ตามที่มีผู้แสดงความเห็นด้วยกับการสร้าง “พระพุทธเจ้าน้อย” หรือ “พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร” เพื่อนำไปประดิษฐาน ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล สถานที่ประสูติจากพระครรภ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ในนามของคณะกรรมการโครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ขอขอบคุณในคำท้วงติงต่างๆ และใคร่ขอเรียนชี้แจงให้ทราบถึงเหตุผลความเป็นมาของโครงการจัดสร้าง “พระพุทธเจ้าน้อย” เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นดังนี้
รูปแทนของ “พระมหาโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร” นี้ มีการสร้างกันมานานแล้วในหลายประเทศ โดยจะพบเห็นได้ทั่วไปทั้งในประเทศเนปาล อินเดีย จีน ไต้หวัน หรือแม้แต่วัดบางแห่งในประเทศไทย เช่น วัดอโศการาม และ วัดสระเกศ เป็นต้น เพียงแต่ในประเทศไทยยังไม่นิยมสร้างกันแพร่หลายเหมือนพระพุทธรูปปางอื่นๆ คนไทยจึงไม่ค่อยรู้จัก เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ วัดพระธาตุหริภุญชัย ก็เพิ่งขุดพโดยกรมศิลปกร ได้ตรวจสอบว่ามีอายุกว่า 1,000 ปี
แต่ถ้าหากใครไปสักการะสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าที่ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล เมื่อเข้าสู่เมือง BHAJRAHAWA ซึ่งเป็นที่ตั้งของลุมพินีสถาน ก็จะเห็นพระมหาโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมารนี้ ประดิษฐานอยู่ที่วงเวียนกลางเมือง BHAJRAHAWA โดยฝรั่งมักจะเรียกกันติดปากว่า “BABY BUDDHA” ซึ่งเมื่อแปลเป็นภาษาไทยก็คือ “พระพุทธเจ้าน้อย” นั่นเอง การใช้คำว่า จัดสร้าง “พระพุทธเจ้าน้อย” แทนคำว่า การจัดสร้าง “พระมหาโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร” ซึ่งเรียกยาก ในแง่หนึ่งจึงอาจถูกมองได้ว่าเป็นเรื่องของประชาสัมพันธ์เพื่อให้ผู้คนจดจำชื่อได้ง่าย แต่ชื่อก็เป็นเพียงสมมติสัจจะที่ใช้เรียกขานกันเท่านั้น สิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่น่าจะคำนึงถึงก็คือ คุณค่าและแก่นสารความหมายของการจัดสร้าง “พระพุทธเจ้าน้อย” เพื่อนำไปประดิษฐาน ณ สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า
โครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ได้เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 โดยได้รับพระเมตตาจาก สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นประธานที่ปรึกษาฝ่ายสงฆ์ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เป็นประธานที่ปรึกษาฝ่ายฆารวาส และคุณ หญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นประธานคณะกรรมการดำเนินงานโครงการ
รูปแทนของ “พระมหาโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร” นี้ มีการสร้างกันมานานแล้วในหลายประเทศ โดยจะพบเห็นได้ทั่วไปทั้งในประเทศเนปาล อินเดีย จีน ไต้หวัน หรือแม้แต่วัดบางแห่งในประเทศไทย เช่น วัดอโศการาม และ วัดสระเกศ เป็นต้น เพียงแต่ในประเทศไทยยังไม่นิยมสร้างกันแพร่หลายเหมือนพระพุทธรูปปางอื่นๆ คนไทยจึงไม่ค่อยรู้จัก เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ วัดพระธาตุหริภุญชัย ก็เพิ่งขุดพโดยกรมศิลปกร ได้ตรวจสอบว่ามีอายุกว่า 1,000 ปี
