,
- หลวงพ่ออุก หลวงพ่อเจาะ วัดโป่งโรงเซ็น ต.โป่งโรงเซ็น อ.มะขาม จ.จันทบุรี,
- หลวงปู่วง (ปู่ของท่าน) , หลวงพ่อหริ่ง , ครูเต๋า , และ ครูตาสด ฯลฯ

หลวงพ่อคงได้ออกเดินธุดงค์ไปทั่วประเทศ ตลอดจนข้ามไปทางฝั่งประเทศพม่า กัมพูชา เพื่อฝึกฝนวิชาที่ท่านได้ร่ำเรียนมา โดยเฉพาะวิชา เสือสมิง ท่านมีความเชี่ยวชาญชำนาญเป็นพิเศษ ดังจะเห็นได้ว่า วัตถุมงคลของท่านแทบทุกรุ่น จะต้องมีรูปเสือสมิง ปรากฏอยู่ด้วย

หลังจากที่ได้เดินธุดงค์จนเป็นที่พอใจแล้ว ท่านได้กลับมาอยู่ที่วัดวังสรรพรส และได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดวังสรรพรสตั้งแต่พ.ศ.๒๔๙๒ เป็นต้นมา


หลวงพ่อคง นับเป็นพระเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้าท่านหนึ่งที่มักจะได้รับนิมนต์ให้ไปร่วมนั่งปรกปลุกเสกวัตถุมงคลในพิธีพุทธาภิเษกตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศตลอดเวลา ไม่ว่าจะวัดใกล้วัดไกลแค่ไหนก็ตาม นอกจากนี้ในส่วนตัวของท่านเองก็ได้สร้างวัตถุมงคลออกมาหลายรุ่น เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของวัตถุมงคลของท่านคือ จะมีรูปเสือสมิงอยู่ด้านหลัง หรือไม่ก็เป็น รูปพระปิดตา ซึ่งเป็นฝีมือการเขียนโดยตัวท่านเอง

วัตถุมงคลของหลวงพ่อคงทุกรุ่นล้วนมีพุทธคุณเป็นเลิศในทุกๆ ด้าน เป็นที่เลื่องลือกันอย่างกว้างไกล นอกจากนี้ท่านยังมีความเชี่ยวชาญด้านรักษาโรคด้วยสมุนไพร จนเป็นที่พึ่งพาอาศัยของชาวบ้านตลอดมาอีกด้วย

*************************

เรียบเรียงโดย : ทีมข่าวมงคลพระ



วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

หลวงปู่แย้มเจ้าตำรับ "ตะกรุดคอหมา - เสือปืนแตก"


"ตะกรุดคอหมา-เสือปืนแตก”
ถือว่าเป็นวัตถุมงคลที่ขึ้นชื่อของ พระครูปิยนนทคุณ หรือ หลวงปู่แย้ม ปิยวณฺโณ เจ้าอาวาสวัดตะเคียน ต.บางคูเวียง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี

ด้วยเหตุที่ท่านเป็นคนที่มีเมตตาต่อสรรพสัตว์อย่างสูง สัตว์ที่ท่านรักมากก็คือ สุนัข เหตุสืบเนื่องครั้งเมื่อท่านได้ทำตะกรุด ผูกคอให้กับหมาภายในวัดทุกตัว เพื่อป้องกันภัยให้หมาที่มันดุ และถูกรังแก จริงๆ แล้วเขาเรียก ตะกรุดผูกคอหมา แต่แล้วคนก็มาแย่งหมาไปบูชากันเองจนหมดสิ้น ตะกรุดที่ท่านได้สร้างเพื่อแจกเริ่มแรกเป็นตะกรุดโทน แจกลูกศิษย์ลูกหา แจกญาติโยมในโอกาสสำคัญ คราวใดที่ท่านขึ้นเทศน์แสดงธรรม ญาติโยมที่ติดกัณฑ์เทศน์ถวายอันดับต้นๆ ก็จะได้รับตะกรุดทองคำ ตะกรุดเงินไปตามลำดับ

ส่วนเหตุของการสร้างตะกรุดหนังเสือหลายปีที่ท่านไม่ได้ทำตะกรุด แต่ก็มีลูกศิษย์ลูกหามาสอบถามต้องการมีตะกรุดของท่านไว้บูชาเป็นจำนวนมาก ท่านจึงทำเป็นตะกรุดหนังเสือซึ่งเป็นหนังเสือโคร่งที่มีลูกศิษย์ที่มีฐานะ นำมาถวาย หลวงปู่บอกว่าตะกรุดหนังเสือคงจะถูกทำเลียนแบบไม่ง่ายเหมือนตะกรุดแผ่นโลหะ ซึ่งคลี่ดูยันต์ข้างในไม่ได้ หลวงปู่ยังบอกอีกว่าเสือเป็นสัตว์ที่มีตะบะ มีบารมีถ้านำมาทำเป็นเครื่องรางของขลัง ของนั้นจะเด่นไปในทางมหาอำนาจ และอยู่ยงคงกระพันดี


เอกลักษณ์ของวัตถุมงคลของหลวงปู่แย้มทุกชนิด คือ ท่านลงยันต์มหาเบาเป็นยันต์ครู ซึ่งท่านเรียนมาจาก หลวงพ่อสาย วัดหนองสองห้อง ผู้สืบวิทยาคมสาย หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า อีกรูปหนึ่ง โดยท่านจะจารตะกรุดทุกวันพฤหัสบดี เสร็จแล้วท่านก็จะม้วนตะกรุดพร้อมคาถากำกับทุกดอก แล้วประจุเสกจนของขึ้นมีพลังท่านบอกว่าต้องอย่างนี้สิถึงจะใช้ได้เอาไปลองได้เลย ปืนก็ปืน มีดก็มีดรับรองไม่ได้กินเนื้อกินเลือดเราแน่

ท่านว่าตะกรุดหนังเสือก็มีเมตตาอยู่มากไม่ใช่มีแค่ทางมหาอำนาจอย่างเดียว ท่านยังล้อเล่นเสมอว่าไปถามเด็กซิว่า ไปเขาดินอยากไปดูอะไร ส่วนใหญ่เด็กก็จะตอบว่าจะไปดูเสือ เห็นไม่ว่าเสือมันดุขนาดไหน ใครก็อยากเห็นเสือ นี่แหละเสือมันมีเมตตามหานิยม ใครก็อยากเห็น จัดว่าเป็นวัตถุมงคลล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง “ตะกรุดหนังเสือ” ก่อนที่หลวงปู่จะมอบให้หลวงปู่ยังกำชับว่า “ใครจะยิงให้มันยิงไปเถอะ เดี๋ยวปืนมันก็แตก เอ้า เพี้ยง” ทำให้ผู้รับขนลุกซู่ไปทั้งตัว

เมื่อได้พูดถึงตะกรุดคอหมาแล้ว ว่าคงกระพัน หรือแคล้วคลาดอย่างไร ก็ทำให้ต้องพูดถึงวัตถุมงคลอีกอย่างที่เข้มขลังไม่แพ้กัน นั่นคือ “เสือปืนแตก” เล่ากันว่า มีนายตำรวจ ในเขตอำเภอบางกรวย ได้ทราบข่าวว่าหลวงปู่แย้ม สร้างเสือเนื้อตะกั่วขึ้นมาเพื่อหาปัจจัยสร้างวัด และมีคนเล่าให้ฟังถึงความขลังของวัตถุมงคลของหลวงปู่ จึงอยากลองของ ใด้มาขอยืมจากลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้วัด เพื่อนำไปลอง ปรากฏว่ายิงนัดแรกไม่ออก นัดที่สองไม่ออก ยิงอีกครั้งเป็นครั้งที่สาม ปืนแตกใส่มือได้รับบาดเจ็บ เป็นแผลเป็นมาจนทุกวันนี้

หลวงพ่อแย้ม วัดตะเคียน นนทบุรี

 พระครูปิยนนทคุณ (หลวงปู่แย้ม) วัดตะเคียน ท่านเป็นชาวจังหวัดสมุทรสาคร โดยกำเนิดเกิดที่ ตำบลเจ็ดริ้ว อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พุทธศักราช 2459 ในครอบครัวชาวนา นามเดิมว่า แย้ม ปราณี มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันทั้งหมด 4 คน ท่านเป็นบุตรชายคนที่ 2 ของครอบครัวโยมบิดาชื่อเพิ่ม โยมมารดาชื่อเจิม

หลวงปู่แย้มเมื่อตอนเป็นเด็กชายแย้ม ก็เหมือนกับเด็กทั่วไปคือต้องเข้าเรียนหนังสือ เด็กชายแย้มได้เข้าศึกษาหาความรู้ ที่โรงเรียนประชาบาลวัดหลักสองของ อำเภอบ้านแพ้ว แต่เรียนได้แค่ชั้นประถม 1 เท่านั้นเอง เพราะต้องอยู่บ้านเพื่อช่วยบิดาทำนาหาเลี้ยงชีพ ครั้นอายุได้ 14 ปี ก็ต้องลาออกจากโรงเรียนอย่างเด็ดขาด เพราะว่าโตเกินกว่าที่จะไปโรงเรียนแล้ว จึงได้ออกมาช่วยบิดาทำนาเรื่อยมา






จวบจนกระทั่งอายุได้ 20 ปี บริบูรณ์ โยมพ่อต้องการให้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนาตามประเพณีนิยมของคนไทยตั้งแต่ครั้งโบราณกาล และเพื่อเป็นการสร้างบุญสร้างกุศล เฉกเช่นชายไทยทั่วไป

“ฉันก็เต็มใจนะ เพราะจะได้แผ่กุศลไปให้กับโยมแม่ที่เสียไปตั้งแต่อายุฉันได้สิบขวบด้วย 
ได้กำหนดวันกันเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ โยมพ่อก็เปลี่ยนใจ 
บอกว่าเอาไว้ปีหน้าเถอะปีนี้ทำนาก่อน และมาเลื่อนกันง่ายๆ ฉันก็ไม่ว่ากระไร เอาไงก็เอากัน 
ฉันเป็นคนตามใจพ่ออยู่แล้ว” หลวงปู่เล่าความหลังให้ฟัง
หลังจากนั้นก็ทำนาเรื่อยมา จวบจนมาเสร็จสิ้นเอาใกล้ๆ จะเข้าพรรษา 
โยมพ่อก็เอ่ยปากบอกว่า “บวชเสียเถอะนะ ไปอาศัยบวชกันนาคอื่นเขาก็ยังดี” 

“ฉันก็ตามใจอีก โยมพ่อจะให้ทำยังไงก็เอากัน แล้วโยมพ่อก็นำเงินจำนวน 20 บาท
ไปถวายพระอาจารย์ที่วัดหลักสองราษฎร์บำรุง โดยบอกความประสงค์กับท่านว่า 
ให้ช่วยจัดการบวชให้ฉันทีเถอะ ก็เป็นการช่วยจัดหาเครื่องบวชให้นะ 
ในสมัยนั้นราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่หรอก ไม่ถึง 10 บาทเสียด้วยซ้ำ 
จากนั้นอาจารย์ก็จัดของที่ท่านมีอยู่แล้วให้ ส่วนเงิน 20 บาทนั้น 
ท่านได้นำเอาไปจ้างช่างต่อเรือขนาด สามมือลิงใหญ่ๆ ซึ่งหมดเงินไป 18 บาท 
เพื่อเอาไว้ใช้ในกิจของสงฆ์”

