วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

จุดไฟในใจคน : โง่แต่ซื่อสัตย์

เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน ที่กำลังติดตามอ่านคอลัมน์จุดไฟในใจคนอยู่ในขณะนี้ วันนี้อาตมามีเรื่องสนุกๆมาเล่าสู่กันฟัง แต่ก็มีนัยให้แง่คิดดีๆ นำมาให้พวกเราได้อ่านเป็นอุทาหรณ์สอนใจ เพื่อความเป็นสิริมงคล “เพื่อจุดประกายประเทืองในสติปัญญา” ซึ่งอาตมาเชื่อว่าน่าจะโดนใจใครหลายคน

อาตมาตั้งชื่อเรื่องนี้ไว้ว่า “โง่แต่ซื่อสัตย์” ฟังดูแปลกดี ลองติดตามอ่านกันดู แล้วจะรู้ว่า สะท้อนทุกเหลี่ยมมุมของชีวิต?

เรื่องจริงมีอยู่ว่า อาตมามีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่ง ทำหน้าที่ขับรถให้อาตมา อยู่นานหลายปี ปัจจุบันอายุ 50 กว่าๆ เป็นคนขยันขันแข็ง ทำงานในหน้าที่ไม่ถึงกับดีเลิศ แต่ออกแนวซื่อๆ ถึงโง่เลยก็ว่าได้ เวลาอาตมาให้ขับรถไปตามงานต่างๆ ที่มีกิจนิมนต์ เขาจะไม่เคยจำเส้นทางหรือสถานที่ต่างๆได้เลย แม้แต่ที่เดียว นี่เริ่มฉายแววความจำไม่ดีให้เห็นอย่างเด่นชัดขึ้น

อาตมาต้องคอยบอกทางทุกครั้ง ถ้าไม่บอกเขาก็จะลืม แล้วก็ขับเลยไปทุกครั้ง หรือบางครั้งก็ขับหลงทางไปเรื่อยเปื่อย เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นประจำ!!! ทำให้อาตมาเกิดความรู้สึกเอือมระอา แต่ก็ต้องอดทน เพราะเขาก็ยังมีความดีแฝงอยู่ในตัวตน

นี่คือพฤติกรรมที่เขาเป็นอยู่ ซึ่งอาตมาก็พอจะเข้าใจ ในสติปัญญาที่เขามีอยู่ และตัวเขาเองก็ยอมรับอยู่เสมอว่า “ผมไม่ใช่คนฉลาด ผมทำได้แค่นี้จริงๆ” 

ในมุมมองของอาตมา ที่อยู่กับเขามานาน เห็นถึงความจริงใจ ในสัจจะธรรมที่มีความรับผิดชอบในหน้าที่ เขาเป็นคนรักการขับรถ รักรถ เช็ดรถล้างรถ ทำความสะอาดดูแลรักษารถได้เป็นอย่างดี ในจุดนี้อาตมายกย่องเขามากเป็นพิเศษ และที่ต้องยกย่องอีกอย่างหนึ่ง คือการขับรถดีมีวินัย ไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ นี่คือตัวอย่างที่ดีของคนขับรถโดยทั่วไป

มีอีกอย่างหนึ่ง ที่อาตมามีความรู้สึกว่า คนขับรถของอาตมาคนนี้มีความสมบูรณ์ในตัวตน คือความกตัญญูกตเวที ที่บ่งชี้ว่าเป็นเครื่องหมายของคนดี และควรประกอบด้วยความขยัน ความซื่อสัตย์ ความอดทน และความรู้บุญคุณคน 4 ข้อนี้มีอยู่ครบถ้วน

ปัจจุบันลูกศิษย์คนขับรถคนนี้ ได้ลาออกไปแล้ว เขาไปตามเส้นทางความฝันของเขา แต่ที่วัดของอาตมา ยังมีลูกศิษย์เข้ามาฝากตัวทำงานอีกรายหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะโง่แต่ซื่อสัตย์ เขามีชื่อเล่นว่า “หนุ่ม” เดินทางมาจากจังหวัดราชบุรี อายุ 27 ปี

เขาบอกว่าเขาติดตามอาตมาตั้งแต่สมัยเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน และทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 รายการคิดดีทำดี รายการคิดไม่ออกบอกหลวงพี่น้ำฝน เป็นต้น

จากนั้นเขาก็มาหาที่วัด บอกอยากมาอยู่ด้วย มาขอสมัครงาน ขอทำอะไรก็ได้ แล้วแต่หลวงพ่อน้ำฝนจะเมตตา อาตมาก็เลยรับเขาไว้ ให้ทำหน้าที่ล้างห้องน้ำ ห้องส้วม ซึ่งเขาก็ยินดี แรกๆเด็กคนนี้เป็นคนขยัน ตื่นแต่เช้ามืด ออกจากวัดไปบิณฑบาตกับพระทุกช้า ช่วยถือข้าวปลาอาหาร ทำหน้าที่เป็นลูกศิษย์วัด พอกลับมาถึงวัด เขาก็จะกวาดลานวัด ล้างห้องน้ำ ช่วยเหลืองานภายในวัดทุกอย่าง แต่หลังๆมานี่ เริ่มขี้เกียจ แอบอู้งาน เป็นบางครั้งบางคราว ซึ่งเราก็เข้าใจในความเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์แบบของเขา