แต่ถ้าหากใครไปสักการะสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าที่ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล เมื่อเข้าสู่เมือง BHAJRAHAWA ซึ่งเป็นที่ตั้งของลุมพินีสถาน ก็จะเห็นพระมหาโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมารนี้ ประดิษฐานอยู่ที่วงเวียนกลางเมือง BHAJRAHAWA โดยฝรั่งมักจะเรียกกันติดปากว่า “BABY BUDDHA” ซึ่งเมื่อแปลเป็นภาษาไทยก็คือ “พระพุทธเจ้าน้อย” นั่นเอง การใช้คำว่า จัดสร้าง “พระพุทธเจ้าน้อย” แทนคำว่า การจัดสร้าง “พระมหาโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร” ซึ่งเรียกยาก ในแง่หนึ่งจึงอาจถูกมองได้ว่าเป็นเรื่องของประชาสัมพันธ์เพื่อให้ผู้คนจดจำชื่อได้ง่าย แต่ชื่อก็เป็นเพียงสมมติสัจจะที่ใช้เรียกขานกันเท่านั้น สิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่น่าจะคำนึงถึงก็คือ คุณค่าและแก่นสารความหมายของการจัดสร้าง “พระพุทธเจ้าน้อย” เพื่อนำไปประดิษฐาน ณ สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า
โครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ได้เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 โดยได้รับพระเมตตาจาก สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นประธานที่ปรึกษาฝ่ายสงฆ์ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เป็นประธานที่ปรึกษาฝ่ายฆารวาส และคุณ หญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นประธานคณะกรรมการดำเนินงานโครงการ
การที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยได้รับโอกาสให้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพบูรณะปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาลนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย เพราะก่อนหน้านี้ มีชาวพุทธจากหลายประเทศพยายามจะขออนุญาตบูรณะปฏิสังขรณ์สถานที่แห่งนี้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก การจะไปบูรณะอะไรต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการ กองทุนพัฒนาลุมพินี (Lumbini Development Trust) และ คณะกรรมการมรดกโลก ก่อน
การได้รับอนุญาตให้สามารถบูรณะปฏิสังขรณ์ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล ของพุทธศาสนิกชนชาวไทยครั้งนี้ จึงเท่ากับเป็นการได้รับโอกาสให้บูรณะปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าเป็นครั้งประวัติศาสตร์ ถัดจากการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งแรกในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเมื่อประมาณปี พ.ศ.236 และการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งที่สอง โดยองค์การสหประชาชาติ ภายใต้การผลักดันของ ฯพณฯ อูถั่น ชาวพุทธพม่า ซึ่งเป็นเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ เมื่อปี พ.ศ.2513 เพื่อเฉลิมฉลองพุทธศตวรรษที่ 25 (อันเชื่อกันว่า เป็นยุคกึ่งพุทธกาลของพระพุทธศาสนา)
เมื่อครั้งที่ พระเจ้าอโศกมหาราช เสด็จมา ณ ลุมพินี และทำการบูรณะปฏิสังขรณ์สถานที่แห่งนี้ พระองค์ได้รับสั่งให้สร้าง “เสาหินอโศก” ไว้เป็นอนุสรณ์ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการมาบูรณะสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ประกอบกับคณะกรรมการบูรณปฏิสังขรณ์ฯ ได้รับคำขอจากกรรมการกองทุนลุมพินีแห่งประเทศเนปาล ว่าน่าจะสร้าง “BABY BUDDHA” ที่เป็นองค์สมบูรณ์มาประดิษฐานตรงทางเข้าสู่วิหารมายาเทวี ดิฉันจึงเห็นเป็นโอกาสอันดีที่จะอาศัยกิจกรรมนี้ชักชวนคนไทยทุกฝ่าย ให้หันมาร่วมกันทำกิจกรรมที่เป็นบุญกุศลนี้ โดยการบูชาแผ่นทองคนละเล็กละน้อยตามกำลัง แล้วนำแผ่นทองมาหลอมรวมเป็นองค์พระพุทธเจ้าน้อย เพื่อนำไปประดิษฐานที่ลุมพินี ให้เป็นสัญลักษณ์แห่งการมาบูรณะสถานที่แห่งนี้เช่นเดียวกับ “เสาหินอโศก”