นายแย้มจึงได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนาที่วัดหลักสองบำรุงราษฎร์ ตามที่โยมพ่อและตัวของท่านเองได้ตั้งศรัทธาเอาไว้ มีพระครูคณาสุนทรรนุรักษ์เจ้าคณะอำเภอบ้านแพ้ว เป็นพระอุปัชณาย์ เจ้าอธิการเหลือ เจ้าคณะตำบลเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ชื่นเป็ฯพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า “ปิยวณฺโณ”

หลังจากเสร็จสิ้นการบวชแล้ว ด้วยพระภิกษุแย้ม เป็นพระหนุ่มที่มีหน้าตาดี จึงมีการกล่าวหยอกล้อกันว่า พระภิกษุแย้ม ไม่น่าจะบวชได้นานเกิน 2 พรรษาหรอก จึงเป็นเรื่องให้มีการท้าพนันกันว่า ถ้าพระภิกษุแย้มบวชแล้วอยู่ได้นานเกิน 2 พรรษา แล้วเมื่อถึงเวลาลาสิกขา จะออกเครื่องสึกทั้งหมดให้

“ฉันก็ไม่ได้รับคำท้านั้นหรอกนะเพราะว่ามันเป็นการพนัน และอีกอย่างก็ถือว่า เป็นการพูดล้อกันเล่นมากกว่า ส่วนในใจของฉันนั้นนะมีความศรัทธาอยู่ว่าจะบวชสักสองพรรษาก็คงพอ” หลวงปู่อธิบาย






ระหว่างครองเพศบรรพชิตอยู่ พระภิกษุแย้มก็เคร่งครัดในวัตรปฏิบัติเป็นอันมาก รวมทั้งยังตั้งใจศึกษาธรรมะอย่างเอาจริงเอาจัง จนทำให้สามารถสอบได้นักธรรมตรีในพรรษาแรกเท่านั้น พอย่างพรรษาที่สองพระภิกษุแย้มก็เกิดป่วย 

“เรียกว่าป่วยหนักเลยนะ ในชิวิตฉันไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย ฉันป่วยจนแทบจะตายแนะ 
มันเป็นใข้นะ ต้องนอนซมอยู่กับที่ เวลาลุกขึ้นทีไรเป็นหน้ามืดทุกที ต้องดมพิมเสนทุกที 
ช่วงนั้นไม่มีใครเขามาดูแลฉันหรอก ฉันต้องต้มยาฉันเอง จนโยมพ่อทราบเรื่อง 
จึงมารับฉันกลับไปรักษาตัวที่บ้าน โดยเอาฉันใส่เรือให้นอนไป บ้านฉันกับวัดก็ไกลอยู่เหมือนกัน
ราวๆ 4 กิโลเมตรได้นะ หมอนุ่มเป็นคนต้มยาสมุนไพรไทยของเรานี่แหละให้ฉัน ทำการรักษาฉัน 
หมอนุ่มนี่เขาเก่งมากนะ จัดหายามาต้มให้ฉันเพียง 2 หม้อเท่านั้นเองฉันก็หายเลย 
แต่ก็ต้องพักรักษาตัวอยู่เกือบเดือน จึงค่อยกลับไปจำพรรษาที่วัดได้ตามเดิม”
ที่วัดหลักสองบำรุงราษฎร์ พระภิกษุสมัยนั้นจะเก่งในเรื่องช่าง ไม่ว่าจะเป็นช่างไม้ช่างปูน ช่างทาสี พระภิกษุเหล่านี้จะเป็นที่โปรดปรานของเจ้าอาวาสมาก พระภิกษุแย้มเองก็มีงานช่างทำเหมือนกันคือเป็นช่างพิมพ์กระเบื้องในโรงงาน ของวัด วันหนึ่งต้องพิมพ์ให้ได้ถึง 530 แผ่นทีเดียวเพื่อให้ทันเวลาที่จะนำไปสร้างกุฏีสงฆ์หลังใหม่ที่ทางวัดได้สร้างขึ้น จนอาจกล่าวได้ว่ากระเบื้องทุกแผ่นที่วัดหลักสองใช้สร้างอุโบสถ ศาลาการเปรียญ หรือกุฎีสงฆ์ เป็นฝีมือของพระภิกษุแย้มทั้งสิ้น

นอกจากงานด้านช่างแล้วพระภิกษุแย้ม ยังได้แอบศึกษาวิชาหมอยา เพื่อสงเคราะห์ชาวบ้านแถบนั้นด้วย เป็นเพราะท่านมีเมตตาไม่อยากให้ชาวบ้านเดือดร้อนมากนัก กล่าวถึงการเป็นหมอยาของหลวงปู่แย้ม สมัยก่อนเมื่อประมาณ 70 ที่แล้วนั้น พวกเราลองคิดดูว่าการไปมาหรือการเดินทางนั้นจะลำบากสักขนาดไหน ครั้นเมื่อมีเวลาญาติพี่น้องเจ็บใข้ได้ป่วยก็ต้องช่วยกันคนละไม้ละมือ เพื่อที่จะช่วยเหลือเขา วิธีที่ดีและรวดเร็วที่สุดก็คือ หมอยากลางบ้านนั้นแหละ และก็ตัวยาสมุนไพรทั้งนั้น พระภิกษุแย้มของญาติโยมก็เลยมองเห็นความสำคัญในข้อนี้ จึงลงมือศึกษาค้นคว้าในเรื่องของตัวยาสมุนไพร และคาถาอาคมที่จะใช้เสกกำกับลง ไปในตัวยาเพื่อใช้สำหรับการรักษา จนท่านมีความมั่นใจในตัวยาสมุนไพรที่ท่านได้ศึกษาจากตำราและค้นคว้าด้วยตัวเอง ท่านก็เริ่มลงมือช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือนร้อนได้ทันที ในพรรษาที่ 2 ของการเป็นพระภิกษุนั้นเอง

หลังจากนั้นมา ชาวบ้านที่ได้รับการช่วยเหลือ ก็เกิดศรัทธา สาเหตุเพราะว่าท่านสามารถรักษาชาวบ้านให้หายได้ จากคนเดียว เป็นสองคน จนถึงหลายๆคนในเวลาต่อๆมา ยังไม่พอเพียงเท่านั้นชาวบ้านที่รักษาหายแล้วต่างพากันเรียกร้องให้ท่านช่วย รดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ขับใล่สิ่งเลวร้ายที่อยู่ในตัวของตนให้หมดไป จนพากันเข้าใจว่า พระภิกษุแย้ม เป็นพระเกจิอาจารย์ไปเลยทีเดียว หลังจากนั้นมาท่านก็ไม่สามารถขัดญาติโยมได้อีก ทำให้ท่านต้องดั้นด้นเรียนรู้ หาวิธีศึกษาในทุกๆทางจากทุกๆที่ เพื่อจะได้ทำให้มีวิชาเข้มขลังยิ่งขึ้น จนกระทั่งท่านได้พบกับ หลวงพ่อสาย วัดทุ่งสองห้อง ท่านได้เมตตาช่วยสอน พร้อมทั้งแนะนำให้ความรู้ทั้งเรื่องยันต์ และเรื่องเวทมนต์พระคาถาอาคม ทุกอย่าง

หลังจากเพียรพยายามศึกษาอยู่นาน ทำให้ท่านสำเร็จ และได้วิชาทุกตัวจากหลวงพ่อสายโดยไม่มีตกหล่นแม้แต่สักตัวเดียว จากนั้นชื่อเสียงของท่านก็บรรเจิดขึ้นตลอดเวลา จนกระทั่งบวชได้ 10 พรรษา โยมลุงได้ นิมนต์ให้มาอยู่จำพรรษาที่วัดตะเคียน

“โยมลุงของฉันชื่อว่า เคลิ้ม เป็นพี่ชายของโยมแม่เขามามีเหย้ามีเรือนอยู่แถววัดตะเคียนนี้ 
ทีนี้เขาจะบวชลูกชายก็ไปนิมนต์ฉันมาเป็นพระคู่สวดให้ ฉันก็มาตามนิมนต์ แต่พอพระบวชแล้ว
โยมลุงก็นิมนต์ให้ฉันอยู่จำพรรษาที่วัดตะเคียนนี่สักพรรษาหนึ่งก่อน ฉันมองดูแล้วก็น่าเห็นใจอยู่ เนื่องจากที่วัดตะเคียนนี้มีพระจำพรรษาอยู่เพียงองค์เดียวเท่านั้นคือ หลวงพ่อแดง 
เจ้าอาวาสนั้นเอง ฉันก็เลยตอบตกลง แต่ผ่านไปเพียง 7 วัน หลวงพ่อแดงก็มามรณภาพ
หลังจากงานศพหลวงพ่อแดงแล้ว ฉันก็เลยเดินทางมาจำพรรษาที่วัดตะเคียน 
และไม่นานนักเจ้าคณะอำเภอก็ให้ทำหน้าที่รักษาการเจ้าอาวาส 
และต่อมาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่นั้นมา” 
หลวงปู่เล่าถึงสาเหตุที่ต้องมาอยู่ที่วัดตะเคียน

จวบจนปัจจุบัน จากวัดร้างที่ไม่น่าอยู่ไม่น่าพิสมัย ได้พัฒนาให้กลับกลายเป็นวัดที่สวยงาม ด้วยตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านได้พัฒนาวัดมิได้หยุดหย่อน แม้จะเป็นวัดที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ทว่าในปัจจุบันการเดินทางมาทีวัดตะเคียนสามารถทำได้โดยง่ายดาย เนื่องจากทางการได้ทำการตัดถนนสายใหม่ ผ่านทางเข้าวัด คือถนนพระรามที่ 5 (นครอินทร์) ช่วยให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

อานิสงค์ แห่งการบูชาพระพิฆเนศ


"พระพิฆเนศ"

วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม


1. การบูชาพระพิฆเนศนั้น นับเนื่องในอานิสงส์สำคัญหลายประการด้วย ตามความเชื่อฮินดูแท้ๆ การบูชาพระพิฆเนศย่อมเป็นไปเพื่อการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดบรรลุธรรมตามหลักโมกษะนั่นแล ด้วยว่า พระพิฆเนศแท้ที่จริงย่อมเป็นพลังงานบริสุทธิ์ พลังแห่งปัญญาอันพิสุทธิ์ การเข้าถึงพระพิฆเนศในแง่แห่งความสูงสุดทางจิตวิญญาณจึงหมายถึง การชำระมลทินภายในจิตใจให้สิ้นไป คงเหลือแต่สภาพจิตที่บริสุทธิ์ เป็นจิตแท้ดังเดิม เพื่อก้าวไปสู่การรวมเป็นหนึ่งกับพระเป็นเจ้า

