วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2556

จุดไฟในใจคน : เกิดแก่เจ็บตาย


ความจริงที่ทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ชีวิตคนเรามีความสัมพันธ์กับ 4 ข้อนี้อย่างต่อเนื่องตามลำดับ เริ่มจากเกิด แล้วก็แก่ จากนั้นก็เจ็บ สุดท้ายก็ตายในที่สุด ทั้ง 4 ข้อนี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เป็นกฎธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งทุกคนที่เกิดมาในโลกใบนี้ ต้องได้สัมผัสเรียนรู้ และมีจิตสำนึกตระหนักถึงความสำคัญในความจริงของแต่ละประเด็นนี้

ที่สำคัญต้องไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต พยายามเรียนรู้ค้นหาความจริงให้ถึงแก่นแท้ของสัจจะธรรม ถ้ารู้ซึ้งและปฏิบัติตามทำนองคลองธรรม ก็จะส่งผลทำให้บั้นปลายชีวิต มีแต่ความสุข ความสบายใจ มีความเจริญรุ่งเรือง และเป็นแบบอย่างที่ดีของคนรุ่นต่อไป

เกิดมาชาติหนึ่งก่อนตายควรมุ่งมั่นทำความดี อันประกอบด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ ขยันหมั่นเพียร มานะอดทน วางแผนชีวิตด้วยความรอบคอบ รู้จักประมาณตน อ่อนน้อมถ่อมตน กตัญญูมีเมตตา รู้จักให้อภัย และพยายามรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดูแลตรวจสอบเช็คสภาพร่างกาย ไปพบแพทย์เป็นประจำ รับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ทำบุญสุนทาน นั่งสมาธิเจริญจิตภาวนา ทำได้เช่นนี้ชีวิตจะมีแต่ความสุข

คนเราเมื่อสุขภาพดี การงานก็ดีตามไปด้วย เพราะสมองแจ่มใส มีสมาธิสมบูรณ์ ร่างกายแข็งแรง สติปัญญาโล่งโปร่งใส คิดอ่านอะไรมีแต่เรื่องดีงาม สร้างสรรค์จรรโลงใจตลอดเวลา ทั้งหมดนี้คือ พื้นฐานชีวิต ที่ดำเนินภายใต้กฎเกณฑ์แห่งสัจจะธรรม อันก่อเกิดขึ้นด้วย สายพานแห่งชีวิตที่ลิขิตให้ต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย

วันเวลาทำให้หลายคนเปลี่ยน โดยเฉพาะร่างกาย ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากเต่งตรึงก็กลายเป็นเหี่ยวย่น สำคัญที่ต้องปลงให้ได้ ทำใจพร้อมรับสภาพการเปลี่ยนแปลง คิดเสียว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอและสัมผัส ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ

จิตใจและร่างกายสำคัญที่สุดสำหรับคนแก่ คนเฒ่า คนชรา มีความจำเป็นต้องถนอมไว้ ความแก่มาพร้อมกับอาการ เจ็บป่วย พอแก่แล้วก็ต้องเจ็บ เพราะการเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นเรื่องธรรมดา ร่างกายคนก็เหมือนกับรถยนต์ ใช้ทุกวัน ขับทุกวัน กระแทกกระทั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมานานหลายปี โชกโชนสมบุกสมบัน ลุยงานมาทุกรูปแบบ พอถึงเวลาถ้าทรุดหรือชำรุดก็ถือว่าไม่ผิดปกติแน่นอน เพราะไม่มีใครไม่เจ็บ และไม่มีใครอยากเจ็บ ทุกคนกลัวความเจ็บป่วย กลัวหมอ กลัวพยาบาล กลัวต้องเข้าโรงพยาบาล กลัวห้องไอ ซี ยู แม้จะมีเงินล้นฟ้า แต่ไม่อาจจะยึดมั่นในสังขารได้ เมื่อมันถึงเวลา เพราะเราไม่สามารถกำหนดชะตา ฟ้าลิขิตได้ แม้ว่าร่างกายจะร่วงโรยและดับลงในที่สุด แต่ความดี ไม่ได้ ดับลงไปด้วย เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ต้องพึงสร้างกรรมดีเอาไว้ให้มากที่สุด เพราะ ความดี ไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง


เมื่อความเจ็บได้ที่ อิ่มตัว สุดท้ายความตายก็มาเยือน และพึงสอนตัวเองไว้เสมอว่าทุกคนต้องตาย ต้องพึงสังวร ต้องเตือนตอกย้ำตัวเองว่า ถึงวันหนึ่งเราก็ต้องตายเช่นกัน