ทั้งนี้ โครงการบูรณะปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้ามีวัตถุประสงค์สำคัญ เพื่อต้องการทำถวายเป็นพุทธบูชาเนื่องในวโรกาสเฉลิมฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประการหนึ่ง และเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสปีมหามงคลที่ทรงเจริญพระชนมายุ 7 รอบ 84 พรรษา ตลอดจนถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสปีมหามงคลที่ทรงเจริญพระชนมายุ 80 พรรษา อีกประการหนึ่ง ซึ่งบังเอิญมาบรรจบพร้อมกันพอดีในช่วงเวลาแห่งการบูรณะปฏิสังขรณ์ลุมพินีสถาน เป็นครั้งประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนานี้
ในขณะที่การบูรณะปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าครั้งแรก “เสาหินอโศก” ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการเสด็จมาบูรณะปฏิสังขรณ์ลุมพินีสถานของ “พระเจ้าอโศกมหาราช” เมื่อ 2,300 กว่าปีก่อนให้อนุชนรุ่นหลังได้ระลึกถึง ฉะนั้น คณะกรรมการฯ จึงคิดว่า “พระพุทธเจ้าน้อย” หรือ “พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร” ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล ก็น่าจะกลายเป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ (เช่นเดียวกับเสาหินอโศก) ให้ชาวพุทธทั่วโลกที่เดินทางมาสักการะสังเวชนียสถานแห่งนี้ ได้รับรู้ถึงการหลอมรวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนชาวไทยเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของชาวไทย ซึ่งพระองค์ทรงเป็นองค์เอกอัครพุทธศาสนูปถัมภก เป็นพุทธมามกะ ตลอดจนเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมและจักกวัตติวัตร จนทรงเป็น “ธรรมราชา” ที่พสกนิกรชาวไทยให้ความเคารพรักอย่างสูงสุด เพื่อเป็น “กายสักขีของหลักพุทธรรม” ดังนั้น แห่งจักกวัตติสูตร ฑีฆนิกาย ปาฏิกวรรคที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าถึงเรื่องราวของพระราชาจักรพรรดิ ซึ่งเมื่อทรงตั้งมั่นอยู่ในจักกวัตติวัตรอันประเสริฐแล้ว ก็จักส่งผลให้ทรงมีพระราชอำนาจโดยธรรม (อันเกิดจากความเคารพรักของประชาชน) ที่มีอานุภาพประดุจจักรแก้วอันเป็นทิพย์บังเกิดขึ้น สัจจะความจริงแห่งหลักพุทธรรมข้อนี้ ชาวพุทธจากทั่วโลกที่เดินทางมาสักการะสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าจะได้เห็นผ่านทางสัญลักษณ์ขององค์ “พระพุทธเจ้าน้อย” ที่คนไทยร่วมกันจัดสร้างขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่เหนือเกล้าทั้ง 2 พระองค์ ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าดังกล่าว