2. อานิสงส์ประการต่อมาคือ การบูชาพระพิฆเนศ เพื่อปัญญาและการหยั่งรู้ พระพิฆเนศตามตำนานเป็นเทพแห่งปัญญาโดยชัดเจน จากเรื่องราวการเดินทางรอบโลกแข่งกันระหว่างพระพิฆเนศกับพระขันธกุมาร ทันทีที่พระอิศวรบัญชาว่าใครเดินทางรอบโลกครบ 7 รอบก่อนจะให้ผลมะม่วงแก่ผู้นั้น เมื่อพระขันธกุมารทรงนกยูงออกไปก่อน ในขณะที่พระพิฆเนศเลือกการทักษิณาวัตรพระอิศวร และพระอุมาซึ่งมีฐานะเป็นบิดามารดาของตนแล้ว กล่าวตามเนื้อหาพระคัมภีร์ว่า ผู้ใดที่ทักษิณาวัตรบิดามารดาของตนเอง ย่อมเท่ากับผู้นั้นได้เวียนรอบโลก เพราะว่าคุณของบิดามารดายิ่งใหญ่กว่าแผ่นดิน นี่คือการชี้คุณลักษณะพิเศษของปัญญา พระพิฆเนศยังถือว่าเป็น เทพแห่งการเขียนอ่าน ซึ่งก็คือปัญญา ดังนั้น นักเรียนนักศึกษาทั้งหลายจืงควรให้ความนับถือพระพิฆเนศเป็นพิเศษ

3. ถัดจากเรื่องปัญญา การบูชาพระพิฆเนศที่สำคัญที่สุดคือ อำนาจแห่งการขจัดอุปสรรค ดังที่กล่าวมา พระพิฆเนศคือ อำนาจแห่งอุปสรรคและเป็นอำนาจแห่งการขจัดอุปสรรคด้วยในตัว ดังนั้น ผู้ที่บูชาพระองค์ย่อมทำกิจการงานราบรื่นหรือหากมีอุปสรรคอันใด พระองค์ท่านย่อมบำราศเสียซึ่งอุปสรรคนั้นๆ

4. เพื่อความอุดมสมบูรณ์ ด้วยว่าศีรษะช้างของพระพิฆเนศนั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคล ช้างหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ ความยิ่งใหญ่ สิริมงคล ด้วยเหตุนี้ พระพิฆเณศจึงเป็นตัวแทนแห่งความอุดมสมบูรณ์ด้วย ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ในพระหัตถ์ของพระพิฆเนศนั้นมักถือขนมโมทกะอยู่ตลอดเวลา อันเป็นสื่อถึงอาหารการกินที่พร้อมเสมอ หมายความว่า พระองค์จะประทานความอิ่มหนำสำราญแก่ผู้บูชาพระองค์ ความอุดมสมบูรณ์จึงพึงบังเกิดแก่บุคคลนั้นไม่รู้สิ้น

5. เป็นผู้ป้องกันภูติผีปีศาจและคุณไสยมนต์ดำทั้งปวง จากที่พระศิวะ ซึ่งอยู่ในฐานะบิดา ทรงมีภาคภูเตศวร และอีกประการหนึ่งทรงเป็นมหาโยคีที่อาศัยตามป่าช้าเพื่อปฏิบัติกรรมฐาน นั่งสมาธิเข้าฌานสมาบัติให้แก่กล้า และในภาคนี้ พระศิวะเองก็เป็นเจ้าแห่งภูติผี คุณสมบัติต่างๆ ของพระศิวะถูกถ่ายทอดสู่พระพิฆเนศผู้เป็นศิวะบุตร ด้วยเหตุนี้ พระพิฆเนศจึงทรงอำนาจยิ่งใหญ่ในโลกวิญญาณ โดยพระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งภูติผีปีศาจทั้งหมด ทรงเป็นใหญ่เหนือใครในโลกวิญญาณ ดวงวิญญาณทุกดวงย่อมอยู่ในอาณัติแห่งพระองค์ 

ผู้บูชาพระองค์ย่อมปลอดภัยจากการคุกคามของภูติผีปีศาจ ทั้งคุณไสยมนต์ดำทั้งปวง เพราะพระองค์คือผู้บริสุทธิ์ คือเจ้าแห่งอำนาจเหนือธรรมชาติ ดังนั้น ผู้อยู่ใต้บารมีของพระองค์ย่อมพ้นจากภัยทั้งหลายที่มองไม่เห็นเหล่านี้

6. อำนาจแห่งความเป็นที่รัก เนื่องจากพระพิฆเนศเป็นเทพที่บังเกิดจากพระแม่อุมาเทวี ในเบื้องต้นพระพิฆเนศย่อมเป็นที่รักแห่งนางที่สุด ภายหลังจากการต่อสู้กับพระศิวะด้วยควาเข้าใจผิดจนบานปลายทำให้ศีรษะพระพิฆเนศหลุดไป ยังความไม่พอใจแก่พระแม่อุมา ต่อเมื่อได้มีการต่อศีรษะใหม่ และมีการขอขมาพระแม่อุมา ในเหตุการณ์ดังกล่าว ทวยเทพทั้งหลายต่างมาประชุมพร้อมกัน พร้อมทั้งให้พรแก่พระพิฆเนศ พระพิฆเนศจึงเป็นที่รักของทวยเทพทั้งหลายในสากลจักรวาล พระพิฆเนศจึงเป็นผู้ประทานความเป็นที่รักแก่ผู้บูชาพระองค์อีกประการหนึ่งด้วย

7. อำนาจแห่งความเป็นใหญ่ ผู้บูชาพระพิฆเนศยังได้อานิสงค์สำคัญ คือ การได้เป็นซึ่งเจ้าคนนายคน นอกจากการเป็นที่รักแล้ว ด้วยว่าพระพิฆเนศนั้นยังเป็นหัวหน้าคณะเทพอีกด้วย ผู้บูชาพระพิฆเนศด้วยความเชื่อมั่น ย่อมได้อานิสงค์ในการเป็นเจ้าคนนายคน ได้เลื่อนยศฐาบรรดาศักดิ์

8. พระพิฆเนศ คือ เทพแห่งความเจริญรุ่งเรือง ศีรษะช้างของพระพิฆเนศสื่อความหมายแห่งสิริมงคล ซึ่งมีอำนาจลี้ลับในการผลักดันให้ผู้บูชาเกิดความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน ผู้บูชาพระพิฆเนศจะประกอบการงานสำเร็จ ทั้งยังรุดหน้ารวดเร็วกว่าคนอื่นๆ ด้วยมงคลจากองค์พระพิฆเนศที่จะเอื้ออำนวยให้แก่ผู้บูชาพระองค์

9. พระพิฆเนศ คือ ผู้ประทานความไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ และให้อายุยืนยาว เป็นอีกคติหนึ่งที่คนทั่วไปมักไม่ค่อยรู้ การบูชาพระพิฆเนศให้ผลทางด้านนี้อย่างเด่นชัด เพราะเป็นคุณสมบัติสำคัญ คนโบราณเชื่อว่า การบูชาต่อองค์พระพิฆเนศ สามารถอ้อนวอนขอพรให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือต่ออายุให้ยืนยาวยิ่งขึ้น ผู้ที่สวดมนต์ของพระองค์ทุกค่ำเช้า ย่อมได้รับการอำนวยพรให้มีอายุยืนยาว ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ

แต่งตั้ง19 สังฆาธิการเป็น ผช.เจ้าอาวาสวัดหลวง

นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยว่า

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานในการมอบพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช แต่งตั้งพระสังฆาธิการในตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง กรุงเทพฯ ณ พระอุโบสถวัดสระเกศ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้ ประกอบด้วย

1.พระครูอดุลวีรวัฒน์ วัดราชบุรณะ อ.หลังสวน จ.ชุมพร ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบุรณะ 

2.พระครูอาทรธรรมคุณ วัดมงคลนิมิตร อ.เมือง จ.ภูเก็ต ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมงคลนิมิตร 

3.พระครูสุธีปริยัตยาภรณ์ วัดชุมพลนิกายาราม อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชุมพลนิกายาราม 

4.พระมหาสุวิทย์ อุตตมสีโล วัดดุสิดาราม เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัด ดุสิดาราม 


5.พระมหาสุธน ยสสีโล วัดดุสิดาราม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดดุสิดาราม

6.พระครูปลัดทอง อภิวัณโณ วัดดุสิดาราม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดดุสิดาราม 

7.พระปลัดพิศิษฐ์ ปวีโณ วัดจักรวรรดิราชาวาส เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิราชาวาส 

8.พระครูปลัดสุวัฒนพุทธคุณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เขตดุสิต กรุงเทพฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม 

9.พระมหาหวน ยสาโส วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ 

10.พระครูปลัด สุวัฒนสมาธิคุณ วัดปากน้ำภาษีเจริญ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ
11.พระครูวินัยธรสุวัฒน์ สุวัฑฒโน วัดปากน้ำภาษีเจริญ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ 

12.พระครูพิลาสสรคุณ วัดปากน้ำภาษีเจริญ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ 

13.พระครูปลัดกฤตธัช โสภณธัมโม วัดบุณยประดิษฐ์ เขตบางแค กรุงเทพฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบุณยประดิษฐ์ 

14.พระครูเมธังกร กันตวังโส วัดสุวรรณาราม เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม 

15.พระครูวรวงศ์ ฉันทกโร วัดสุวรรณาราม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม 

16.พระมหาสิงห์ขสัก หาสจิตโต วัดสุวรรณาราม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม 

17.พระมหาเฉลิมชัย ปภัสสโร วัดสุวรรณาราม ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม 

18.พระมหาเสฏฐวุฒิ วชิรญาโณ วัดสุวรรณาราม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม 

19.พระมหาพุทธิเมธ สันตวาโจ วัดนวลนรดิศ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดนวลนรดิศ

เหรียญมหาลาภ ครูบาบุญทา ยติกโร

พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง "ครูบาบุญทา ยติกโร" เจ้าอาวาสวัดเจดีย์สามยอด อ.ป่าซาง จ.ลำพูน เชี่ยวชาญวิทยาคมได้รับการยกย่องในล้านนา วัตถุมงคลของท่าน ปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

บุคลิกที่โดดเด่นของครูบาบุญทา ในขณะอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคล และเครื่องมงคลในสายล้านนาก็คือ มักจะนำเหรียญวัตถุมงคล ตั้งชูไว้ในมือ และหันเหรียญไปรอบทิศหลายช่วงเวลาตลอดพิธี 


ซึ่งสร้างความประหลาดใจแก่ศิษย์ที่รับใช้ใกล้ชิด แม้ท่านบริกรรมพระคาถาปลุกเสกวัตถุมงคลอื่นใดที่ผู้มีจิตศรัทธานำมากราบขอบารมีท่าน เพียงแค่อึดใจศิษย์หลายคนต่างมั่นใจวัตถุมงคลนั้นๆ แล้ว

หลังจากเสร็จพิธีท่านอธิบายอย่างย่อให้ศิษย์ฟังว่า "เพื่อรับพลังพุทธานุภาพ พรหมานุภาพ เทวานุภาพ และโพธิสัตว์บารมีจากครูบาอาจารย์ที่ท่านเชิญมาร่วมพิธี ซึ่งอยู่รายล้อมรอบทิศทั่วบริเวณวัด"