บางทีก็ช่วยงานที่กุฏิอาตมา ซึ่งต้องยอมรับว่า มีของมีค่ามากมายพอสมควร แต่นายหนุ่มคนนี้ ก็แสดงให้เห็นถึงความไม่โลภมาก ไม่ลักเล็กขโมยน้อย ให้หยิบเงินหยิบทอง ก็ไม่ต้องห่วงว่าเขาหยิบฉวยเอาไป เขาแสดงความซื่อสัตย์ให้เห็น จนเป็นที่ไว้วางใจได้ และที่สำคัญเขามีความกตัญญูกตเวทีสูงมาก เงินเดือนที่ได้ส่วนหนึ่งให้พ่อ เพราะแม่เขาเสียไปแล้ว และอีกส่วนอาตมาให้เขาเปิดบัญชีธนาคาร ฝากไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน และอาตมาได้ทำประกันสังคมไว้ให้เขาอีกด้วย

ส่วนจุดอ่อนนั้น มีบางสิ่งบางอย่างที่ฟ้องถึงความไม่เฉลียวฉลาดของเขา ซึ่งบางครั้ง ยังมีเรื่องของความขี้เกียจเข้ามาเกี่ยวข้อง มีอู้งานบ้าง ซึ่งก็อะลุ่มอล่วยกันไป เพราะเด็กที่มาทำงานอยู่ในวัดไผ่ล้อม และมูลนิธิหลวงพ่อพูล ทุกคน ล้วนมาจากร้อยพ่อพันแม่ อาตมาก็ต้องมานั่งอบรมสั่งสอน บางคนทำตัวเหมือนคอมพิวเตอร์ ต้องคอยป้อนข้อมูล Update อยู่ตลอด เวลาใช้งานก็ต้องกด Enter เป็นอย่างนี้อยู่หลายคน คือหัวสมองเขาไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น และคงไปทำงานที่ไหนไม่ได้จริงๆ อาตมาก็ต้องรับไว้ดูแล บางคนก็ต้องคอยถามพ่อแม่ที่นำมาฝาก ว่ามีโรคภัยไข้เจ็บอะไรหรือไม่ ถ้ามีก็ให้เอายามาด้วย และถ้ายาหมดต้องไปหาหมอ วันเวลาไหนต้องแจ้งมาให้ทราบด้วย

เด็กทั้งหมดนี้ มีจุดเด่นคือ ความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งถือเป็นความโชคดีของพวกเขา ที่เบื้องบนยังเมตตา ให้ความเป็นคน “คิดดี ทำดี” เป็นของขวัญให้พวกเขาติดกายมา แต่เรื่องความโง่นั้น ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ สอนสั่งกันได้ ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เพราะไม่มีพิษมีภัยอะไร??? แค่คอยระวังเรื่องความขี้เกียจเท่านั้น

ทุกวันนี้หลายคนมีความรู้ความสามารถ ทางมูลนิธิหลวงพ่อพูล มีเจ้าหน้าที่รุ่นพี่คอยสอนให้วิชาความรู้ เรื่องการซ่อมคอมพิวเตอร์ สอนเล่นดนตรี สอนมิกเซอร์ สอนเรื่องการใช้เครื่องเสียง ฝึกจากการเป็นเด็กคอนวอย ฝึกล้างรถ ดูแลซ่อมรถเบื้องต้น เรียนเป็นช่างไฟฟ้า ช่างไม้ พนักงานขับรถ เป็นต้น

ทุกคนที่มาอยู่วัดไผ่ล้อม ภายใต้มูลนิธิหลวงพ่อพูล ถ้าผ่านสถานที่แห่งนี้ไปได้แล้ว ทุกคนมีวิชาความรู้ติดตัวไปทุกคน สามารถนำไปประกอบอาชีพได้อย่างบริบูรณ์ ประสบความสำเร็จในชีวิตไปแล้วก็มากมายหลายคน ส่วนใหญ่ที่มาอยู่วัดไผ่ล้อม ไม่มีใครอยากออกไปอยู่ที่อื่น นอกจากมีความจำเป็นจริงๆ บางคนเข้าซึ้งถึงรสพระธรรม ขอบวชเรียนเป็นพระเป็นเณร จำพรรษาอยู่วัดไผ่ล้อมก็หลายรูปเช่นเดียวกัน

นี่คือความสำเร็จที่มูลนิธิหลวงพ่อพูล ซึ่งมีบุคลากรหลายฝ่าย เสียสละอุทิศตนเข้ามาทำงาน ทุกคนล้วนมีจุดเด่นโดยเฉพาะความซื่อสัตย์ ขยัน อดทน และรู้บุญคุณคน รวมไปถึงการรู้เท่าทัน ลดละ ต่อความโลภ ความโกธร และความหลง เพราะสุดท้ายทุกคนล้วนหนีไม่พ้น การเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างแน่นอน อาตมามักจะสอนเสมอให้เด็กๆ เหล่านี้พึงสังวร เพราะถึงพวกเขาจะโง่อย่างไร ถ้าซื่อสัตย์แล้วไซร้ย่อมดีกว่า ฉลาดแล้วโกง

“คนโง่แต่ซื่อสัตย์” ถ้าขี้เกียจ ไม่มีความรับชอบ ชีวิตก็คงไม่เจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน... ขอเจริญพร

*************************




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น