การนินทามีอยู่ 2 แบบ ด้วยกันคือ การนินทาแบบสร้างสรรค์ กับนินทาแบบใส่ร้ายป้ายสี
สำหรับการนินทาแบบสร้างสรรค์นั้น ถือว่ามีประโยชน์ เสมือนหนึ่งเป็นคำชม แต่ไม่ได้ไปพูดไปบอกแบบตรงๆ พูดกันในหมู่เพื่อนฝูง เป็นการสรรเสริญในแง่มุมที่ดี มีสาระ ใครได้ฟังได้ยินแล้ว รู้สึกชื่นใจ ทำให้มีความสุข
ยกตัวอย่างเช่น “ผู้ชายคนนี้นิสัยดีจริงๆ ชอบช่วยเหลือคน ทำอะไรก็ไม่หวังผลตอบแทน เป็นคนดีที่น่ายกย่อง ขยันทำงานทั้งต่อหน้าและลับหลัง
“ดูยัยคนนี้สิ สวยจริงๆ แก้มนี่ใสนิ้ง หุ่นดี้ดี น่าให้ไปเป็นดารา”
นี่คือตัวอย่างของการนินทาแบบสร้างสรรค์ ที่ไม่จำเป็นต้องนินทาลับหลัง นี่ถ้าเจ้าตัวได้ยินต่อหน้า ก็คงหน้าบาน เป็นจานเชิงอย่างแน่นอน
ส่วนนินทาแบบให้ร้ายป้ายสีนั้น ล้วนเกิดจากความอิจฉาริษยาตาร้อนนั่นเอง!!! มีสาเหตุมาจาก เมื่อเห็นคนอื่นเขาทำดี ก็เกิดอาการอิจฉา ยกตัวอย่าง “อาตมาก็ถูกนินทาให้ร้ายป้ายสีอยู่เป็นประจำ บ้างก็ว่าร่ำรวย มีเงินมีทองมากมายเป็นร้อยล้าน มีบ้านหลังใหญ่หลังโต สร้างไว้หลายที่ทั้งต่างประเทศและในประเทศ บ้างก็ว่าเตรียมตัวจะหนีสึก พร้อมกับเตรียมโยกย้ายถ่ายเทเงินไปแล้วมากมาย” นี่คือความเจ็บปวดของคนที่ถูกนินทาให้ร้าย ทั้งที่เรื่องทั้งหมดไม่เป็นความจริง เป็นเรื่องที่ถูกสร้างขึ้นมาทั้งสิ้น
จนทุกวันนี้หลายครั้งที่โดนเรื่องพวกนี้ อาตมาต้องเจ็บปวด บางครั้งน้ำตาถึงกับไหลออกมา นี่คือความจริง!!!
แต่อาตมาก็มีความเชื่ออยู่ว่า “หนทางพิสูจน์ กาลเวลาพิสูจน์คน” คนเราทำดี ย่อมได้ดี และเพื่อเป็นการพิสูจน์ให้รู้ว่าสิ่งที่เขานินทาไว้นั้นไม่เป็นความจริง เราต้องเอาความดีเข้าสู้
ฉะนั้นจึงขอฝากเตือนไว้ว่า อย่าเป็นคนที่ชอบนินทาคนอื่น เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่ดี มีแต่จะเกิดเรื่องราวขึ้นมา สร้างความแตกแยก สร้างความหายนะให้เกิดขึ้นในหมู่คณะและสังคม
เพราะการนินทาว่าร้ายกันนั้น ถ้าทำจนชินจะติดเป็นนิสัย แก้ไขได้ยาก ทำให้ผู้อื่นเสียหาย และเป็นที่มาแห่งการทะเลาะวิวาท!!!
ในโลกของเราทุกวันนี้ ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับการถูกนินทา
การนินทาไม่เคยสงบนิ่ง เพราะระบบคิดและปากที่แกว่งหาเสี้ยน ยังคงใช้การได้ดีเสมอกับเรื่องของชาวบ้าน ซึ่งไม่ใช่เรื่อง ของตนเอง !?!