สำหรับวัตถุมงคลที่มีชื่อเสียงของครูบาบุญทา คือ เหรียญรุ่นแรก วัวแดง ยันต์หนีบ และตะกรุดปัญญาไว ซึ่งมีพุทธคุณที่เชื่อว่าจะทำให้เรียนหนังสือได้เก่ง ดังนั้น คณะศิษย์ที่มีความเลื่อมใสครูบาบุญทา มักจะนำไปมอบให้เด็กนักเรียนไว้ติดตัวเป็นสิริมงคล


ทั้งนี้ ครูบาบุญทาอนุญาตอย่างเป็นทางการให้ มูลนิธิพระอภิญญาจารย์ จัดสร้าง ด้วยวัตถุประสงค์เป็นอาจาริยบูชา ถวายวัดเจดีย์สามยอด นำออกให้บูชาสมทบทุนหารายได้สร้างเสนาสนะภายในวัด อีกทั้งมอบตอบแทนแก่ ผู้ร่วมบริจาคทรัพย์สมทบทุนมูลนิธิ ที่รับอุปถัมภ์มูลนิธิดังกล่าว

วัตถุมงคลที่กำลังเป็นที่นิยมของนักนิยมพระขลังทั่วประเทศ ไล่เรียงตั้งแต่เหรียญรุ่นแรก รูปไข่ ครึ่งองค์ หลังยันต์แก้วมณีโชติ ที่สร้างเพียง 3 เนื้อ คือ เนื้อเงิน, เนื้อสัตโลหะ และเนื้อทองแดง เหตุที่ได้รับความนิยม เพราะ ครูบา ท่านปลุกเสกเหรียญด้วยพิธีเปิดโลก ตามแบบของ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก เมื่อวันเสาร์ ที่ 5 เดือน 5 ปี 55 (วันฉัตรมงคล)

ส่วนเหรียญวัดสร้าง อีกรุ่น ชื่อ "มหาลาภ" เป็นเหรียญทรงกลม รูปครูบาบุญทาครึ่งองค์ ช่างแกะแม่พิมพ์ได้เหมือนครูบาป่าซางเป็นที่สุด จัดพิธีปลุกเสกเมื่อวันพฤหัสที่ 26 ก.ค.2555 โดยครูบาบุญทาปลุกเสกเหรียญด้วยพิธีเปิดโลกอีกเช่นเคย

การปลุกเสกแบบเปิดโลก เป็นการอธิษฐานพลังงานชั้นสูงให้ประสานกันหมด มาจากพุทธประวัติ ตอนพระพุทธเจ้าเปิดโลก หลังจากเสด็จโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พิธีอย่างนี้เคยมีครั้งหนึ่งตอนที่ "หลวงปู่ดู่" วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา ปลุกเสกเหรียญหลวงปู่ทวด รุ่นเปิดโลก โดยอัญเชิญบารมีของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์, พระปัจเจกพุทธ, พระอรหันต์, พระโพธิสัตว์ และบารมีชั้นสูง ทุกรูปทุกนาม ประมวลกันเป็นพลังงานประจุในพระเครื่อง

นี่จึงทำให้วัตถุมงคลของ "ครูบาบุญทา" มีพลังสูง เมื่อบูชาแล้วเป็นการเปิดโอกาส เปิดความเจริญก้าวหน้า เปิดสิ่งดีๆ ให้เข้ามาในชีวิตอย่างมากมาย เปิดยศถาบรรดาศักดิ์ เปิดทรัพย์สินเงินทองเข้ามา





"เหรียญมหาลาภ" มีพุทธคุณในด้านเร่งลาภ เร่งผล เร่งโชค โภคทรัพย์ทั้งปวง ทำมาหากินคล่อง ทำมาหากินขึ้น หยิบจับอะไรเป็นเงินเป็นทองไปทุกอย่าง ข้าวเต็มล้นฉาง น้ำล้นคลอง เงินทองเต็มล้นบ้าน ซื้อง่ายขายคล่อง จึงร่ำรวยเร็ว เป็นเศรษฐีไว จัดสร้าง 2 เนื้อ คือ 

- เนื้อเงิน จำนวน 488 เหรียญ มีโค้ด และหมายเลขกำกับทุกเหรียญ 
- เนื้อทองแดง สร้างจำนวน 5,000 เหรียญ



วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

วัตถุมงคล "หลวงปู่เช้า" บูรณะวัดห้วยลำใย

วัดห้วยลำใย ตากฟ้า จ.นครสวรรค์ เป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งของจังหวัด ทุกวันนี้ทุกวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ภายในวัดจะคลาคล่ำไปด้วยลูกศิษย์ลูกหาที่เลื่อมใสศรัทธาในวัตรปฏิบัติของพระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่มีนามว่า
"หลวงปู่เช้า อัตตจิตโต"
ปัจจุบันสิริอายุ 90 ปี

ท่านเป็นศิษย์สายตรง 
หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ จ.นครสวรรค์ วัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังของท่าน จึงเป็นที่ต้องการของนักสะสม เมื่อลูกศิษย์ไปหา หลวงปู่เช้ามักจะให้พรว่า





"ขอให้ผู้บูชาพระทุกคนจงจำเริญด้วย ทรัพย์สินเงินทอง ข้าวของเครื่องใช้ 
ให้มีกินมีใช้ไม่รู้หมด ให้ไม่รู้อดไม่รู้อยาก ไม่รู้ยากไม่รู้จน ให้เหนือคน ให้ร่ำรวย 
ให้ข้าวเต็มนา ให้ปลาเต็มหนอง ให้เงินทองเต็มบ้านให้ลูกหลาน เจริญก้าวหน้า 
ให้เป็นมหาเศรษฐีทุกคนนะ" จากนั้นก็มีเสียง สาธุ...สาธุ...สาธุ รับพรดังลั่น

ขณะนี้ วัดห้วยลำใย กำลังหาปัจจัยเพื่อบูรณะวัด และซ่อมแซมเสนาสนะที่ทรุดโทรม หลวงปู่เช้าจึงอนุญาตให้ศิษย์จัดสร้างวัตถุมงคลขึ้น เพื่อมอบตอบแทนแก่ผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งมีรายการดังนี้


"พญาไก่ฟ้ามหาลาภ" บูชาไว้ที่บ้าน ที่ร้านค้า ที่บริษัท จะร่มเย็นเป็นสุข มีโภคสมบัติหลั่งไหลมาสู่สถานที่นั้นมิได้ขาดและ มีด้วยกัน 4 แบบ คือ

1.ไก่เนื้อสัตโลหะ (ผิวสีรุ้ง) เนื้อนี้เป็นเนื้อกายสิทธิ์ ทำยาก เพราะผสมแร่กับโลหะมงคลหลายชนิด เทหล่อหลอมเป็นพญาไก่ฟ้ามหาลาภ ถ้าเป็นไก่ตัวครู หรือจ่าฝูง ที่ฐานจะอุดด้วยผงพญาเลี้ยง และตะกรุดสาลิกา 2 ดอก ที่คอหลวงปู่ให้ผูกด้ายสายสิญจน์ไว้เป็นสำคัญ ท่านว่า 'ตัวจ่าฝูงนี้หากินเก่งดีนัก' สร้างจำนวน 999 ตัว

2.เนื้อสัตโลหะ (ผิวสีรุ้ง) ตัวพญาเลี้ยง ใต้ฐานอุดผงพญาเลี้ยง ฝังตะกรุดสาลิกา 1 ดอก ฝังข้าวเปลือกเสก 1 เมล็ด สร้างจำนวน 1,499 ตัว

3.เนื้อทองทิพย์ (ผิวสีทอง) ตัวครู หรือจ่าฝูง หากินเก่ง หลวงปู่ให้ผูกด้ายสายสิญจน์ไว้ที่คอเป็นสำคัญ ใต้ฐานฝังตะกรุดสาลิกาคู่ ฝังข้าวเปลือกเสก 1 เมล็ด สร้างจำนวน 999 ตัว

4.เนื้อทองทิพย์ (ผิวสีทอง) ตัวพญาเลี้ยง ใต้ฐานอุดผงพญาเลี้ยง ฝังข้าวเปลือกเสก 1 เมล็ด สร้างจำนวน 1,999 ตัว

"พระขุนแผนฝนแสนห่า" หลวงปู่เช้าให้พระภิกษุ-สามเณรเข้าป่าหาว่านสาวหลง กับสอนมนต์เทพรัญจวนให้พระเณรช่วยลบผงถวายท่าน ได้ผงและว่าน ชนิดหัวเชื้อ เกรดเออย่างละครึ่งบาตรพระ ท่านให้เอาผงที่ได้ผสมกับผงมหานิยม มหาเสน่ห์ อีก 3 ชนิดคือ พระลักษมณ์หน้าทอง, นางอกแตก และผงฝนแสนห่า กดพิมพ์พระเป็นพระขุนแผนฝนแสนห่า

มีสร้างด้วยกัน 2 เนื้อ 4 ชนิดตามมวลสารหลังดังนี้ 

1.เนื้อผงเทพรัญจวน สีน้ำตาล หนักผงวิเศษ ฝังตะกรุดเทพรัญจวนทองคำแท้ดอกครูด้านหน้า สร้างจำนวน 899 องค์ 

2.เนื้อผงเทพรัญจวน สีน้ำตาล หนักผงวิเศษ ฝังตะกรุดเทพรัญจวนเงินคู่ด้านหลัง สร้างจำนวน 1,999 องค์ 

3.เนื้อว่านสาวหลงสีส้ม แก่ว่าน ฝังตะกรุดสาวหลงทองคำแท้ดอกครูด้านหน้า สร้างจำนวน 899 องค์ 

4.เนื้อว่านสาวหลง สีส้ม แก่ว่าน ฝังตะกรุดสาวหลงเงินคู่ด้านหลัง สร้างจำนวน 1,999 องค์


"เหรียญนางกวักเรียกทรัพย์" โบราณถือว่านางกวักเป็นเทวีแห่งโชคลาภ ความร่ำรวย ค้าขายดี หลวงปู่เช้าได้วิชานางกวักจากหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ สมัยก่อนท่านได้นางกวักงาแกะ จากหลวงพ่อเดิมมาหลายองค์แต่แจกเขาหมด นางกวักของหลวงพ่อเดิม ใครมีไว้ จนไม่เป็น ในฐานะเป็นศิษย์ หลวงปู่เช้าดำริสร้าง เหรียญนางกวักรุ่นแรก เพื่อเผยแผ่กิตติคุณของหลวงพ่อเดิม

เหรียญนางกวักเรียกทรัพย์ มี 2 เนื้อ คือ 

1.เนื้อทองแดง หลังเรียบ หลวงปู่เช้าให้พระเณรช่วยกันจารนะเศรษฐีมั่งมีทรัพย์ สร้างจำนวน 2,555 เหรียญ 

2.เนื้อชินสังขวานร หลังเรียบ หลวงปู่เช้าให้พระเณรช่วยกันจารนะเศรษฐีมั่งมีทรัพย์เช่นกัน สร้างจำนวน 2,555 เหรียญ