ความตายมีหลายรูปแบบ คนทำดีก็ตายดี คนทำชั่วก็ต้องตาย แต่สำหรับคนที่ทำความดีนั้น เมื่อตายแล้ว จะได้รับการชื่นชม สรรเสริญ ยกย่อง มีคนร้องไห้เสียใจมากมายกับการตายจากไป เมื่อคนดีตาย โลกก็จารึก บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ เล่าขานไม่รู้จบถึงความดี พูดถึงทีไรก็มีแต่ความสุขใจ มีแต่ความปิติยินดีกับสิ่งที่ทำไว้ ผลงานเป็นที่ประจักษ์ คนข้างหลังสามารถดำเนินรอยตามอย่างมีความสุข

สำหรับคนที่ชอบทำเลวทำชั่ว ก็ต้องตายแบบทุกข์ทรมาน เจ็บปวดแสนสาหัส ลำบากยากแค้น ตามกรรมที่สร้างไว้ ต้องอับอายขายขี้หน้า กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่ง พาดหัวบอกกล่าว แฉถึงความเลวทรามต่ำช้า

นี่ขนาดตายแล้วยังถูกประณาม เพราะความชั่วความเลวที่สะสมไว้ นับเป็นการตายที่ไม่มีใครอยากได้ เพราะญาติมิตรก็มีแต่ความอับอายขายขี้หน้า ชาวบ้านกร่นด่าสาปแช่ง เป็นการตายที่ทิ้งความชั่วความทุกข์ไว้ให้คนข้างหลัง

ที่สุดแห่งชีวิต นับเป็นกงล้อแห่งกรรมที่ต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย และสุดท้ายก็ต้องมารวมมิตรกันอยู่ที่เมรุหรือฌาปนสถาน ปลายทางสุดท้าย ที่หลายคนไม่พึงปรารถนา ภาพของญาติพี่น้องที่มารวมตัวกัน รดน้ำศพ ส่งเสียงร้องไห้ระงม เสียงพระสงฆ์สวดพระอภิธรรมศพสำเนียงวิเวกวังเวง ฟังแล้วโหยหวนน่ากลัว ชวนขนหัวลุก และวันสุดท้ายก่อนที่จะนำร่างที่อยู่ในโลงขึ้นสู่เมรุ เสียงพระสงฆ์แสดงธรรมเทศนา ญาติพี่น้องร่วมฟังด้วยใจอาลัยสงบ พระสงฆ์สวดมาติกา บังสกุล สับปะเร่อยกขึ้นสู่เตาเผา เพื่อเตรียมฌาปนกิจ ญาติพี่น้องร่วมกันประชุมเพลิง ณ ฌาปนสถาน

ดอกไม้จันทน์ ถูกไฟจุดเผา ดอกแล้วดอกเล่า ถูกจับวางลงข้างโลง เปลวไฟลุกโชติช่วง เป็นภาพแห่งความเศร้า ที่ติดตราตรึงใจ ญาติพี่น้องกอดคอร่ำไห้ อาลัยครั้งสุดท้าย นับเป็นภาพสะท้อนชีวิต ที่ทุกคนไม่สามารถหลีกพ้นบ่วงกรรมนี้ไปได้ แม้แต่คนเดียว จะให้ยิ่งใหญ่ร่ำรวยล้นฟ้าขนาดไหน ไม่มีใครพรากชีวิตเราไปจากมัจจุราช

เปลวไอความร้อนพวยพุ่งสู่อากาศ แม้ปัจจุบันจะเป็นเมรุไร้มลพิษ แต่ภาพของวิญญาณที่ผุดออกจากปล่องไฟ สะท้อนความนัยไว้หลายอย่างมากมาย ทำให้หวนคิดระลึกถึงเงาอดีตต่างๆมากมายที่ได้ร่วมสร้างกันไว้ทั้งความดีและความเลว เป็นเปลวแห่งจิตสำนึกที่ทำให้ปลงสังเวชในร่างกายที่ไม่จีรัง กลายเป็นเถ้าถ่าน เหลือเพียงกระดูกเท่านั้นที่เป็นเครื่องยืนยันว่าเคยเป็นคน!?!

“ประชุมเพลิง ประชุมความเศร้า ประชุมเพื่อไว้อาลัย กับครั้งสุดท้ายแห่งการมีร่างกาย” ขอเจริญพร

*************************





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น