การพูดจาส่อเสียด เหน็บแนมแกมประชดประชัน การต่อความยาวสาวความยืด การว่ากล่าวให้ร้าย ใส่สีตีไข่ เพิ่มเติมเรื่องเล็ก ให้เป็นเรื่องใหญ่ นี่คือนิสัยคนไทยขนานแท้ดั้งเดิม
ถ้าสังเกตให้ดีบางคนชื่นชอบ มีความสุขใจ มีความสนุกสนานกับการได้ ซุบซิบนินทา
มีอีกหนึ่งตัวอย่างที่จะเล่าให้ฟัง เช่น คนที่เราไม่เคยรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่ก็ชอบนินทา ไปหาว่าเขาเป็นเจ้าพ่อ เป็นนักเลงหัวไม้ คนพวกนี้ไปได้ยินได้ฟังมา แบบฟังเขาเล่ามา แล้วก็มาเล่าต่อ โดยบอกว่า นายคนนี้ นายคนนั้นเป็นนักเลงใหญ่ เป็นคนไม่ดี เป็นผู้มีอิทธิพล เป็นนักเลงเกเร เป็นนักเล่นการพนันตัวยง ทั้งที่ผู้พูด ไม่เคยรู้จักตัวตนที่แท้จริงถึงคนที่กล่าวถึงแม้แต่น้อย บางคน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาเป็นเช่นไร บ้านอยู่ที่ไหน อายุเท่าไหร่? คนพวกนี้ไปพูดเล่า สาธยายเป็นเรื่องราว เสมือนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงเดียวกันกับเขา
บางคนมาที่วัด เล่าถึงใครหลายๆคนเป็นฉากๆ เล่าแบบนิทาน คล้ายนิยาย คุยโม้เหมือนดูหนังภาพยนตร์เรื่องใหญ่ เล่าสนุกสนานมาก ฟังแล้วน่าตื่นเต้น ใส่อารมณ์สุดๆ
เมื่อถามไปว่า คุณเป็นเพื่อนกับเขาหรือ รู้จักเขาตั้งแต่ชาติไหนหรือ? บ้านอยู่ใกล้กันหรือเปล่า มีอะไรเกลียดกันเป็นการส่วนตัวหรือไม่! ทำไมรู้เรื่องของเขาละเอียดถี่ถ้วนดีหรือเกิน!! และสิ่งที่เขาทำมีแต่เรื่องไม่ดีทั้งนั้นเลยหรือ? มันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่คนเรานั้นในชีวิต ไม่เคยทำ ความดีบ้างเลย นี่คือสิ่งที่ได้ตั้งคำถามกลับไปถึงท่านที่กำลังเล่าเรื่องราวของคนที่ไม่รู้จักเลย โดยเน้นเล่าในทางลบ ให้ฟังอย่างเมามันส์
สุดท้ายคำตอบที่ได้คือ มีคนเล่าให้ฟังครับ ก็เลยถามไปว่า คนที่เล่าให้ฟังเขาเป็นใคร บ้านอยู่ที่ไหน เขาคนนั้นตอบว่า เล่าให้ฟังนานแล้ว ปัจจุบันคนที่เล่าไม่รู้อยู่ที่ไหน
เมื่อถามว่าชื่ออะไร เขาตอบไม่ได้ เขาบอกว่าลืมไปแล้ว?