"ปูหนีบเงินหนีบทองเนื้อหินหยก" ตามธรรมชาติปูมีก้ามแข็งแรง หนีบอาหารเข้าปากรวดเร็วดุจจักรผัน ก้ามปูซ้ายขวา หากหนีบอะไรแล้ว เป็นไม่ปล่อยให้หลุดมือเด็ดขาด เหตุฉะนี้ปูหนีบทรัพย์ของหลวงปู่เช้าที่ท่านปลุกเสกให้หนีบเงิน หนีบทอง หนีบจับเงินทองมาได้ก็ไม่มีปล่อยให้หลุดรอดไปได้ ใต้ฐานอุดด้วยผงเสริมทรัพย์ ตะกรุดหาเงินเก่ง 1 ดอก สร้างด้วยหินหยกเขียวจำนวน 1,499 ตัว, หินหยกขาว จำนวน 1,499 ตัว

"ตะกรุดนารายณ์พลิกดวง" สร้างตามตำราพิชัยสงคราม ว่าด้วยกลบทนารายณ์ พลิกแผ่นดิน มีคุณด้านกลับดวงพลิกดวงให้ดีขึ้นเจริญขึ้น สร้างจำนวน 1,999 ดอก

สาธุชนที่สนใจ สามารถร่วมบุญบูชาได้ที่

วัดห้วยลำใย ตากฟ้า จ.นครสวรรค์ และ เซเว่นอีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศ

เจ้าคุณธงชัย มอบรางวัล วิทยาศาสตร์เพชรยอดมงกุฎ ครั้งที่ 9

มูลนิธิร่มฉัตร ได้อุปถัมภ์การดำเนินการจัดการแข่งขันวิทยาศาสตร์เพชรยอดมงกุฎ ครั้งที่ 9 เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามทมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ รับถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ ทุนการศึกษาพระธรรมภาวนาวิกรม ประธานมูลนิธิร่มฉัตร เมื่อวันที่ 1-2 กันยายน 2555 ณ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า กรุงเทพมหานคร


พระธรรมภาวนาวิกรม (เจ้าคุณธงชัย) ประธานมูลนิธิร่มฉัตร ประธานการแข่งขันเพชรยอดมงกุฎกล่าวว่า นักเรียนที่ได้ผ่านเข้ามาสู่เกณฑ์มาตรฐาน มาสู่รางวัลชมเชย และมาสู่เพชรยอดมงกุฎ ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเพชรเม็ดงามและสำคัญของโรงเรียน ของครอบครัว ของประเทศชาติ ถือเป็นทรัพยากรอันมีค่า ที่มูลนิธิร่มฉัตร คณะกรรมการการจัดแข่งขันเพชรยอดมงกุฎนี้ รู้สึกภูมิใจ และยินดี ประเทศไทยคาดหวังกับพวกเธอทั้งหลายไว้ว่า จะเป็นบุคคลสำคัญต่อไปในภายภาคหน้า ประเทศชาติต้องการบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในการพัฒนาประเทศ และเป็นบุคคลสำคัญในอนาคต




ขอให้พวกเธอจงรักษามาตรฐานนี้และมีความเพียร อุตสาหะ วิระยะ ในการเล่าเรียน อาตมาถือว่าพวกท่านเป็นทรัพย์อันมีค่าของแผ่นดิน เป็นที่หวังของอนาคตประเทศชาติ ความสำเร็จอันนี้ เกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยมูลนิธิร่มฉัตร คณะกรรมการเพชรยอดมงกุฎ และผู้มีอุปการคุณ โดยเฉพาะโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า ผู้บริหาร คณะครู นักการ ภารโรง ที่ได้ร่วมมือร่วมใจจัดงานครั้งนี้ให้ประสบความสำเร็จ

วันนี้เป็นการทดสอบเบื้องต้นของพวกเธอที่จะเดินหน้าในการเรียนการศึกษา แสวงหาความรู้ เป็นการเรียนที่ตรงกับ ปรัชญาว่า “การเรียนคือการศึกษาที่ไม่วันสิ้นสุด” วิทยาศาสตร์ เป็นวิชาสำคัญที่ต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ในอนาคตมหาวิทยาลัยต่างๆ ถือว่าเป็นช้างเผือก ที่มูลนิธิร่มฉัตร มีความมุ่งมั่นร่วมกับทางมหาวิทยาลัยด้านวิทยาศาสตร์ เช่นสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ม.ศ.ว. หรือ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย มีการนำเสนอว่าเด็กเพชรยอดมงกุฎนั้นถือเป็นเด็กชั้นนำของประเทศแทบจะไม่ต้องเอ็นทรานซ์ก็ได้ และเชื่อว่าถ้าเอ็นทรานซ์ ก็สามารถติดทุกคณะ ทุกสาระ ตามที่ต้องการ ขอแสดงความชื่นชมดีใจกับทุกคน ครู อาจารย์ สถานศึกษาของโรงเรียน และผู้ปกครองที่มีลูกหลานที่ มีคุณภาพ มีความสามารถเป็นหลักของครอบครัวสืบต่อไป


ผลการแข่งขันวิทยาศาสตร์เพชรยอดมงกุฎ ครั้งที่ 9 มีดังนี้

ช่วงชั้นที่ 1 (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3)

1.ชนะเลิศเหรียญทอง ทุนการศึกษา 10,000 บาท เด็กชายปรานต์กฤษฎิ์ สิริพิชิตศุภผล โรงเรียนเซนต์หลุยส์ ฉะเชิงเทรา จ.ฉะเชิงเทรา

2.รองชนะเลิศเหรียญเงิน ทุนการศึกษา 7,000 บาท เด็กชายสุรจักษ์ วรรณภาส โรงเรียนอนุบาลขอนแก่น จ.ขอนแก่น

3. รองชนะเลิศเหรียญ ทองแดง ทุนการศึกษา 5,000 บาท เด็กชายธีไรวินท์ คงวารี โรงเรียนสาธิต มศว ประสารมิตร ( ฝ่ายประถมศึกษา ) กรุงเทพมหานคร

ช่วงชั้นที่ 2 (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6)

1. ชนะเลิศเหรียญทอง ทุนการศึกษา 10,000 บาท เด็กชายกันตภณ วงศ์แแจ่มเจริญ โรงเรียนเซนต์คาเบรียลกรุงเทพมหานคร

2. รองชนะเลิศเหรียญเงิน ทุนการศึกษา 7,000 บาท เด็กชายธนาวุฒิ วิไลรัตนดิลก โรงเรียนราชวินิต กรุงเทพมหานคร

3. รองชนะเลิศเหรียญทองแดง ทุนการศึกษา5,000 บาท เด็กหญิงปพิชญา จันทร์ผ่อง โรงเรียนสุวรรณวงศ์ จ.สงขลา

ช่วงชั้นที่ 3 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3)

1.ชนะเลิศเหรียญทอง ทุนการศึกษา 10,000 บาท เด็กชายสรวิชญ์ วัฒนเพ็ญไพบูลย์ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

2.รองชนะเลิศเหรียญเงิน ทุนการศึกษา 7,000 บาท เด็กชายวีรภัทร ยศอมรสุนทร โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

3. รองชนะเลิศเหรียญทองแดงทุนการศึกษา5,000 บาท เด็กชายศิรชัช เจริญเกษมวิทย์ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) กรุงเทพมหานคร

ช่วงชั้นที่ 4 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6) วิชาเคมี

1. ชนะเลิศเหรียญทอง ทุนการศึกษา 10,000 บาท นายธรรศ อยู่สุนทร โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร

2. รองชนะเลิศเหรียญเงิน ทุนการศึกษา 7,000 บาท นายอานนท์ ภูริชิติพร โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จ.นครปฐม

3. รองชนะเลิศเหรียญทองแดง ทุนการศึกษา 5,000 บาท นายศิรจักร คงวิวัฒน์เสถียร โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จ.นครปฐม

ช่วงชั้นที่ 4 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6) วิชาชีววิทยา

1. ชนะเลิศเหรียญทอง ทุนการศึกษา 10,000 บาท นายธนพล อนุตอังกูร โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ศึกษาศาสตร์) จ.ขอนแก่น

2. รองชนะเลิศเหรียญเงิน ทุนการศึกษา 7,000 บาท นางสาวพรลดา ลิขสิทธิ์วัฒนกุล โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จ.นครปฐม

3. รองชนะเลิศเหรียญทองแดงทุนการศึกษา 5,000 บาท นายณฐกร สิริทวีชัย โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร

ช่วงชั้นที่ 4 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6) วิชาฟิสิกส์

1.ชนะเลิศเหรียญทอง ทุนการศึกษา 10,000 บาท นายภูรินทร์ ศิริพานทอง โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร

2.รองชนะเลิศเหรียญเงิน ทุนการศึกษา 7,000 บาท นายกิตติพศ เงินยวง โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ นครปฐม

3.รองชนะเลิศเหรียญทองแดงทุนการศึกษา 5,000 บาท นายกิตติภัทร ภู่พงศ์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพมหานคร


ในปี2555 นี้ มีโรงเรียนสมัครเข้าแข่งขัน จำนวน 1,550 โรงเรียน 
ระดับประถมศึกษาตอนต้น จำนวน 690 คน 
ระดับประถมศึกษาตอนปลาย จำนวน 839 คน 
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 853 คน 
และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เคมี 745 คน ฟิสิกส์ 694 คน และชีววิทยา 718 คน 
รวมผู้เข้าแข่งขัน 4,539 คน

เนื่องจากในปีนี้มีนักเรียนที่เข้าแข่งขันระดับมัธยมศึกษาตอนต้นทำคะแนนได้เท่ากัน พระเดชพระคุณพระธรรมภาวนาวิกรม ได้เพิ่มรางวัลผ่านเกณฑ์มาตรฐาน จาก 50 รางวัล เป็น 57 รางวัลได้รับเกียรติบัตร รางวัลชมเชย จาก 40 รางวัล เป็น 50 รางวัล ได้รับทุนการศึกษา 1,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รางวัลชมเชยเคมี เพชรยอดมงกุฎ จาก40 รางวัล เป็น 48 รางวัล และรางวัลผ่านเกณฑ์มาตรฐาน จาก 50รางวัล เป็น 71 รางวัล ได้รับเกียรติบัตร

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

พระพุทธชินราช รุ่น จอมราชันย์

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ หรือ ชาวบ้านนิยมเรียกว่า "วัดใหญ่" อ.เมือง จ.พิษณุโลก เป็นสถานที่ประดิษฐานพระคู่บ้านคู่เมืองอันศักดิ์สิทธิ์มาแต่ครั้งอดีต นั่นก็คือ พระพุทธชินราช ซึ่งเป็นประติมากรรมพระพุทธรูปที่สวยสง่างามมากที่สุดในโลกองค์หนึ่ง

หลวงพ่อพระพุทธชินราช ประดิษฐานที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ มาเป็นเวลานับร้อยปี เป็นที่พึ่งทางใจให้แก่พุทธศาสนิกชนมาทุกยุคทุกสมัย

ในอดีต มีการจัดสร้างวัตถุมงคลที่จำลองรูปหลวงพ่อพระพุทธชินราช มาตั้งแต่ปี 2454 นับเป็นเวลาร้อยปี แทบจะเรียกได้ว่า สร้างมาแล้วในทุกๆ พิมพ์