นอกจากนี้ “พระพุทธเจ้าน้อย” หรือ “พระมหาโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร” ยังเป็นสัญลักษณ์ที่มีแก่นสารความหมายแฝงอยู่ภายในตัวเอง เพราะเป็นรูปแทนของเจ้าชายสิทธัตถะเมื่อครั้งประสูติจากพระครรภ์มารดา โดยทรงมีสติระลึกทบทวนถึง “เป้าหมายของชีวิต” ที่อุบัติมาเป็นมนุษย์ในชาติสุดท้ายนั้น แล้วประทับยืนยกพระหัตถ์ขวานิ้วชี้ชี้ขึ้นฟ้า พระหัตถ์ซ้ายนิ้วชี้ชี้ลงดิน กล่าวเปล่งอาสภิวาจา ประกาศความมุ่งมั่น หรือ “สัจจาอธิษฐาน” ที่จักทรงบำเพ็ญให้เข้าถึงความประเสริฐสูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์ในโลก ซึ่งก็คือ การบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณให้จงได้ในชีวิตที่ได้เกิดมาเป็นชาติสุดท้ายดังกล่าว
คณะกรรมการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า จึงเห็นว่า “พระพุทธเจ้าน้อย” น่าจะเป็นสิ่งเตือนสติให้เราแต่ละคน ได้หันกลับมาทบทวนถึงจุดหมายชีวิตตัวเองว่า “เกิดมาทำไม” และ “อะไรคือเป้าหมายอันประเสริฐที่ควรจะไปให้ถึงในชีวิตนี้” แล้วตั้งสัจจะอธิษฐานที่จักประพฤติปฏิบัติกุศลธรรมต่างๆ เพื่อเป็น “เหตุ” นำไปสู่เป้าหมายของ “ผลที่ดี” ดังกล่าว ในแง่นี้ “พระพุทธเจ้าน้อย” ก็จะเป็นสัญลักษณ์ของ “การเกิดหรือการตั้งต้น” ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเตือนให้คนไทยหันมาทบทวนตัวเองแล้ว “ตั้งต้นใหม่” ในการทำสิ่งดีๆ เพื่ออนาคตของชีวิตแต่ละคน “ตั้งต้นใหม่” ในการทำสิ่งดีๆ เพื่ออนาคตของครอบครัวที่ร่มเย็นเป็นสุข สุดท้ายก็จะนำไปสู่การ “ตั้งต้นใหม่” ทำสิ่งดีๆ เพื่ออนาคตของประเทศไทย ท่ามกลางความหวาดระแวงและความขัดแย้งแตกแยกในบ้านเมืองทุกวันนี้
เมื่อครั้งที่ พระเจ้าอโศกมหาราช เสด็จมา ณ ลุมพินี และทำการบูรณะปฏิสังขรณ์สถานที่แห่งนี้ พระองค์ได้รับสั่งให้สร้าง “เสาหินอโศก” ไว้เป็นอนุสรณ์ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการมาบูรณะสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ประกอบกับคณะกรรมการบูรณปฏิสังขรณ์ฯ ได้รับคำขอจากกรรมการกองทุนลุมพินีแห่งประเทศเนปาล ว่าน่าจะสร้าง “BABY BUDDHA” ที่เป็นองค์สมบูรณ์มาประดิษฐานตรงทางเข้าสู่วิหารมายาเทวี ดิฉันจึงเห็นเป็นโอกาสอันดีที่จะอาศัยกิจกรรมนี้ชักชวนคนไทยทุกฝ่าย ให้หันมาร่วมกันทำกิจกรรมที่เป็นบุญกุศลนี้ โดยการบูชาแผ่นทองคนละเล็กละน้อยตามกำลัง แล้วนำแผ่นทองมาหลอมรวมเป็นองค์พระพุทธเจ้าน้อย เพื่อนำไปประดิษฐานที่ลุมพินี ให้เป็นสัญลักษณ์แห่งการมาบูรณะสถานที่แห่งนี้เช่นเดียวกับ “เสาหินอโศก”
ทั้งนี้ โครงการบูรณะปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้ามีวัตถุประสงค์สำคัญ เพื่อต้องการทำถวายเป็นพุทธบูชาเนื่องในวโรกาสเฉลิมฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประการหนึ่ง และเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสปีมหามงคลที่ทรงเจริญพระชนมายุ 7 รอบ 84 พรรษา ตลอดจนถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสปีมหามงคลที่ทรงเจริญพระชนมายุ 80 พรรษา อีกประการหนึ่ง ซึ่งบังเอิญมาบรรจบพร้อมกันพอดีในช่วงเวลาแห่งการบูรณะปฏิสังขรณ์ลุมพินีสถาน เป็นครั้งประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนานี้
