1 เข้าตามวาระอันควร ตามสังขารและอายุขัย ซึ่งทุกคนต้องได้เข้าแน่นอน ถ้าวันนั้นมาถึง
2 เข้าเพราะการไม่รู้จักดูแลตัวเอง เพราะคิดว่า แข็งแรงอยู่ตลอดเวลา
ชีวิตเกิดมาไม่ว่าจะยาก ดี มี จน หรือรวยล้นฟ้า แต่ถ้าไม่ดูแลเอาใจใส่ตัวเองแล้วไซร้ ร่างกายย่อมทรุดโทรมทันตาเห็น ฉะนั้นจึงควรตระหนักสำนึกคิดอยู่เสมอว่า สุขภาพร่างกาย เป็นเรื่องใกล้ตัว ล้วนมีผลต่อบั้นปลายชีวิต และทุกคนล้วนต้องไปรวมมิตรอยู่ที่ห้องไอซียู แทบทั้งสิ้น!!!
หากย้อนกลับไปดูในสมัยปู่ ย่า ตา ยาย ของเรานั้น สถิติการเสียชีวิตจากโรคต่างๆ มีน้อยมาก ถ้าเทียบกับยุคปัจจุบัน มูลเหตุมาจากการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน ทั้งการกิน การอยู่ รวมถึงการใช้ชีวิต ซึ่งในอดีตไม่เหมือนยุคปัจจุบัน ยกตัวอย่างปัจจุบันมีการใช้สีผสมอาหาร ยาฆ่าแมลง ใส่สารกันบูด และสารเคมี ซึ่งมีพิษร้ายต่างๆนานา ทำให้เกิดอันตราย หรือที่เราเรียกกันว่า ตายผ่อนส่ง
ปัจจุบันลูกเด็ก เล็กแดง แทบจะไม่เคย เห็นหน้า ปู่ ย่า ตา ยาย เพราะต่างเสียชีวิตก่อนวัยอันควรแทบทั้งสิ้น แต่สำหรับประเด็นนี้ กลับเป็นสิ่งที่น้อยคนจะคิดได้ มักคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่มีทางเกิดขึ้นกับตัวเอง ซึ่งจากความคิดเหล่านี้ เป็นผลให้ห้องไอซียู ของโรงพยาบาลทุกที่จึงเต็มตลอด ต้องเล่นเส้นเล่นสายวิ่งเต้นแย่งกันเข้า เพื่อความอยู่รอด เสมือนหนึ่งเป็นห้องสูท ห้องสวีท ของโรงแรมระดับห้าดาว ที่ทุกคนอยากให้ญาติพี่น้องที่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วยร่อแร่ใกล้ตายมาใช้บริการ ต่างโหยหาที่จะให้ญาติพี่น้องของตนเข้าไปนอนพักรักษาตัว
จริงๆแล้วห้องไอซียู ไม่ใช่ห้องแห่งความสุข เป็นห้องแห่งความทุกข์ เพราะมันคือห้องแห่งการเปลี่ยนอนาคตของทุกคนที่ได้เข้าไปอยู่ ซึ่งมีทางเลือกสองทางเท่านั้นคือเป็นกับตาย
สำหรับพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล ท่านคือตัวอย่างของการเข้าห้องไอซียู ตามวัยและสังขารที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลา อารมณ์แห่งความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานของหลวงพ่อ อาตมาในฐานะผู้ดูแลท่าน มีความรู้สึกเช่นเดียวกับท่านตลอดเวลา
อาตมาเห็นมาทั้งหมด สัมผัสอยู่ในห้องไอซียู เห็นทุกขณะของความเคลื่อนไหวตลอดทั้งร่างกาย อารมณ์ แววตา ความรู้สึก ท่านเจ็บปวดเราก็เจ็บปวดไม่แพ้ท่าน นับเป็นประสบการณ์ตรงที่อาตมาสัมผัส และนำมาถ่ายทอดเล่าสู่กันฟังให้โยมได้รับรู้ถึงความรู้สึกตรงนั้น ห้วงเวลาแห่งความสำคัญที่จดจำไม่เคยลืมเลือน คือวินาทีแห่งความสูญเสีย ผู้ที่เรารักเคารพนับถือศรัทธาสูงสุดในชีวิต ต้องมีอันดับนิ่งไป หัวใจแทบจะดับนิ่งตามท่านไปด้วย มันเหมือนจะหยุดหายใจตามท่านไป แข้งขามือไม้อ่อนไปหมด สมองเย็นชา อารมณ์สงบนิ่ง ตื่นเต้น ตื้นตันใจ ทำอะไรไม่ถูก พะอืดพะอม กลืนไม่เข้าคายไม่ออก มึนตึ้บไปหมดทั้งหัวสมอง ช่วงนั้นในใจคิดอยู่ตลอดเวลาว่า “เราทำดีที่สุดแล้ว”
ชีวิตเกิดมาไม่ว่าจะยาก ดี มี จน หรือรวยล้นฟ้า แต่ถ้าไม่ดูแลเอาใจใส่ตัวเองแล้วไซร้ ร่างกายย่อมทรุดโทรมทันตาเห็น ฉะนั้นจึงควรตระหนักสำนึกคิดอยู่เสมอว่า สุขภาพร่างกาย เป็นเรื่องใกล้ตัว ล้วนมีผลต่อบั้นปลายชีวิต และทุกคนล้วนต้องไปรวมมิตรอยู่ที่ห้องไอซียู แทบทั้งสิ้น!!!