ล่าสุด วัดพระศรีรัตนมหาธาตุได้มีการจัดสร้าง "พระพุทธชินราช รุ่นจอมราชันย์" โดยจัดให้มีพิธีเททอง ณ มณฑลพิธีวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ โดยมี พระเกจิอาจารย์ชื่อดังมาร่วมอธิษฐานจิต และจารอักขระเลขยันต์ลงในแผ่นทอง

สำหรับแนวคิดการจัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นนี้ เพื่อเน้นความงดงามในพิมพ์พระ โดยเฉพาะเหรียญหล่อฉลุ 4 มิติ ซึ่งนับว่าเป็นงานพุทธศิลป์แห่งปีพุทธชยันตี เป็นเหรียญที่สามารถถอดประกอบได้ 4 ชิ้น ซึ่งอาศัยภูมิปัญญาในเชิงช่างยุคเก่ามาผสานกับเทคโนโลยีของช่างยุคใหม่ จะเน้นความละเอียดลออ เส้นสาย ลวดลายต่างวิจิตรบรรจง นับว่าเป็นงานประติมากรรมเหรียญพระพุทธชินราช ที่ควรค่าแก่การสะสม และจะเป็นตำนานต่อไป

ในยุคร้อยกว่าปีที่ผ่านมา พระเถระผู้มากด้วยวิชามักจะเล่นแร่แปรธาตุ ผสมโลหะชนิดต่างๆ เข้ามาด้วยกัน อาทิ เนื้อนวโลหะ เนื้อสัตตโลหะ เนื้อสำริด ซึ่งบรรดาพระเกจิ อาจารย์ที่มีชื่อเสียงไม่ว่าจะเป็นสมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์, หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม และหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ จ.นคร สวรรค์ เป็นต้น ได้นำโลหะนี้มา สร้างเป็นพระเครื่องวัตถุมงคล เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งนี้ถือกันว่าโลหะที่ได้จากการผสมกันนั้น จะเป็นโลหะชนิดพิเศษมีคุณลักษณะที่เป็นมงคล และมักจะนำมา สร้างเป็นรูปสิ่งสักการบูชา เช่น รูปพระพุทธเจ้า เป็นต้น

"โลหะเมฆสิทธิ์" เป็นเนื้อโลหะพิเศษอีกประเภทหนึ่ง ที่นับว่าหาได้ยาก ซึ่งพระเถระที่มีชื่อเสียงด้านวัตถุมงคลเนื้อเมฆสิทธิ์เห็นจะไม่มีพระเถระรูปใดเกิน หลวงพ่อทับ วัดอนงคาราม เนื่องจากท่านได้สร้างมงคลวัตถุเนื้อเมฆสิทธิ์ในราวร้อยกว่าปีที่ผ่านมา กล่าวได้ว่าโลหธาตุเนื้อเมฆสิทธิ์นั้นจะมีลักษณะสีเขียวปีกแมลงทับ เมื่อถูกขัดถูแล้วจะมีสีขาวมันวาวคล้ายเงินยวง หลวงพ่อทับมักจะนำเนื้อเมฆสิทธิ์ที่ได้จากการหลอมมา เทเป็นพิมพ์พระมากมายหลายพิมพ์ อาทิ พิมพ์พระปิดตา, พระปางซ่อนหา และพระชัยวัฒน์ เป็นต้น

ปัจจุบันมูลค่าของพระเนื้อเมฆสิทธิ์ของหลวงพ่อทับนั้นอยู่ที่หลายแสนบาท จึงถือได้ว่าเป็นตำนานต้นกำเนิดวัตถุมงคลเนื้อเมฆสิทธิ์ในวงการพระเครื่องของเมืองไทย


ปี 2555 นับเป็นครั้งแรกของการ จัดสร้าง พระพุทธชินราช รุ่นจอมราชันย์ เนื้อเมฆสิทธิ์ อีกทั้งยังเป็นรุ่นแรกของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อพระพุทธชินราชมานับเป็นเวลาหลายร้อยปี

การทำเนื้อเมฆสิทธิ์ในปัจจุบันนั้นนับว่าหาช่างทำได้ยากมาก โดยเฉพาะสูตรการผสมโลหธาตุให้ครบรวมตามสูตรโบราณ รวมไปถึงการซัดว่านหลากหลายชนิดเข้าสู่เตาหลอมนั้นต้องมีกรรมวิธีเฉพาะ พระพุทธชินราชรุ่นจอมราชันย์ เป็นมงคลวัตถุอีกสายหนึ่งที่ได้จัดสร้างเนื้อเมฆสิทธิ์แบบเต็มสูตรโบราณ ซึ่งปัจจุบันยังมีช่างที่มีความชำนาญอยู่เฉพาะสายไม่มากนัก และที่พิเศษคือได้นำพิมพ์พระพุทธชินราช รุ่นเสาร์ห้า ปี 2485 วัดสุทัศน์ กรุงเทพฯ มาใช้เป็นพิมพ์พระต้นแบบในรุ่นนี้ ซึ่งในสมัยนั้นจัดสร้างเพียง 50 องค์เท่านั้น มูลค่าความนิยมองค์ละหลายแสนบาท

ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ได้จัดสร้าง พระพุทธชินราช เนื้อเมฆสิทธิ์ เต็มสูตร อันเป็นสูตรผสมโลหะเฉพาะแต่โบราณ กล่าวกันว่า โลหะเมฆสิทธิ์นั้นส่งเสริมและคุ้มครองดวงชะตาแก่ผู้ครอบครอง เป็นครั้งแรกนับแต่มีการบันทึกเรื่องราวการจัดสร้างวัตถุมงคลรูปหลวงพ่อพระพุทธชินราช

ส่วนรูปแบบนั้นได้จำลองรูปพระพุทธชินราช รุ่นเสาร์ห้า หน้าอกเลา ปี 2485 วัดสุทัศน์ กรุงเทพฯ ซึ่งในอดีตมีการจัดสร้างเพียง 50 องค์เท่านั้น โดยได้นำมาเป็นต้นแบบของพระพุทธชินราช รุ่นจอมราชันย์ จึงนับว่าเป็นมงคลวัตถุที่ทรงคุณค่าในรูปแบบ และแฝงไว้ด้วยความเข้มขลังสำหรับพิธีมหาพุทธาภิเษก กำหนดประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษกในวันที่ 28-29 ส.ค.2555 ณ มณฑลพิธี วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก โดยจะมีพระเถรานุเถระที่มีชื่อเสียงจากทั่วประเทศมาร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิตปลุกเสก

สาธุชนผู้ที่มีความสนใจ สามารถสั่งจองวัตถุมงคลได้ที่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก, วัดเอี่ยมวรนุช กรุงเทพฯ และที่ เซเว่น-อีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศ


เหรียญหลวงปู่ฮก รตินธโร วัดราษฎร์เรืองสุข



หลวงปู่ฮก รตินธโร วัดราษฎร์เรืองสุข (มาบลำบิด) ต.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่ง อำเภอบ้านบึง เมืองชลบุรี ปัจจุบันอายุ 87 ปี พรรษา 39

ในตอนนี้หลวงปู่ฮกเป็นห่วงอุโบสถหลังเก่าวัดราษฎร์เรืองสุข ที่ชำรุดทรุดโทรมไปมาก และหลังคารั่ว ทำให้การปฏิบัติศาสนกิจเป็นไปด้วยความยากลำบาก จึงมีดำริสร้างอุโบสถหลังใหม่แทนหลังเก่า พร้อมอนุญาตให้คณะศิษย์จัดสร้างเหรียญวัตถุมงคล เพื่อหาทุนบุรณะศาสนสถานต่างๆ

เหรียญวัตถุมงคลรุ่น 1 หลวงปู่ฮก รตินธโร แห่งวัดราษฎร์เรืองสุข (มาบลำบิด)


เหรียญรุ่นนี้จัดสร้างเป็นเหรียญเสมา มีหู มีขนาดสูงไม่รวมห่วง 3.5 เซนติเมตร

โดยเหรียญรุ่น 1 นี้ จัดสร้างเป็นชุดกรรมการ 69 ชุด ภายใน 1 ชุด จะมี เหรียญเสมารุ่น 1 เนื้อเงินลงยา 2 เหรียญ เหรียญเสมาเนื้อนวโลหะ 3 เหรียญ เหรียญเนื้อทองแดงลงยา 4 เหรียญ เหรียญเนื้อทองแดง 10 เหรียญ และยังมีเหรียญทองคำตามที่สั่งจอง เหรียญเนื้อเงิน 199 เหรียญ เหรียญเนื้อนวโลหะลงยา 200 เหรียญ เหรียญเนื้อทองแดง 3,000 เหรียญ เหรียญเนื้อตะกั่วลองพิมพ์จารมือ 19 เหรียญ 

ด้านหน้าเหรียญ ตรงกลางเป็นรูปเหมือนหลวงปู่ฮก นั่งขัดสมาธิเหนือดอกบัว 
ด้านบนใต้ห่วงเหรียญ เป็นอักขระหัวใจพระ อิติปิโส อะสังวิสุโลปุสะพุภะ ขอบเหรียญเป็นลายกนก

ด้านหลังเหรียญ ตรงกลางจะเป็นยันต์ตาราง และมีอักขระหัวใจธาตุกรณี จะ ภะ กะ สะ 
และหัวใจพระไตรปิฎก มะ อะ อุ ด้านบนเป็นยันต์นะขมวดหัว 
และด้านล่างมีคำว่า ฮก ลก ซิ่ว ที่ขอบเหรียญด้านบนมีคำว่า หลวงปู่ฮก รตินฺธโร 
ขอบเหรียญโค้งลงด้านล่างมีคำว่า วัดราษฎร์เรืองสุข อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๔

สำหรับทุกเหรียญจะมีการตอกโค้ดหมายเลขทุกเหรียญ ซึ่งเหรียญหลวงปู่ฮกรุ่น 1 ได้จัดสร้างขึ้นเดือนมกราคม 2554 และหลวงปู่ฮกได้ปลุกเสกเดี่ยวเพียงลำพังรูปเดียว ทำให้เหรียญดังกล่าวมีความเข้มขลังเปี่ยมด้วยพุทธคุณ ซึ่งเหรียญรุ่นแรกของหลวงปู่ฮก มีพุทธคุณเด่นรอบด้าน อาทิ เมตตามหานิยม ค้าขายแคล้วคลาด สยบสิ่งอัปมงคล ทั้งปวง ฯลฯ

วัดราษฎร์เรืองสุขได้นำออกให้ประชาชนได้เช่าบูชา 
เพื่อนำเงินไปจัดสร้างอุโบสถหลังใหม่ เมื่อวันที่ 18 ก.พ.2554

ปัจจุบันเหรียญรุ่นแรกนี้เช่าบูชาหมดไปจากวัดแล้ว หลังจากได้นำออกให้เช่าบูชาแค่เพียง 3 เดือน ปัจจุบันราคาเช่าหาขยับสูงขึ้น หากเป็นเหรียญสวยสภาพดี ราคาจะอยู่ที่หลักพัน สวยน้อยลงมาหลักร้อยปลายๆ