ในขณะที่การบูรณะปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าครั้งแรก “เสาหินอโศก” ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการเสด็จมาบูรณะปฏิสังขรณ์ลุมพินีสถานของ “พระเจ้าอโศกมหาราช” เมื่อ 2,300 กว่าปีก่อนให้อนุชนรุ่นหลังได้ระลึกถึง ฉะนั้น คณะกรรมการฯ จึงคิดว่า “พระพุทธเจ้าน้อย” หรือ “พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร” ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล ก็น่าจะกลายเป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ (เช่นเดียวกับเสาหินอโศก) ให้ชาวพุทธทั่วโลกที่เดินทางมาสักการะสังเวชนียสถานแห่งนี้ ได้รับรู้ถึงการหลอมรวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนชาวไทยเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของชาวไทย ซึ่งพระองค์ทรงเป็นองค์เอกอัครพุทธศาสนูปถัมภก เป็นพุทธมามกะ ตลอดจนเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมและจักกวัตติวัตร จนทรงเป็น “ธรรมราชา” ที่พสกนิกรชาวไทยให้ความเคารพรักอย่างสูงสุด เพื่อเป็น “กายสักขีของหลักพุทธรรม” ดังนั้น แห่งจักกวัตติสูตร ฑีฆนิกาย ปาฏิกวรรคที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าถึงเรื่องราวของพระราชาจักรพรรดิ ซึ่งเมื่อทรงตั้งมั่นอยู่ในจักกวัตติวัตรอันประเสริฐแล้ว ก็จักส่งผลให้ทรงมีพระราชอำนาจโดยธรรม (อันเกิดจากความเคารพรักของประชาชน) ที่มีอานุภาพประดุจจักรแก้วอันเป็นทิพย์บังเกิดขึ้น สัจจะความจริงแห่งหลักพุทธรรมข้อนี้ ชาวพุทธจากทั่วโลกที่เดินทางมาสักการะสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าจะได้เห็นผ่านทางสัญลักษณ์ขององค์ “พระพุทธเจ้าน้อย” ที่คนไทยร่วมกันจัดสร้างขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่เหนือเกล้าทั้ง 2 พระองค์ ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าดังกล่าว
นอกจากนี้ “พระพุทธเจ้าน้อย” หรือ “พระมหาโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร” ยังเป็นสัญลักษณ์ที่มีแก่นสารความหมายแฝงอยู่ภายในตัวเอง เพราะเป็นรูปแทนของเจ้าชายสิทธัตถะเมื่อครั้งประสูติจากพระครรภ์มารดา โดยทรงมีสติระลึกทบทวนถึง “เป้าหมายของชีวิต” ที่อุบัติมาเป็นมนุษย์ในชาติสุดท้ายนั้น แล้วประทับยืนยกพระหัตถ์ขวานิ้วชี้ชี้ขึ้นฟ้า พระหัตถ์ซ้ายนิ้วชี้ชี้ลงดิน กล่าวเปล่งอาสภิวาจา ประกาศความมุ่งมั่น หรือ “สัจจาอธิษฐาน” ที่จักทรงบำเพ็ญให้เข้าถึงความประเสริฐสูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์ในโลก ซึ่งก็คือ การบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณให้จงได้ในชีวิตที่ได้เกิดมาเป็นชาติสุดท้ายดังกล่าว
คณะกรรมการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า จึงเห็นว่า “พระพุทธเจ้าน้อย” น่าจะเป็นสิ่งเตือนสติให้เราแต่ละคน ได้หันกลับมาทบทวนถึงจุดหมายชีวิตตัวเองว่า “เกิดมาทำไม” และ “อะไรคือเป้าหมายอันประเสริฐที่ควรจะไปให้ถึงในชีวิตนี้” แล้วตั้งสัจจะอธิษฐานที่จักประพฤติปฏิบัติกุศลธรรมต่างๆ เพื่อเป็น “เหตุ” นำไปสู่เป้าหมายของ “ผลที่ดี” ดังกล่าว ในแง่นี้ “พระพุทธเจ้าน้อย” ก็จะเป็นสัญลักษณ์ของ “การเกิดหรือการตั้งต้น” ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเตือนให้คนไทยหันมาทบทวนตัวเองแล้ว “ตั้งต้นใหม่” ในการทำสิ่งดีๆ เพื่ออนาคตของชีวิตแต่ละคน “ตั้งต้นใหม่” ในการทำสิ่งดีๆ เพื่ออนาคตของครอบครัวที่ร่มเย็นเป็นสุข สุดท้ายก็จะนำไปสู่การ “ตั้งต้นใหม่” ทำสิ่งดีๆ เพื่ออนาคตของประเทศไทย ท่ามกลางความหวาดระแวงและความขัดแย้งแตกแยกในบ้านเมืองทุกวันนี้
*************************
ข่าวโดย : ไทยรัฐออนไลน์
เรียบเรียงโดย : เต้ มงคลพระ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น