ก็เลยพูดสอนไปว่า การที่เราจะพูดถึงบุคคลที่สามในทางลบนั้น ควรใช้สติปัญญา ยั้งคิดติดเบรกปากไว้เสียบ้างก็น่าจะดี และควรให้ความยุติธรรมกับเขาบ้าง เพราะเขาไม่มีโอกาสโต้เถียงพูดแก้ตัว เพราะถ้ามัน ไม่เป็นความจริง
อย่ามั่วนิ่ม อย่าพูดเอามันส์ เรื่องดีของเขามีต้องเยอะแยะมากมาย คุณรู้หรือไม่ ต้องผมนี่สิรู้จริง อย่างลูกศิษย์ของผมหลายๆคน ท่านผู้นี้ก็ส่งเสียให้เรียนหนังสือสูงๆ มีอยู่เกือบทั่วประเทศ จบไปแล้วมากมาย ทำงานเกือบทุกสาขาอาชีพ ขนาดไปเจอที่เมืองนอก ก็เป็นเด็กนักเรียนที่ส่งเสียให้ร่ำเรียนทั้งนั้น
ยกตัวอย่าง หลายคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทุกวันนี้ ท่านก็ส่งเสียให้ร่ำเรียนมาตั้งแต่เด็กๆ
นี่แค่เพียงตัวอย่างหนึ่งเดียวที่เขารังสรรค์ไว้ ไม่รวมถึงการช่วยเหลือคนยากคนจน ส่งเสริมเรื่องการกีฬา ต่อต้านยาเสพติด ทำบุญช่วยวัดวาอาราม ส่งเสริมพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่อง
ฉะนั้นการจะนินทาว่ากล่าวใครนั้น ควรรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาเสียก่อน ใช้จิตสำนึก ใช้วิจารณญาณ ไตร่ตรองให้ถ่องแท้ ที่สำคัญควรมีสมาธิให้มากที่สุด
“ทุกวันนี้การนินทา เสมือนเป็นปัจจัยที่ห้าของชีวิตมนุษย์”
นิยมนินทากันเป็นประเพณีทำกันเป็นวัฒนธรรมยอดแย่ แฉกันจนกลายเป็นเรื่องปกติ เข้าข่ายชินชา นินทาอย่างชั่วจนชิน แล้วก็ทำเหมือนว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ฉันขาดไม่ได้แล้วในชาตินี้
การนินทา มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระ ไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่ จะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ดังกลอนที่กล่าวไว้ว่า การนินทากาเลเหมือนเทน้ำ การเทน้ำออกจากแก้ว เมื่อเทออกไปแล้วไม่สามารถเก็บคืนได้ ก็เหมือนกับการนินทาออกไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้นั่นเอง!
ที่สำคัญต้องใช้หลักคิด ใช้สมองกลั่นกรอง วิเคราะห์ว่ามันดีหรือเลวปานใด แยกแยะในแต่ละส่วนให้เกิดความถูกต้องดีงาม
หัวใจสำคัญ การที่จะนินทาผู้อื่น ควรย้อนกับไปมองตัวเองเสียก่อน ว่าตัวคุณเองดีมากแค่ไหน ถึงเที่ยวไปว่าร้าย หรือติฉินนินทาผู้อื่นเขา แล้วควรคิดว่า ถ้ามีผู้อื่นมานินทาเราบ้าง เราจะรู้สึกเช่นไร เราก็คงจะไม่ชอบนักหรอกที่มีคนมานินทา หรือมายุ่งเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องภายในครอบครัวของเรา
คนพวกนี้ปากไม่นิ่ง ใจไม่ตรง ปากอยู่ไม่สุข ปากมันจะดิ้นอยู่ตลอดเวลา เพราะเป็นสันดานมันอยู่เฉยไม่ได้ ขอให้ได้พูด ขอให้ได้นินทาว่ากล่าวสักหน่อยเถอะ อารมณ์ก็จะดี หัวเราะเยาะเย้ย ถากถาง ฮือฮาคึกคัก มีแต่ความสุขใจ ที่ทำให้ชาวบ้านเขาได้ทุกข์ใจ
คนเราทุกวันนี้ไม่ว่าจะพูดดี หรือร้าย มันก็พูดทั้งนั้น หรืออาจจะเรียกได้ว่าปากมันคัน ต้องนินทา ให้มัน ถึงหายคันซักหน่อย จะได้นอนหลับสบาย ตายอย่างมีความสุข
ทุกสังคมไม่ว่ายากดีมีจนไม่เว้นแม้แต่พวกสังคมไฮซ้อไฮโซ ที่ต่อหน้าก็พากันชื่นชม ยกยอปอปั้น เสกสรรปั้นแต่ง จนน่าเกลียด เกินงาม เกินขอบเขต