หลวงพ่อฟู มอบโอวาท "พระนวกะ" บางปะกง


คณะสงฆ์อำเภอบางปะกง และ วัดบางสมัคร ต.บางสมัคร อ.บางปะกง จ.ฉะเชิง เทรา ได้จัดประชุมอบรมพระนวกะ และ พิธีทำวัตรถวายสักการะพระเถรานุเถระ เจ้าคณะพระสังฆาธิการในเขตอำเภอบางปะกง ประจำปี 2555 ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาเป็นประจำทุกปี และยังได้จัดอบรมพระนวกะคือ พระที่บวชใหม่ ในเขตอำเภอบางปะกงทั้งหมด 22 วัด ซึ่งมีพระสงฆ์ที่เข้าร่วมประชุมอบรมในครั้งนี้จำนวน 300 รูป

พระสงฆ์ทั้งอำเภอบางปะกง ประกอบพิธีทำวัตรถวายสักการะแด่ พระมงคลสุทธิคุณ หรือ หลวงพ่อฟู อติภัทโท ที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอบางปะกง เจ้าอาวาสวัดบางสมัคร และ พระราชมงคลรังษี เจ้าคณะอำเภอบางปะกง เจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร ประธานในพิธี และทำวัตรถวายสักการะ เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส และพระกรรมวาจาจารย์ทุกรูป ต่อจากนั้นเป็นพิธีเปิดการอบรมพระนวกะ

พระครูธรรมธรมนต์ชัย สารโท เลขานุการเจ้าคณะตำบลบางสมัคร กล่าวว่า "นวกะ" แปลว่า ผู้ใหม่, ผู้บวชใหม่, พระใหม่ เรียกว่า พระนวกะ พระวินัยใช้หมายถึงภิกษุที่มีพรรษายังไม่ครบ 5 นวกะเป็นพระที่นับว่ายังเป็นผู้ใหม่คือยังมีพรรษาไม่ครบ 5 จึงยังต้องอยู่ในความปกครองดูแลของพระอุปัชฌาย์ซึ่งพระวินัยเรียกว่ายังต้องถือนิสสัยอยู่ พระนวกะมีระเบียบว่าจะต้องศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยเพื่อรักษาตนทุกรูป








สำหรับพระนวกะผู้อยู่จำพรรษาแรก เจ้าอาวาส และเจ้าคณะผู้ปกครองจะจัดการเรียนการสอนให้เป็นพิเศษโดยเฉพาะ ในการอบรมมีพระวิทยากรมาถวายความรู้ให้กับพระนวกะในเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับการวัตรปฏิบัติให้เหมาะสมในเพศบรรพชิตและเรื่องวินัยอาบัติต่างๆ ที่พระนวกะควรจะรู้

โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งที่ หลวงพ่อฟู ได้ให้โอวาทกับพระนวกะความว่า 

การบริโภคปัจจัยสี่ ปัจจัยสี่ที่เราบริโภคจะมีอยู่สองคุณค่า คุณค่าอย่างหนึ่งเรียกว่าคุณค่าแท้ คุณค่าอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า คุณค่าเทียม เวลาพระจะฉันภัตตาหาร พระพุทธเจ้าจะให้ ท่องหรือให้พิจารณา ท่านเรียกว่า บทปฏิสังขาโย บทนี้เป็นบทพิจารณาปัจจัยสี่ ถ้าเราพิจารณาอย่างมีปัญญา เราจะบริโภคปัจจัยสี่อย่างเห็นคุณค่าที่แท้ เช่น เวลาเราบริโภคอาหาร ท่านก็ให้พิจารณาบอกว่า อาหารที่เรารับประทานเข้าไป ไม่ใช่กินเพื่อเล่น เพื่อสนุกสนาน เพื่อเมามัน เพื่อเกิดกำลังพลังทางกาย แต่เรากินเพื่อกำจัดความหิว กินเพื่อให้ร่างกายมีแรงศึกษาธรรมะ กินเพื่อบำบัดเวทนาเก่า แล้วก็ป้องกันเวทนาใหม่ไม่ให้เกิดขึ้น การศึกษาเริ่มต้นเมื่อคนกินอยู่เป็นเรียนรู้จากชีวิตพระเมื่อเรามีชีวิตอยู่ก็จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่ และหยูกยา ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐาน จะเห็นได้จากข้อปฏิบัติของพระว่า ท่านเริ่มศึกษาตั้งแต่การรู้จักบริโภคปัจจัย 4 ซึ่งท่านถือเป็นศีลด้วย บางคนอาจจะไม่ได้นึกว่าการรู้จักบริโภคอาหารก็เป็นศีล


การฉันอาหารที่ว่าเป็นศีล หมายถึงการฉันหรือบริโภคโดยพิจารณาว่าบริโภคเพื่ออะไรเป็นต้น เรียกง่ายๆ ว่า บริโภคด้วยปัญญา ซึ่งจะทำให้เป็นการบริโภคที่พอดี หรือกินพอดี ภาษาพระเรียกว่า โภชเนมัตตัญญุตา (ความรู้จักประมาณในการบริโภค) อีกเรื่องหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงเน้นมาก คือ อินทรียสังวร ได้แก่การรู้จักใช้อินทรีย์ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ให้ดู ฟัง เป็นต้น อย่างมีสติ จัดเป็นการศึกษาเบื้องต้น อยู่ในขั้นศีล และเป็นศีลเบื้องต้นยิ่งกว่าศีล 5 อีก เรามักจะมองกันแค่ศีล 5 ที่จริง อินทรียสังวร และโภชเนมัตตัญญุตาที่เป็นศีลเบื้องต้นนี่แหละ พระพุทธเจ้าทรงเน้นมาก

พระเณรพอบวชเข้ามาก็เริ่มด้วยอินทรียสังวร ให้สำรวมอินทรีย์ว่า เวลารับรู้ ดู ฟัง เห็นอะไรต่างๆ ก็ให้เป็นไปโดยมีสติ แล้วก็ตามมาด้วยปัญญา ให้ได้ความรู้ ไม่ให้เกิด โลภะ โทสะ โมหะ ให้ได้แต่กุศล พูดง่ายๆ ว่า รับรู้ด้วยสติ มิให้อกุศลธรรมเข้ามาครอบงำจิตใจ แค่นี้ก็ใช้ได้ หลักอีกอย่างหนึ่งที่มาสนับสนุน ท่านเรียกว่า สันโดษ หมายถึง ความพอใจในปัจจัย 4 คือ 
จีวร (เครื่องนุ่งห่ม) 
บิณฑบาต (อาหาร) 
เสนาสนะ (ที่อยู่) 
เภสัชบริขาร (หยูกยา) 
ตามมีตามได้ มีฉันมีใช้ พอให้อยู่ได้ พอให้สนองความต้องการของชีวิต

เมื่อมีปัจจัย 4 พอเป็นอยู่แล้ว ไม่ลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับการเสพบริโภค ก็เอาเวลา แรงงาน และความคิด ไปอุทิศให้แก่การศึกษาพัฒนาชีวิต การทำกิจหน้าที่การงาน และการเพียรสร้างสรรค์กุศลธรรมหรือสิ่งที่ดีงามให้เต็มที่ ทำอย่างนี้เรียกว่า "สันโดษ"

การฝึกฝนพัฒนาตนเกี่ยวกับปัจจัย 4 นั้น มีสาระที่พึงปฏิบัติตามหลักอินทรียสังวร โภชเนมัตตัญญุตา และสันโดษ การฝึกหรือศึกษาในหลักธรรมเหล่านี้ มิใช่เฉพาะพระภิกษุสามเณรเท่านั้นที่ควรปฏิบัติ แม้แต่คฤหัสถ์ คือชาวบ้านทั้งหลาย ก็ควรนำมาใช้ประโยชน์

วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

หลวงพ่อประสูติ แห่ง วัดในเตา


พระอาจารย์ประสูติ ปิยธัมโม
เจ้าอาวาสวัดถ้ำพระพุทธโกษีย์ (วัดในเตา) หมู่ที่ 1 ต.ในเตา อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ท่านเป็นพระนักปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย และยังเป็นพระนักพัฒนา ทำให้เป็นที่นับถือศรัทธาจากสาธุชนโดยทั่ว ทั้งใน จ.ตรัง จ.นครศรีธรรมราช จ.พัทลุง และใกล้เคียง

พระอาจารย์ประสูติ ท่านมีนามเดิมว่า สูตร คงฤทธิ์ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม 2508 ณ หมู่ที่ 2 บ้านห้วยหลุด ต.ห้วยยอด อ.ห้วยยอด จ.ตรัง โยมบิดา ชื่อ นายประดิษฐ์ และโยมมารดา ชื่อ นางสนิท คงฤทธิ์ ครอบครัวประกอบอาชีพทำสวนยางพารา ในวัยเยาว์ ท่านเรียนหนังสือระดับประถมศึกษา ที่โรงเรียนบ้านทุ่งต่อ อ.ห้วยยอด จ.ตรัง และได้ไปพักอาศัยอยู่ที่วัดในเตา กับ หลวงปู่แสง ธมฺมสโร เจ้าอาวาสวัดในเตา ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งเมืองตรัง สายสำนักเขาอ้อ จ.พัทลุง

ท่านได้ศึกษาสรรพวิชาจากหลวงปู่แสง จนกระทั่งเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนห้วยยอด จ.ตรัง และได้ผันตัวเองเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ บรรพชา ณ วัดห้วยยอด อ.ห้วยยอด จ.ตรัง


ครั้นเมื่ออายุครบ 20 ปี ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดห้วยยอด โดยมีพระครูนิมิตสังฆคุณ เจ้าคณะอำเภอห้วยยอด เป็นพระอุปัชฌาย์ ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัยและพระปริยัติธรรม สามารถสอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก ก่อนกราบลาพระอุปัชฌาย์ เพื่อออกธุดงควัตร เสาะแสวงหาพระเกจิอาจารย์ชื่อดังตามภาคต่างๆ เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาวิชาความรู้

เริ่มต้นเรียนจากหลวงปู่แสง เจ้าอาวาสวัดในเตา ซึ่งขณะนั้นในบริเวณรอบวัด ถือเป็นพื้นที่สีแดง แต่หลวงปู่แสงและพระอาจารย์ประสูติ สามารถอยู่จำพรรษาได้อย่างปกติสุข เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้าน

หลังจากร่ำเรียนวิชาจากหลวงปู่แสงแล้ว ท่านได้กราบลา เพื่อเดินทางไปศึกษาวิชากับพระเกจิอาจารย์ชื่อดังทั่วทุกภาคของประเทศไทย เช่น

เดินทางไปภาคเหนือ เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ "ครูบาเหมย" วัดศรีดงเย็น จ.เชียงใหม่

เดินทางลงมายังภาคกลาง เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ "หลวงพ่อสัมฤทธิ์" วัดถ้ำแผด จ.กาญจนบุรี 



ส่วนภาคใต้ ท่านเดินทางไปยังหลายวัด เพื่อขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ อาทิ

