วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

จุดไฟในใจคน : อิจฉาริษยา

มนุษย์ ล้วนมีความอิจฉาริษยา สะสมอยู่ในใจแต่จะน้อยหรือมากนั้น ขึ้นอยู่กับสติปัญญา สิ่งที่เป็นสัจจธรรม ก็คือมนุษย์มีความอิจฉาริษยาทุกคน เมื่อแสดงออกบ่อย ๆ ก็เข้าข่ายเป็นนิสัยสันดาน อิจฉา เป็นความรู้สึกที่ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี กลัวดีเด่นเกินหน้า หรือเท่ากับตนจึงทนไม่ได้ ริษยา เป็นนิสัยที่เวลาเห็นคนอื่นได้ดีแล้วทนไม่ได้ เกิดลักษณะ อาฆาต คิดแค้น เพราะไม่อยากให้ใครได้ดี และมักใช้คำสองคำนี้รวมกัน คือ อิจฉาริษยา

ลักษณะของความอิจฉาริษยาในชีวิตประจำวันมีมากมาย เช่น เพื่อนอิจฉาเพื่อน ได้ข่าวว่าเพื่อนปลูกบ้านใหม่ เมื่อไปเห็นแล้วว่าบ้านเพื่อนสวยงาม เกิดความอิจฉาริษยาว่าทำไมเขามีบ้านสวยงามกว่าบ้านตน ทนไม่ได้ จะไม่ยอมไปบ้านเพื่อนอีกเลย และหาทางว่าเขาไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้

พี่น้องอิจฉากัน ถ้าพ่อแม่เลี้ยงดูไม่ดีมีอคติ ลำเอียงให้เห็น จะทำให้ลูกกลายเป็นคนมีลักษณะขี้อิจฉาทันที

คนที่มีนิสัยขี้อิจฉาริษยามีมากขึ้น ปัจจุบันในสังคมทุกวันนี้ ใครที่ทำความดีถูกชมเชยมากๆก็ถูกอิจฉาและหมั่นไส้ได้ง่าย บางคนเห็นเพื่อนได้ดี ถูกชมเชยมากๆ เลยเลิกคบเพื่อนไปเลยก็มี

ความอิจฉาริษยาเป็นเรื่องของความก้าวร้าว สันดานดิบ ที่ทำให้มนุษย์อยู่รวมกันได้ยาก ซึ่งตรงข้ามกับคุณธรรม ที่ทําให้มนุษย์อยู่รวมกันได้ดี คือความรัก ความเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ซึ่งนับวันจะไม่มีคนสั่งสอน และคนมักจะไม่สนใจทำตาม

ทำให้ทุกวันนี้เราต้องอยู่ในสังคมของคนที่มีนิสัยอิจฉาริษยามากขึ้น ทั้งมนุษย์ปุถุชนทั่วไปหรือแม้นักบวชก็ยังมี เฉกเช่นอารมณ์ต่างๆเหล่านี้

" น่าอิจฉาจังเลยนะ...คนอะไรก็ไม่รู้เกิดมาสวยก็สวย รวยก็รวย "

" คนอะไรทำไมโชคดีอย่างเนี้ย ได้ขึ้นเงินเดือนแถมยังได้เลื่อนตำแหน่งอีกต่างหาก น่าอิจฉาจัง "

ประโยคเหล่านี้ เราคงจะได้ยินกันบ่อย ๆ ในแต่ละวัน บางครั้งตัวเราเองเสียด้วยซ้ำที่พูด มีความรู้สึกอิจฉาต่อผู้อื่น บ่อยครั้งที่หลายคนรู้สึกอิจฉาวูบขึ้นมา เมื่อมีเพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้องทำบางสิ่งบางอย่างสำเร็จ

ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากประสบความสำเร็จแบบผู้อื่น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความอิจฉาทั้งสิ้น ความรู้สึกนี้ถ้าเกิดขึ้นกับใคร จะทำให้รู้จิตใจไม่เป็นสุข ไม่สบายใจ ร้อนรุ่ม อาจทำให้ความสัมพันธ์ หรือความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้ต้องมีอันเป็นไป ในบางครั้งความอิจฉาเกิดขึ้นชั่วครู่ชั่วยาม แล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ในบางครั้งอยู่กับตัวเรายาวนาน สลัดเท่าไหร่ไม่หลุดซักที เหมือนกับการที่เข้าไปติดกับสัตว์ร้าย ยากที่จะหนีรอดออกมาได้


ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรได้มาฟรี เมื่อได้ มาก็ต้องเสียบางอย่างไป เพื่อแลกเปลี่ยนกัน อย่างเช่น เพื่อนได้เงินเดือนขึ้น เนื่องจากทำงานเกินเวลาแทบทุกวัน จนเป็นที่อิจฉา แต่อย่าลืมว่า เขาก็จะมีเวลาในการพักผ่อนหลังเลิกงานน้อยลง ในขณะที่คุณอาจใช้เวลาตรงนี้ เพื่อทำสิ่งต่าง ๆ ได้ จงตระหนักว่าความสำเร็จยังคงรอคอยคุณอยู่ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราอิจฉาในความสำเร็จของใครสักคน อาจเป็นเพราะคุณรู้สึกว่าถูกแย่งชิงโอกาสนั้นไป ในทางกลับกัน เมื่อคนอื่นประสบความสำเร็จ ทำให้รู้สึกว่าตัวเอง ได้พลาดโอกาสดี ๆ ไป รู้สึกว่าโดนทอดทิ้ง โอกาสที่จะได้ขึ้นเงินเดือนอาจหมดไป แต่อย่าลืมว่าโอกาสไม่ได้มีเพียงแค่ครั้งเดียว ในชีวิตการทำงาน ควรพอใจในสิ่งที่ตนเป็น เพราะสิ่งที่เป็นหรือมีอยู่ อาจจะเป็นที่อิจฉาของผู้อื่น โดยที่อาจจะไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยก็เป็นได้ เพื่อนของคุณอาจจะทำงานเกินเวลาไป พร้อมกับแอบอิจฉาคุณอยู่ในใจ ที่คุณได้กลับบ้าน ไปดูหนัง พักผ่อน ในขณะที่เขายังต้องทำงานอยู่เลย

เมื่อความอิจฉาแปรเปลี่ยนเป็นยาชูกำลังสำหรับชีวิต ความอิจฉาจึงไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเสมอไป คุณจะต้องรู้จักวิธีการควบคุม และนำไปใช้กับชีวิตของคุณเองให้เหมาะสม ทำอย่างไรจึงจะทำให้ความอิจฉามีประโยชน์ และเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิต

ต้องรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของความอิจฉาซึ่งเป็นความรู้สึกปกติของคนทุกคนที่เกิดขึ้นได้ แต่แทนที่จะมานั่งทุกข์ใจ แค้นใจ คุณควรที่จะลองค้นหาดูสิว่า ที่แท้จริงแล้วนั้นคุณต้องการอะไรกันแน่ คุณรู้สึกอิจฉาผู้อื่นเพราะอะไร และจะเป็นการดีถ้าคุณจะมองข้ามมันไปซะ ไม่ไปกลัดกลุ้มและกังวลใจกับมันอีก ซึ่งนั่นจะทำให้คุณรู้สึกสบายใจขึ้น แปรเปลี่ยนให้เป็นพลัง เป็นการยากที่คนเราจะสามารถเอาชนะความอิจฉา ได้ด้วยตัวเราเอง และมองข้ามมันไป อย่างไรก็ตามจงแปรเปลี่ยนความอิจฉา ให้กลายเป็นพลังผลักดันให้มีกำลังใจในการต่อสู้ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายหรือความสำเร็จที่ต้องการ ยิ่งคุณให้ความสนใจกับเป้าหมายของตัวคุณเองมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้คุณกำจัดความอิจฉาออกไปได้เร็วขึ้นเท่านั้น

หลากหลายในความคิด คนเราแต่ละคนต่างให้คำจำกัดความ ของความสุขแตกต่างกันไป

บางคนอาจหมายถึงการมีเงินทอง บางคนอาจจะเป็นความสวยงามยิ่งสวยยิ่งมีความสุข หรือบางคนอาจจะอยู่ที่ความสำเร็จในชีวิต หลายคนตั้งเป้าหมาย และมุ่งที่จะประสบความสำเร็จ ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว จึงทำให้รู้สึกผิดหวังเมื่อมันไม่สมบูรณ์แบบ หรือรู้สึกเสียใจอย่างรุนแรง เมื่อพบว่ามีผู้อื่นได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ เราจึงควรมองโลกให้กว้าง สร้างความหลากหลายในความคิด และในเป้าหมายของความสำเร็จ ไม่ใช่ว่าจะมองเพียงจุดใดจุดหนึ่งเท่านั้น

ในชีวิตของคนเราสามารถพบความสำเร็จได้หลายทาง ไม่จำเป็นที่จะต้องไปอิจฉาความสำเร็จของใคร ความอิจฉาเป็นสิ่งที่มีทั้งคุณและโทษในตัวของมันเอง ถ้ารู้จักใช้ก็จะกลายเป็นแรงสนับสนุน และสร้างกำลังใจที่ดี ในการดำเนินชีวิตทางหนึ่งเช่นกัน

ความอิจฉานั้นเกิดขึ้นได้ชัดเจนทั้งทางสีหน้าอารมณ์และคำพูด โดยมันจะผุดขึ้นทันทีด้วยอาการ เมื่อมองเห็นคนที่ร่ำรวยกว่า หรือมั่งมีทรัพย์มากกว่า

จิตจะเริ่ม “เกิดความคิด” ตั้งคำถามว่าทำไมเขาจึงมีมากกว่าเรา ทำไมเราจึงมีน้อยกว่าเขา เกิดอาการเปรียบเทียบ เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เกิดความไม่พอใจและออกอาการแค้นเคือง มีความรู้สึกตำหนิติเตียนตนเองที่ไม่มีความสามารถพอ แล้วก็โทษเวรกรรม โทษวาสนา โทษโคตรเหง้าวงตระกูลที่ไม่ยอมสร้างสะสมไว้ ทำให้ตนต้องมามีน้อยกว่าคนอื่นๆ ในวันนี้

ความอิจฉาริษยาสามารถสร้างแรงบันดาลใจทางโทสะได้ ส่งเสริมให้เกิดการประชดประชันถากถางด่าทอได้ในที่สุด และ ความอิจฉาทำให้คนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้และบางครั้งก็ถึงแก่การขาดสตินั่นเอง!! ขอเจริญพร

*************************







  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น