ในสังคมจอมปลอม สังคมที่นิยมการหลอกลวง เวลาออกงานก็ชมว่าแต่งตัวสวยดี ชื่นชมจนกลายเป็นเรื่องไร้สาระ แต่พอคล้อยหลังไปไม่ถึงนาที ก็นินทาสารพัด ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องครอบครัว ก็ดูเอาเถิดว่าพวกชอบนินทา มันหยุดปากไม่ได้จริงๆ ต้องยอมรับกับความซับซ้อนของจิตมนุษย์ว่าแน่นอนขนาดไหนกับวิสัยคนไทยที่พิสมัยแต่การนินทา เป็นอาชีพ เรื่องของคนอื่นรู้หมดทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องของตนเอง เรื่องนี้แปลกแต่จริง
ไม่ใช่แค่เฉพาะพวกสังคมไฮโซเท่านั้นที่ชอบนินทา สังคมไหนๆ ก็มีนินทาด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่าคนที่ถูกนินทาจะรู้ตัวหรือเปล่า แต่ส่วนใหญ่พวกที่นินทาชาวบ้าน จะแอบนินทาลับหลัง ไม่ให้เจ้าตัวรู้ พวกนี้ไม่ชอบทำอะไรต่อหน้า เพราะไม่กล้าสู้ความจริง เป็นพวกขี้ขลาดตาขาว เป็นคนขี้อิจฉา เพราะว่าเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเองไม่ได้ เป็นต้องนำคนอื่นมาวิจารณ์ ถึงแม้เขาจะดีเพียงใด บุคคลพวกนี้ก็พยายามที่จะเอาข้อเสียในจุดเล็กๆ มานินทาจนได้ ก็เพราะความอิจฉาที่กลัวว่าคนอื่นจะดีกว่าตัวเอง
สุดท้ายขอฝากข้อคิดให้ใช้สมองไตร่ตรองกันให้ดีๆเถิดว่า การที่นินทาผู้อื่นนั้น ทำให้เขาได้รับความเดือดร้อน เป็นสิ่งที่ดี หรือไม่ดี และควรทำหรือไม่ควรทำ ก่อนที่เราจะนินทาว่ากล่าวผู้อื่น ขอให้มองย้อนกลับไปมองตัวเองให้ดีเสียก่อนว่าตัวเราเองมีดีมากน้อยแค่ไหน และเคยทำในสิ่งที่ได้นินทาผู้อื่นบ้างหรือไม่?
ขอให้ใช้สมองคิดไตร่ตรองให้ดี ก่อนที่จะเที่ยวไปให้ร้ายผู้อื่น ให้ลองคิด ย้อนกลับไปถามตัวเองเสียก่อนว่า ถ้าเราเป็นผู้ถูกนินทาแบบนั้นบ้าง จะมีความรู้สึกเช่นไร
เชื่อได้เลยว่าก็คงไม่ชอบให้ตัวเองถูกนินทาอย่างแน่นอน
ดังนั้นทางที่ดีควรเลิกที่จะนินทาผู้อื่นได้แล้วตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เอาเวลาที่นินทาผู้อื่นไปพูด ในเรื่องสร้างสรรค์ ทำให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ต่อครอบครัว และชีวิตประจำวัน ขยันพูดขยันทำงานให้มันได้เงินได้ทองจะดีกว่า
ขอย้ำว่าการพูดนินทาถ้าเลิกได้เสียตั้งแต่วันนี้ ก็จะส่งผลดีทั้งกับตัวเองและผู้อื่น
ที่สำคัญจะเกิดผลดีกับตัวเองก็คือ เราจะได้ไม่ต้องระแวงว่าสิ่งที่เรานินทาไปแล้ว เจ้าตัวเขาจะรู้หรือไม่ และผู้ร่วมนินทาจะเอาคำพูดของเราไปเปิดเผยต่อหรือไม่
ที่สำคัญสุดการที่เราไม่นินทาคนอื่น จะทำให้คนที่อยู่รอบข้างมองว่าเราเป็นคนดี ไม่ใช่คนที่มีนิสัย ขี้นินทา และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนกับคำพูดของเรา สามารถส่งผลทำให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข และให้จำไว้เลยว่า การนินทา ที่แท้จริง ก็เกิดมาจาก การปั้นน้ำเป็นตัว นั่นเอง!!! นับเป็นการสร้างเรื่อง ที่เกิดจากความไม่จริง และในความไม่จริงนี้ ส่งผลทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เป็นอันตรายต่อสังคมเป็นอย่างยิ่ง
*************************
เรื่องโดย : พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน)
เรียบเรียงโดย : บก.ไก่ วีรพล และทีมงานมงคลพระ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น