หากย้อนกลับไปดูในสมัยปู่ ย่า ตา ยาย ของเรานั้น สถิติการเสียชีวิตจากโรคต่างๆ มีน้อยมาก ถ้าเทียบกับยุคปัจจุบัน มูลเหตุมาจากการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน ทั้งการกิน การอยู่ รวมถึงการใช้ชีวิต ซึ่งในอดีตไม่เหมือนยุคปัจจุบัน ยกตัวอย่างปัจจุบันมีการใช้สีผสมอาหาร ยาฆ่าแมลง ใส่สารกันบูด และสารเคมี ซึ่งมีพิษร้ายต่างๆนานา ทำให้เกิดอันตราย หรือที่เราเรียกกันว่า ตายผ่อนส่ง
ปัจจุบันลูกเด็ก เล็กแดง แทบจะไม่เคย เห็นหน้า ปู่ ย่า ตา ยาย เพราะต่างเสียชีวิตก่อนวัยอันควรแทบทั้งสิ้น แต่สำหรับประเด็นนี้ กลับเป็นสิ่งที่น้อยคนจะคิดได้ มักคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่มีทางเกิดขึ้นกับตัวเอง ซึ่งจากความคิดเหล่านี้ เป็นผลให้ห้องไอซียู ของโรงพยาบาลทุกที่จึงเต็มตลอด ต้องเล่นเส้นเล่นสายวิ่งเต้นแย่งกันเข้า เพื่อความอยู่รอด เสมือนหนึ่งเป็นห้องสูท ห้องสวีท ของโรงแรมระดับห้าดาว ที่ทุกคนอยากให้ญาติพี่น้องที่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วยร่อแร่ใกล้ตายมาใช้บริการ ต่างโหยหาที่จะให้ญาติพี่น้องของตนเข้าไปนอนพักรักษาตัว
จริงๆแล้วห้องไอซียู ไม่ใช่ห้องแห่งความสุข เป็นห้องแห่งความทุกข์ เพราะมันคือห้องแห่งการเปลี่ยนอนาคตของทุกคนที่ได้เข้าไปอยู่ ซึ่งมีทางเลือกสองทางเท่านั้นคือเป็นกับตาย
สำหรับพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล ท่านคือตัวอย่างของการเข้าห้องไอซียู ตามวัยและสังขารที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลา อารมณ์แห่งความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานของหลวงพ่อ อาตมาในฐานะผู้ดูแลท่าน มีความรู้สึกเช่นเดียวกับท่านตลอดเวลา
อาตมาเห็นมาทั้งหมด สัมผัสอยู่ในห้องไอซียู เห็นทุกขณะของความเคลื่อนไหวตลอดทั้งร่างกาย อารมณ์ แววตา ความรู้สึก ท่านเจ็บปวดเราก็เจ็บปวดไม่แพ้ท่าน นับเป็นประสบการณ์ตรงที่อาตมาสัมผัส และนำมาถ่ายทอดเล่าสู่กันฟังให้โยมได้รับรู้ถึงความรู้สึกตรงนั้น ห้วงเวลาแห่งความสำคัญที่จดจำไม่เคยลืมเลือน คือวินาทีแห่งความสูญเสีย ผู้ที่เรารักเคารพนับถือศรัทธาสูงสุดในชีวิต ต้องมีอันดับนิ่งไป หัวใจแทบจะดับนิ่งตามท่านไปด้วย มันเหมือนจะหยุดหายใจตามท่านไป แข้งขามือไม้อ่อนไปหมด สมองเย็นชา อารมณ์สงบนิ่ง ตื่นเต้น ตื้นตันใจ ทำอะไรไม่ถูก พะอืดพะอม กลืนไม่เข้าคายไม่ออก มึนตึ้บไปหมดทั้งหัวสมอง ช่วงนั้นในใจคิดอยู่ตลอดเวลาว่า “เราทำดีที่สุดแล้ว”
และแม้อนาคตจะเป็นสิ่งที่ทุกคนกำหนดไม่ได้ แต่ถ้าตั้งตนอยู่ด้วยความไม่ประมาทแล้วไซร้ ย่อมถึงพร้อมไปด้วยความสุข สำคัญสิ่งที่ควรประพฤติปฏิบัติคือ ควรรู้จักดูแลรักษาสุขภาพของตัวเอง สม่ำเสมอ ถ้าทำได้เฉกเช่นนี้ ก็จะดำเนินชีวิตได้โดยไม่ต้องเข้าห้องเปลี่ยนอนาคต แม้จะเป็นห้องช่วยชีวิต แต่ถ้าให้เลือก ไม่มีใครอยากเข้าแน่นอน