หลวงพ่อคล้อย วัดถ้ำเขาเงิน อ.หลังสวน จ.ชุมพร,
พระครูบุญญาภินันท์ หรือพระอาจารย์หรีด วัดป่าโมกข์ จ.พังงา,
หลวงปู่ชื่น วัดทุ่งชน จ.ตรัง เป็นต้น

กระทั่ง พ.ศ.2540 ท่านจึงได้กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดห้วยยอด อ.ห้วยยอด จ.ตรัง อีกครั้ง ต่อมา พ.ศ. 2535 หลวงปู่แสง เจ้าอาวาสวัดในเตา มรณภาพลง ทำให้วัดแห่งนี้แทบจะกลายเป็นวัดร้าง เนื่องจากไม่มีเจ้าอาวาส และไม่มีพระลูกวัดอาศัยอยู่อย่างถาวร เมื่อชาวบ้านรับทราบว่า พระอาจารย์ประสูติ เดินทางกลับมาจำวัดอยู่ที่วัดห้วยยอด ในฐานะที่เป็นศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่แสง มากที่สุด และ เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของสาธุชน บรรดาชาวบ้านจึงได้ไปกราบนิมนต์ขอให้เป็นเจ้าอาวาสวัดในเตา นับตั้งแต่ พ.ศ.2544 จนถึงปัจจุบัน

สำหรับวัดในเตา ได้ก่อสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.2203 มีพระพุทธรูปที่สวยงามและศักดิ์สิทธิ์ ในสมัยอาณาจักรศรีวิชัย ประดิษฐานอยู่คู่กับวัด 3 องค์ คือ
- พระพุทธโกษีย์
- พระธรรมรูจี 
- พระศรีไกรสร

โดยได้นำเอาชื่อของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่ประดิษฐานอยู่ในถ้ำ มาตั้งเป็นชื่อวัด และภายในถ้ำแห่งนี้ เป็นที่ร่ำลือกันว่า มีเหล็กไหล ฝังอยู่มานานหลายร้อยปีแล้ว เป็นผลทำให้มีชาวบ้านจำนวนมาก แอบลักลอบเข้าไปขุดเหล็กไหล สร้างความเสียหายอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้ พระอาจารย์ประสูติ จึงได้นำเหล็กไหล ที่ได้กระทำพิธีขอพลีขึ้นมาจากใต้ถ้ำ รวมน้ำหนักประมาณ 400 กิโลกรัม ไปฝังเอาไว้ใต้พระประธานภายในอุโบสถวัด เพื่อต้องการแก้ปัญหาการทุบทำลายถ้ำ ขโมยเหล็กไหล อย่างไรก็ตาม ท่านได้พยายามสั่งสอน เรื่องการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาให้กับชาวบ้าน ทำให้วัดแห่งนี้กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของสาธุชนผู้มีความศรัทธา

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

หลวงปู่เก่ง ธนวโร (เทพเจ้าแห่งบ้านนาแก) วัดกิตติราชเจริญศรี

หลวงปู่เก่ง ธนวโร (เทพเจ้าแห่งบ้านนาแก) หรือ อีกนามว่า หลวงปู่ไก่ชน แห่ง วัดกิตติราชเจริญศรี บ้านนาแก ต.ระเว อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี 

หลวงปู่เก่ง ถือเป็นพระอริยะสงฆ์ที่สืบทอดจริยาวัตรปฏิบัติจากครูบาอาจารย์ได้ดีเยี่ยม ท่านเป็นศิษย์ พระครูวิโรจน์รัตโนบล (ญาท่านดีโลด) อดีตเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี สืบทอดวิชาตำรายันต์ฝังดาบ ทำหลักเขตบ้าน เรียนวิชาสายมหาปราบ แก้ที่แก้ทาง ที่มีเจ้าที่ดุร้าย จากญาท่านพรหมา วัดบ้านระเว และญาท่านรัตน์ วัดบ้านหัวดอน พระอุปัชฌาย์ เป็นผู้มีความเคารพในวิชาและศรัทธาในหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท 

หลวงปู่ท่านสามารถขับไล่ผี ปราบผีดุร้าย และนั่งเข้าสมาธิกำหนดจิตหยั่งรู้ เรื่องราวต่างๆได้ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ ในสมัยก่อนแถบพิบูลมังสาหารจะได้ยินชื่อพระที่โด่งดังสามองค์ด้วยกัน หลวงปู่แพง ญาท่านสวน หลวงปู่เก่ง 




หลวงปู่เก่งท่านเป็นพระที่สมถะเรียบง่าย มีเมตตาสูง อ่อนน้อมถ่อมตน ปัจจุบัน(๒๕๕๕) หลวงปู่เก่งท่านมีอายุ ๘๙ ปี และมีอายุพรรษา ๖๘ ปี เป็นเจ้าอาวาสวัดกิตติราชเจริญศรี ( วัดบ้านนาแก ) หมู่ ๑ ตำบลระเว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี

หลวงปู่เก่ง ธนวโร เกิดเมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๙ เดือนกันยายน ๒๔๖๖ แรม ๑๔ ค่ำเดือน ๙ ปีกุน เป็นวันธงชัย ในตระกูลวงศ์สวัสดิ์ โดยมีพี่น้อง ๖ คน ในวัยเด็กหลวงปู่เก่งเป็นเด็กรูปร่างผอมบาง ตัวเล็กคล่องแคล่ว มีจิตใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยว 

เมื่ออายุได้ ๑๘ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรโดยมีญาท่านพรหมา เจ้าอาวาสบ้านระเว เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากบรรพชาเป็นสามเณร ในขณะนั้น หลวงพ่อพระครูวิโรจน์รัตโนบล (ญาท่านดีโลด) เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานีในอดีต ได้เป็นประธานในการสร้างอุโบสถบ้านโพธิ์ศรี และบุรณะอุโบสถเก่าแถบตำบลโพธิ์ศรีและตำบลระเว เมื่อมีพระเถระผู้ใหญ่มาในท้องที่พระสังฆาธิการในละแวกใกล้เคียงจึงได้ทำการต้อนรับ รวมทั้งญาท่านพรหมา และพระในปกครอง หลวงปู่เก่งในขณะนั้นเป็นสามเณร และทำหน้าที่อุปฐากพระอุปัชฌาย์ได้เห็นอาจริยาวัตรของพระเถระผู้ใหญ่ รวมทั้งพระครูวิโรจน์รัตโนบล ซึ่งท่านได้เห็นสามเณรเก่งก็เกิดความเมตตาเป็นอย่างยิ่ง และได้ทราบว่าเป็นคนที่มีต้นตระกูลมาจากบ้านกระโสบ- หมากมี่ อำเภอเมืองด้วยแล้ว จึงเอ็นดูเป็นพิเศษ


เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี จึงได้เข้าอุปสมบทที่วัดบ้านหัวดอน โดยมีญาท่านรัตน์ เจ้าอาวาสวัดบ้านหัวดอน เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ฉายาว่า "ธนวโร" แปลว่า ผู้มีทรัพย์อันประเสริฐ เมื่ออุปสมบทแล้วได้มาจำพรรษาที่วัดกิตติราชเจริญศรี บ้านนาแก ศึกษาการปฏิบัติตามแนวทางของครูบาอาจารย์ ได้ออกธุดงค์ไปในแถบแม่น้ำมูลตอนล่าง เลียบลำน้ำโขงตามรอยธรรมของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ข้ามไปในประเทศลาว ภูมะโรง เป็นระยะเวลา เกือบ ๑ ปี ในการเดินธุดงค์นั้นหลวงปู่ได้ติดเชื้อไข้มาลาเลีย แต่ยังฝืนเดินไปเรื่อยจนไข้ขึ้นหนักมากจึงได้กลับมาพักรักษาด้วยยาสมุนไพรจนหายขาด

หลังจากหายเป็นปรกติแล้วหลวงปู่เก่งสงสัยว่ารากไม้ทำไมจึงรักษาโรคต่างๆได้ จึงเรียนตำรายารากไม้จาก พ่อหมอทุม ซึ่งเป็นชาวบ้านหนองโพ ตำบลโพธิ์ศรี และศึกษาวิธีการใช้ยารักษาคนกับอาจารย์เป็นระยะเวลา ๙ ปี จนมีความเชี่ยวชาญ และได้เรียนวิชายาสมุนไพรเพิ่มเติมจากหมอยาชาวจีนอีกเป็นระยะเวลา ๕ ปี จนมีความแตกฉานในเรื่องยารากไม้และยาสมุนไพรเป็นอย่างยิ่ง มีผู้ป่วยมารับการรักษามากและมีชื่อเสียงในขณะนั้น
ข่าวการรักษาคนป่วยของหลวงปู่เก่งได้ขยายไปในวงกว้าง และมีผู้มารักษาเป็นจำนวนมาก ทราบข่าวถึงหูโจรใจบาปคิดว่าหลวงปู่คงจะมีเงินจากการรักษามาก จึงได้รวมตัวกันเข้าปล้นสะดมในเวลากลางคืนพวกโจรใจบาปทั้งหลาย ทั้งตี ทั้งฟัน ทั้งแทง และยิงกะเอาให้ตาย จนหลวงปู่สลบไป และรื้อค้นได้เงินไปจำนวนหนึ่ง และของมีค่าที่หลวงปู่เก็บรักษาไว้ไปอีกหลายชิ้น พอฟื้นขึ้นมาหลวงปู่มีอาการแค่หัวโน และถลอกตามแขนขานิดหน่อยเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง
คนป่วยบางจำพวกที่รักษาด้วยยาสมุนไพรไม่หายคือคนป่วยโรคจิต คือโรคจิตเกิดจากธาตุในกายกำเริบ อีกอย่างคือโรคจิตจากการเข้าแทรกด้วยผู้มีอำนาจกว่า (ผีเข้า) และโรคจิตที่เกิดจากการกระทำ หรือที่เรียกว่าคุณไสย์ ด้วยความเมตตา หลวงปู่เก่งจึงรักษาด้วยการขับไล่ผีร้ายออกไป ตามวิชาครูธรรมที่ได้เรียนธรรมสายมหาปราบ จนมีผู้ที่ป่วยเป็นโรคจิต และถูกคุณไสยที่ญาติพามารักษา และมอบให้หลวงปู่รักษาเป็นจำนวนมาก บางคนดุร้ายมากถึงกับต้องล่ามโซ่ติดกับต้นไม้ใหญ่ไว้ (เป็นที่ชินตากับคนที่มาหาหลวงตาในอดีต) หลวงปู่เก่งท่านก็เมตตารักษาด้วยพลังจิตควบคู่ไปกับยาสมุนไพรด้วย เมื่อหายขาดแล้วจึงได้ตามญาติมารับกลับไป 

นอกจากนี้ หลวงปู่เก่งยังสามารถสื่อสารกับ เจ้าที่เจ้าทางได้ ปราบผีปอบ ผีเข้าเจ้าสูญ และทำหลักเขตหมู่บ้านตามตำราของอาจารย์พระครูวิโรจน์รัตโนบล (หลวงปู่ดีโลด) และ ญาท่านรัตน์พระอุปัชฌาย์อีกด้วย