สำหรับการเข้าห้องไอซียู ตามสังขาร คนเราแม้จะรักษาสุขภาพให้ดีอย่างไร แต่ถ้าสังขารซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง มีอันต้องโรยราตามวัย เป็นสิ่งที่ทุกคนควรตระหนัก อย่าได้ยึดติดกับสังขาร แม้จะมีเงิน ร่ำรวย ล้นฟ้า แต่ไม่อาจยึดมั่นถือมั่น ในสังขาร เมื่อถึงเวลา ต้องทำใจ เพราะไม่สามารถกำหนดชะตา ฟ้าลิขิตได้ ทุกอย่าง เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับลง เพียงแต่ว่า จะถึงคราวของใครก่อน ถ้าเรามีสติในการใช้ชีวิต ตั้งตนอยู่ด้วยความไม่ประมาท ไม่ยึดมั่นถือมั่นในทุกสิ่ง ก็จะทำให้จากไป แบบมีคนจดจำในความดี ความมีเมตตา ถึงแม้ห้องไอซียูจะมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่ดีเลิศ มีแพทย์เก่ง แต่เมื่อถึงเวลาก็ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้
สิ่งที่ต้องคิดก็คือ “ปลง” ต้องปลงให้ได้ กับทุกสถานการณ์ คิดไว้ว่าทุกคนเกิดมาก็ต้อง “ตาย” เหมือนกันทุกคน ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้แน่นอน
หากแต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ที่เราสามารถจะรักษาได้ ให้คงอยู่แบบตลอดกาลก็คือ การทำจิตใจ ให้เข้มแข็งและแจ่มใส ซึ่งหมายความถึง การสร้างความดี การรักษาความดี การมองโลกในแง่ดี มีเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แม้ร่างกายจะร่วงโรย และดับลงในที่สุด แต่ความดี ไม่ได้ ดับลงไปด้วย
เพราะฉะนั้น เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ ต้องพึงสร้างกรรมดีเอาไว้ให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้เพราะ ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอาเอง และขอให้ทุกคนพึงระลึกไว้อยู่เสมอว่า ห้องไอซียู ที่เข้าตามวาระ เฉกเช่น พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลนั้น คือท่านเข้าตามวาระแห่งอายุขัย ที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลา และถ้าไม่อยากเข้าห้องนี้ก่อนวัยอันควร ต้องรีบไปตรวจเช็คอย่างน้อยปีละครั้งก็ยังดี และขอให้ยึดหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า “อโรคยา ปรมาลาภา” ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ
ซึ่งจะทำให้พวกเราทุกคนมีสุขภาพที่ดี เฉกเช่น คำเตือนที่ว่า “กันไว้ดีกว่าแก้ แย่แล้วจะแก้ไม่ทัน” และขอให้ทุกคนควรใช้วิจารณญาณ ถ้าคิดว่าดีและเห็นสมควรนำไปประพฤติปฏิบัติ ตั้งสติ เตือนใจ ก็จะเป็นประโยชน์และส่งผลดีเป็นที่สุดแก่ตัวเราเองอย่างแน่นอน... ขอเจริญพร
*************************
เรื่องโดย : พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน)
เรียบเรียงโดย : บก.ไก่ วีรพล และทีมงานมงคลพระ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น